ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : เราเองที่ชอบของหนักของหยาบและใหญ่ชอบไดโนเสาร์  (อ่าน 1514 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


สำหรับคนที่ชอบตรงไปตรง ที่เขียนว่าไดโนเสาร์อาจจะไม่เข้าใจ เพราะไม่เห็นว่าไดโนเสาร์จะเกี่ยวอะไรกับชื่อของบทความ ก็ต้องอธิบายว่าตัวไดโนเสาร์นั้นไม่เกี่ยวกับบทความจริงๆ แต่ที่ใส่ไว้เพราะเหตุผล 2 ประการ คือ  1.เพราะว่าไดโนเสาร์นั้นตัวมันหนักและหยาบใหญ่เทอะทะ โดยเฉพาะชนิดกินพืชเป็นอาหาร แถม 2.มันคล้องจองกันดี

ว่าไปแล้วบทความนี้ขยายบทความที่ผู้เขียนได้เขียนมาในระยะหลังๆ  โดยเฉพาะบทความในวันอาทิตย์ที่แล้วเรื่องแม็ตทีเรียลลิสต์เอ๋ย...ซึ่งเป็นเรื่องของความจริงทางโลกที่สาธารณชนคนทั่วไปทุกๆ คนเลย และทั้งนักวิทยาศาสตร์-นักวิชาการ และพระสงฆ์ผู้ช่ำชองในพุทธศาสนา หากว่าตอนนั้นกำลังไม่ได้พูดไม่ได้เขียนเรื่องนี้อยู่ รวมทั้งผู้เขียนเอง เพราะว่าเราเชื่อมั่นในการรับรู้ในอวัยวะประสาทสัมผัสในยามปกติเป็นเรื่อง (ความจริง) ประจำวัน นั่นคือความจริงทางโลกที่ทุกคน โดยไม่การยกเว้นจะต้องได้รับรู้คือมองเห็น ได้ยินเหมือนกันเป๊ะๆ แต่จะรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องอยู่ที่ภาษา ถึงได้บอกว่าเด็กที่อายุครบ 3 ขวบบริบูรณ์กับผู้ใหญ่อายุเท่าไหร่ก็ได้ ซึ่งต่างก็ได้ยินเหมือนกันเป๊ะ  เพียงแต่ต่างกันที่อายุคนที่ได้ยินว่าจะแตกต่างกันเพียงไหนหรือไม่ คือจะต่างกันที่ความรู้สึกและอารมณ์พร้อมกับพฤติกรรมที่ตามมา ทั้งนี้ เพราะว่าการได้ยินที่เหมือนกันเป๊ะๆ เช่น เสียงเสือที่คำรามอยู่ใกล้ๆ นั้นจะได้วิ่งหนีทัน คือเพื่อประโยชน์ของการเอาตัวรอดในโลก (existence) เท่านั้น ฉะนั้น บทความนี้ก็คงจะหนีความจริงทางโลกและความจริงทางธรรม ความเป็นสอง (dualism) จึงไม่พ้น แต่ต่างกันที่เนื้อหาสาระของบทความ ความเป็นสองหรือทวิตาที่ผู้เขียนเชื่อว่าเป็นที่มาของหลักการแม็ตทีเรียลลิซึ่ม หรือหลักการวัตถุนิยม หลักการที่สำคัญมาก และผู้เขียนคิดว่าเป็นหลักการที่ทำลายสปีชีส์หรือเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติส่วนใหญ่มากๆ จนแทบจะสิ้นสูญเผ่าพันธุ์ไปทั้งหมดในศตวรรษที่ 21 นี้ โดยเฉพาะในทศวรรษ 2020 (ทางวิทยาศาสตร์ ดู เจมส์ ลัฟล็อก ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เดอะการเดียน เมื่อ 31 มีนาคม ค.ศ.2010)

