ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ความจริงก็คือความจริง-ทางโลกทางธรรมก็ไม่สน  (อ่าน 1404 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



สภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) ที่กำลังมาถึงชาวโลกและชาวไทยภายใน  2-3 ปีนี้ตามสเปกตรัมของจิต ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของจิตโดยรวมและปัจเจกบุคคล แม้ว่าบางครั้งบางคราวจิตแห่งปัจเจกบุคคลนั้นอาจจะสะเปะสะปะไปบ้าง  แต่โดยรวมแล้วมาถึงแน่ๆ และแช่แป้งไว้ล่วงหน้าได้ ที่บ้านเรานั้นขณะนี้คนเข้าวัดหาพระ ฟังเทศน์ฟังธรรม กระทั่งทำสมาธิกันมากขึ้นไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร? ผู้หญิงทำละหมาด ทำคริสเตียนเม็ดดิเตชั่นมากขึ้น คงจะกลัวตาย กลัวเจ็บ กลัวภัยธรรมชาติกระมัง? ที่เรารู้สึกว่ามันเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นทุกขณะ  ประเด็นก็คือมันไม่มีทางหนีเสียด้วย ที่พูดมานี้มีความหมายว่าการมีสภาวะทางจิตวิญญาณหรือสปิริตจวลลิตี้นี้ ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็เป็นการปฏิบัติที่ดี แต่ก่อนหน้านี้ผู้เขียนและคิดว่าคนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ เพราะไม่เห็นมีใครเขียนบอกไว้ว่า ก่อนที่จะมาถึงจุดที่มีวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงทางจิตของตัวเองนั้นจะใช้เวลานานมาก สำหรับการทำสมาธิอานาปานสติในวัชรญาณพุทธศาสนานั้น บี อลาน วอลเลซ (B. Alan Wallace ซึ่งได้อ้างไปแล้วหลายหน) บอกว่าจะต้องใช้เวลายาวนานถึง 10,000-15,000 ชั่วโมง หรือถ้าหากว่าเราทำสมาธิวันละ 2  ชั่วโมง โดยไม่หยุดสักวัน ก็จะต้องใช้เวลาถึง 20 ปี
   
   ผู้เขียนเคยถามเด็กที่มีอายุเลย 3 ขวบไปแล้ว 2-3 คน (เพราะผลของการวิจัยของฌ็อง เปียเจต์ บอกว่า เด็กที่มีอายุครบ 3 ขวบบริบูรณ์ไปแล้วถึงจะรู้ความจริงของโลกได้ทั้งหมด และตามพิสูจน์ประสบการณ์ของตัวเองนั้นด้วยตัวเอง) ว่าความจริงมีกี่ชนิด? และเรารู้ว่ามันเป็นความจริงได้อย่างไร? ซึ่งเด็กเหล่านั้นจะตอบเหมือนๆ กันว่ามันมีความจริงชนิดเดียวเท่านั้น คือความจริงตามที่ตาของเรา ของมนุษย์ มองเห็น เพราะว่าเด็ก 3-4 ขวบ จะพูดความจริงตามที่ตนมองเห็น และพูดแต่ความจริงตามที่ตนรู้สึกและรู้เท่านั้น ในสมัยก่อนนานมาแล้ว  ปี 1958 กระมัง? อาร์ต ลิงค์เล็ตเตอร์ นักหนังสือพิมพ์ได้เขียนหนังสือที่ขายดีมากๆ ขึ้นเล่มหนึ่งเรื่องการพูดความจริงชนิดตรงไปตรงมาของเด็ก 3-4 หรือ 5  ขวบ จากการสัมภาษณ์หรือถามตรงๆ ที่ทั้งน่ารักและน่าขำ - คำตอบที่เด็ก 3-4  ขวบ หรือ 5 ขวบตอบนั้น ว่ากันตามจริง “อีกในแง่หนึ่ง” ช่างตรงกับของผู้ใหญ่ที่ทรงปัญญาลึกล้ำในอดีตชาวกรีก (ไม่ได้ประชดนะ!) ซึ่งผู้ใหญ่นั้นยิ่งทรงปัญญามาก ยิ่งฉลาดมาก ก็ยิ่งมีอัตตาอีโก้มาก ยิ่งตอแหลมาก มักรักษาศีลข้อที่ 2  ลำบากมาก ชาวกรีกในอดีต เป็นต้นว่า อริสโตเติลและนักปรัชญาชาวฝรั่งหลายต่อหลายคนหลังจากนั้น - ต้นตระกูลของหลักการที่ภาษาอังกฤษเรียกว่าแม็ตทีเรียลลิซึ่ม (materialism) ที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยในทุกวันนี้เชื่อถือและมักจะปกป้องคุ้มครอง
   
   ที่พูดว่าไม่ได้ประชดนั้นเป็นการพูดจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น เพราะว่าผู้ใหญ่ที่พูดเหมือนกับเด็ก 3 ขวบที่มองเห็นหรือรับรู้เหมือนกันเปี๊ยบ เป็นเพียงแต่ผู้ใหญ่จะรู้จักตอแหลมากขึ้นและมากขึ้นๆ ด้วยอีโก้อหังการไปเรื่อยๆ ตามวันเวลาจนกระทั่งเสื่อมก่อนการแตกสลายที่ช้า-เร็วไม่เหมือนกัน ขึ้นกับเวลาของการเจริญเติบโตและการเสื่อมของผู้นั้นๆ แต่มนุษย์ทั้งโลกเป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็ก ทั้งๆ ที่ช้างได้ยินไกลถึง 5 กิโลเมตร แต่มนุษย์จะได้ยินเพียง 500 เมตร  นั่นคือทั้ง 2 ต่างก็หูไม่หนวก ต่างก็ได้ยินเหมือนกัน แต่ทั้ง 2 มีการดำรงอยู่รอด  (existentialism) แตกต่างกัน แต่มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะไม่คิดและไม่สนใจ คิดแต่มนุษย์ - มิตรหรือศัตรู - ด้วยกันเท่านั้น ชีวิตของสัตว์พืชและต้นไม้อื่นๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า!
   
   อาร์โนลด์ มินเดล นักจิตวิทยาและนักฟิสิกส์ใหม่ (วิชาที่เกี่ยวข้องซึ่งกันและกันและกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ) ได้คิดวิชาจิตวิทยาที่จัดตั้งบนกระบวนการธรรมชาติที่ผู้เขียนคิดว่าได้ลอกเลียนแบบหรือกระบวนการมาจากพุทธศาสนา ส่วนใหญ่มาจากมหายานและวัชรญาณพุทธศาสนา - จากมหายาน  คือการปฏิบัติสมาธิแบบเซนพุทธศาสนาและจากวัชรญาณคือปฐมเนื้อหาของจิต  ส่วนในเถรวาทนั้นผู้เขียนคิดว่าอาจอยู่ในสติปัฏฐาน 4 คืออยู่ในความจริงทางธรรม เป็นต้นว่า การ “เห็นกายในกาย” หรือการ “เห็นธรรมในธรรม” ในพุทธศาสนานั้นจิตปฐมภูมิแยกออกจากพลังงานปฐมภูมิไม่ได้ คือทั้ง 2 ต้องอยู่คู่กันและไปด้วยกัน จิตจะทำงานไม่ได้ถ้าหากปราศจากพลังงาน และพลังงานจะอยู่โดยไม่มีจิตไม่ได้ หรืออีกนัยหนึ่ง กระบวนการไหลเลื่อนเคลื่อนที่หรือการเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งและสรรพปรากฏการณ์จะต้องมีแรงหรือพลังงานที่ทำให้มันเคลื่อนที่ไป ทั้ง 2 จะต้องคู่กันเสมอในสังสารวัตรนื้ พระพุทธเจ้าถึงได้บอกว่าทุกสิ่งย่อมจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจตา จนกระทั่งบรรลุนิพพานที่เป็นอสังขตธรรม คงที่เสถียรเป็นหนึ่งเดียว
   
   วิทยาศาสตร์โดยเฉพาะฟิสิกส์บอกเราว่าจักรวาลของเราอันนี้มีอายุ 13.7  พันล้านปี และโลกเรามีอายุ 4.6 พันล้านปี โบราณคดีวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์บอกเราต่อไปว่า เราเพิ่งมาถึงโลกนี้จักรวาลนี้ไม่นานนัก คือมนุษย์เหมือนเป็นทารกแรกเกิด (แต่ทำไม? เราถึงใหญ่คับฟ้าก็ไม่รู้) จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่น่าแปลกที่โลกและจักรวาลนี้มันมีวิวัฒนาการของชีวิตเป็นสัตว์โลก และแม้เป็นพืช เป็นต้นไม้ที่มีกลุ่มเซลล์หลายเซลล์ช้ามาก และมีจิตมาก่อนรูปกายนานนักหนา แต่มนุษย์หายไปไหนถึงได้มาช้านัก คงจะเป็นเพราะเราต้องไปจากดาวเคราะห์โลกนี้เร็วกระมัง? แม้ว่าในตอนนั้นโลกจะมีชีวิตมาตั้งนานแล้วก็ตาม  แต่ในตอนแรกนั้นเป็นชีวิตสัตว์เซลล์เดียวนานถึงร่วม 200 ล้านปี ยิ่งเป็นมนุษย์แบบเราๆ และพูดเป็นภาษาพูดได้ดีก็เพียงไม่ถึงแสนปี มันจึงน่าแปลกใจว่ามนุษย์มัวไปอยู่ที่ไหนมา จริงๆ แล้วมนุษย์เพิ่งจะตั้งหลักแหล่งเป็นถิ่นฐานบ้านช่องก็เมื่อ 12,000 ปีมานี้ และตั้งเป็นเมืองเป็นนครก็เมื่อเพียง 5,000 ปี หรือว่ากว่านั้นก็ไม่มากนัก หรือพูดง่ายๆ ก็ได้ว่า เมื่อเพียงราวๆ 150 ชั่วคนมานี้เท่านั้น  และแล้วระบบความเชื่อ (belief system) ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นศาสนา เช่น  ศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธเพียงเมื่อ 70-80 ชั่วคนก่อน มนุษย์เราเหมือนกับว่าเรามีวิวัฒนาการเร็ว เจริญเติบโตเร็ว พัฒนาเร็ว พร้อมๆ กันกับเรียนรู้เร็ว  วิวัฒนาการเร็ว และการเรียนรู้ที่เพียงไม่กี่ชั่วคนนี้มนุษย์เราก็สามารถเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและวัตถุจนกระทั่งได้เบียดเบียนกดขี่ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมโลกเสียจนหมดกว่านี้ไม่ได้อีก สิ่งที่ทำร้ายโลกที่ผู้เขียนได้เขียนบ่อยๆ ว่าด้วยระบบสังคมต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนั้นอยู่นอกเหนือวาระของบทความนี้ จึงจะไม่เขียนอีก เพียงแต่จะพูดว่าการกระทำผิดของมนุษย์เรานั้นทำให้มนุษย์เราส่วนหนึ่งมีวิวัฒนาการการเปลี่ยนแปลงทางจิตตามสเปกตรัมได้เร็วขึ้น มีวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ (spirituality) เร็วขึ้น
   
   สังเกตไหม? ว่าผู้เขียนไม่ได้พูดถึงชาวโลก “ส่วนใหญ่” ราวๆ กว่า 60- 70% หรือพูดเรื่องกรรมและกฎแห่งกรรม ทั้งไม่พูดถึงเรื่องของระบบความเชื่อของชาวมายา ชาวอินเดียนแดง หรือลัทธิพระเวท และปี 2012-2013 หรือความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์ใหญ่ที่สุดในจักรภพอังกฤษ และปี 2020 เลย
   
   คนส่วนใหญ่ทั่วทั้งโลกไม่จำเพาะแต่ประเทศไทยประเทศเดียวมักอยู่กับนิสัยความเคยชินหรือสามัญสำนึก หรือพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่าเป็นความคิดที่นอนแนบเนื่องกับจิตใต้สำนึก คนส่วนใหญ่ทั่วทั้งโลกจึงมักเชื่อแต่ที่ตาของตัวเองเห็น  หูของตัวเองได้ยิน ฯลฯ และเชื่อว่าสัตว์โลกอื่นๆ จะเห็นเหมือนกับที่มนุษย์เห็น  และได้ยินตามที่มนุษย์ได้ยิน พูดง่ายๆ คือเอามนุษย์เป็นตัวตั้ง เพราะว่ามนุษย์นั้นยิ่งใหญ่จริงๆ (anthropocentric) เราคิดว่าสัตว์นั้นอย่างดีก็เป็นอาหารหรือเงินเท่านั้น ฉะนั้นเราจึงไม่สนใจสรรพสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากมนุษย์ด้วยกันเองเท่านั้น คนส่วนใหญ่มากๆ ส่วนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยที่ผ่านมาหยกๆ  เช่น เมื่อ 40-50 ปีก่อน และโดยเฉพาะในประเทศด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาใหม่ๆ ของเอเชีย ซึ่งแม้แต่วันนี้และบัดนี้ก็ยังมีสาธารณชนเป็นจำนวนมากแทบจะทั่วทั้งประเทศ แม้แต่นักวิชาการอาจารย์มหาวิทยาลัย  ซึ่งเคยได้ยินควอนตัมฟิสิกส์มาบ้าง แต่ไม่ได้รู้หรือไม่ได้ติดตามพอ จึงยังคงเป็นแม็ตทีเรียลลิสติก (materialist) หรือนักวัตถุนิยมจ๋า ซึ่งคงเป็นเพราะบ้าเทคโนโลยีสิ่งประดิษฐ์ที่จำเดิมฝรั่งในประเทศที่พัฒนาอุตสาหกรรมมากๆ แล้วคิดขึ้น โดยเข้าใจว่าเป็นวิทยาศาสตร์ชักนำให้เชื่อเช่นนั้น
   สาธารณชนคนส่วนใหญ่เหล่านี้มักจะคิดว่าความจริงมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ ความจริงที่ผู้เขียนและนักพุทธศาสนชนเรียกว่าความจริงทางโลกเพื่อที่จะแยก “ความเป็นสอง” ออกจากความจริงที่มีอยู่ในวัฒนธรรมเวดิก ซึ่งต่อมาได้มีวิวัฒนาการมาเป็นศาสนา เช่น ศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาพุทธ เป็นต้น  ส่วนความจริงทางธรรมที่บางคนอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่คนเหล่านี้จะไม่เชื่อหรือไม่สนใจ นั่นก็คือความจริงก็คือความจริง ซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียว เพราะฉะนั้นจะเรียกว่าอย่างใดก็ได้ ซึ่งฌ็อง เปียเจต์ ทำวิจัยและสังเกตแล้วบอกว่า เด็กอายุ  3 ขวบเต็ม และผู้ใหญ่ที่มีอายุเท่าไหร่ก็ได้นั้น ในที่นี้จึงเหมือนกัน เพราะรับรู้ความจริงทางโลกเหมือนกันจริงๆ
   
   ได้อ่านที่ไหนก็จำไม่ได้ว่าความจริงทางโลกนั้นเต็มไปด้วยกิเลส ทุกๆ  ซอก ทุกตรอก ทุกมุม ถ้าหากเป็นเมืองก็หาที่สงบไม่ได้ แม้ในชนบทก็หายากขึ้นเรื่อยๆ พูดอีกนัยหนึ่งได้ว่า ทุกๆ ความจริงทางโลกเต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งสิ้น  บนความสุขทางกายและจิตรู้ หรือจิตสำนึก หรือขันธ์ 5 ที่เป็นรูปและนามที่ประกอบเป็นจักรวาลทั้งหมด - ประเดี๋ยวประด๋าว จึงต้องหาความสุขใหม่ๆ ชนิดที่ว่านั้นตลอดเวลา โลกและจักรวาลเป็นแบบนี้ ความจริงทางโลกก็ต้องเป็นแบบนี้ อ่านมาแล้วจำไม่ได้บอกว่าสมัยก่อนคริสตกาล 700 และ 600 ปี ที่โลกแย่น้อยกว่านี้มากนัก ก็ได้มีการตื่นขึ้นมาของกระบวนการแสวงหาสภาวะจิตวิญญาณ  (spirituality) ที่ผู้เขียนคิดเอาเองว่าโลกกับจักรวาลต้องการทดสอบมนุษย์ระหว่างสภาวะจิตวิญญาณกับเทคโนโลยีที่จะมีในอนาคต เราสามารถจะมีสปิริจวลลิตี้และผ่านพ้นได้หรือไม่? การแสดงสภาวะจิตวิญญาณกับการเตรียมศาสนาไว้ให้ก็คือการทดสอบนั้น ประเด็นที่สำคัญประเด็นนี้คือโลกและจักรวาลจึงเตรียมและต้องการ 3 อย่างคือ 1.เตรียมจัดให้มีสภาวะจิตวิญญาณและศาสนาเกิดขึ้นในโลก 2.เพื่อบอกมนุษย์ว่าการเรียนรู้คือเป้าหมายของมนุษย์ และการเรียนรู้นั้นมีจุดหมายสุดท้ายที่จิตวิญญาณหรือสปิริจวลลิตี้ กับ 3.เพื่อเตือนว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวัตถุนิยม - เพื่อทดสอบอุปาทานการยิดติด - ที่สนับสนุนกิเลสและอัตตาอีโก้ - ผ่านการติดยึดหรืออุปาทานนั้น - ซึ่งมันกำลังมาแล้วนะ!  และการเตรียมการของโลกของจักรวาลทั้ง 3 อย่าง 3 ประการนั้นสามารถจะแก้ไขกิเลสและอุปาทานได้หรือไม่? ด้วยสภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) กับศาสนาที่เตรียมให้ไว้อย่างไรล่ะ!
   
   http://www.thaipost.net/sunday/120611/40039
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...