สำหรับสสารวัตถุ (matter) ในศาสนาจูโด - คริสเตียน - อิสลามนั้นจะจัดไว้เหมือนๆ กัน โดยเรียงลำดับไว้ดังนี้ : สสารวัตถุจะมาก่อนสิ่งใดทั้งหมด คือเป็นเช่นเดียวกันกับวิวัฒนาการของโลกและจักรวาล - ที่ตามมาด้วยรูปกาย จิต วิญญาณ และเทพหรือพระเจ้า (matter, body, mind, soul and spirit ที่มีทั้งหมด 5 ระดับ หรือเป็นพื้นฐานของวิวัฒนาการของจิต (basic structure of an  evolution of consciousness) ซึ่งที่ให้ไว้ในอันดับแรกคือสสารวัตถุ หรือ  matter นั้นเป็นสสารวัตถุที่หนักและหยาบใหญ่ คือเป็นสสารวัตถุที่นักแม็ตทีเรียลลิสต์ “คิดว่า” โลกนี้จักรวาลนี้ประกอบขึ้นด้วยสสารวัตถุหรือ matter จริงๆ  ส่วนชีวิตในระดับที่ 2 หรือ body หรือ physical ก็คือฐานของจิตรู้ หรือ mind ที่หยาบดิบ หนัก และใหญ่ หรือ gross ส่วนพื้นฐานที่พยุงหรือรับวิญญาณ หรือ  soul ไว้ก็จะละเอียด หรือ subtle ไปตามลำดับถึงละเอียดมากที่สุด very very  subtle หรือ causal หรือการตรัสรู้บรรลุธรรม - กรุณาอ่านในวงเล็บนี้อย่างน้อย 2 ครั้ง เพื่อความเข้าใจที่แจ่มแจ้ง) ซึ่งเชื่อว่ารูปกาย (physical) หรือชีวิตนั้นสร้างขึ้นมาหรือวิวัฒนาการมาจากวัตถุหรือสิ่งที่ไม่มีชีวิต ส่วนวิญญาณที่ไม่มีในศาสนาพุทธ (เพราะอธิบายไปในทางที่คล้ายๆ กับควอนตัมแม็คคานิกส์ ซึ่งมาทีหลังนานมากตั้ง 2,500 กว่าปี โดยพุทธศาสนาจะอธิบายว่าวิญญาณเป็นดวงๆ - ไม่ว่าของปัจเจกบุคคลหรือร่วมโดยรวมนั้นไม่มีจริง (อนัตตา) - ที่ล่องลอยเข้า (ในชีวิตเก่า) - ออก (ในชีวิตใหม่) นั้นไม่มีหรอก แต่เป็นสิ่งใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปโดยทำลายกัน ทำให้ก่อเกิดสิ่งใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมตลอดเวลาที่จับกลุ่มใหม่ เป็นเรื่องใหม่ เป็นชีวิตใหม่ สำหรับปัจเจกบุคคลทางคริสต์หรืออิสลาม หรือศาสนายิว หรือแม้ในศาสนาพราหมณ์เองก็แทบจะอธิบายวิญญาณ  (soul) ไว้เหมือนกันเปี๊ยบ คือ หมายถึงอัตตาตัวตนที่สูงยิ่ง (higher self) หรือตัว (จิต) รู้ที่ละเอียด พูดง่ายๆ ว่าวิญญาณนั้นจะไม่มีวันตาย คือจะอยู่อย่างนิรันดร

ในศาสนาพราหมณ์ที่มาจากวัฒนธรรมเวดิก (พรหมนาสอย่างเดียวในทีแรก ต่อมาถึงค่อยๆ รวมเอาอุปนิษัทเรียกว่าเวทยันตา) จะมีปลอกหมอนหรือปลอกของจิตที่มีทั้งหมดอยู่ 5 ปลอก ที่พูดถึงปรัชญาว่าด้วย “มนุษย์” ที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า (มีองค์เดียวเท่านั้น แต่สาธารณชนคนทั่วไปที่อินเดียส่วนใหญ่ไปแยกเอาเอง) ปลอกหมอนทั้ง 5 คือรูปกายที่รวมวัตถุ (physical) ที่จะรวมกับ  (matter) เอาไว้ด้วยเสมอ จักรวาลถึงได้มีแต่รูปกายมาตั้งแต่สมัยกรีกมาตราบปัจจุบัน จริงๆ แล้วในเวทยันตา (vedunta) นั้นปลอกหมอนที่มี 5 อย่าง (คืออันยะมยโกษะ (physical mind) ปราณะมยโกษะ (emotional mind) มโนวิญญาณมยโกษะ (conceptual mind) มนัสมยโกษะ (intuitive mind) และสัตจิตอนันท์ (bliss mind) ซึ่งแปลว่า ปลอกแห่งอาหาร ปลอกแห่งพลังงาน ปลอกแห่งการรู้ตัวและรู้ด้วยจิตสำนึก และปลอกแห่งความจริงแท้ทางจิตในความหลากหลาย ทั้ง 5 ปลอกที่เค็น วิลเบอร์ (Eye of Spirit) สรุปเป็น 3 ระดับ หรือขั้นของวิวัฒนาการทางจิตถึงผู้ได้ตรัสรู้ (enlightened) ผู้บรรลุธรรม  (transcendence) อันได้แก่ ศาสดาผู้ประกาศศาสนาทั้งหลาย ซึ่งผู้เขียนคิดว่าผู้ประกาศศาสนาเหล่านี้ทุกคนโดยไม่มีการยกเว้นที่ต่างมีวิวัฒนาการของจิตผ่านระดับหยาบดิบ (gross) อันเป็นระดับที่ประชาชาวโลกส่วนมากของโลกมีอยู่ในขณะนี้ (self-rational) และกำลังจะต้องเปลี่ยนแปลงให้สูงขึ้นภายในปี 2  ปีนี้ หรืออย่างช้าภายในทศวรรษที่ 2020 นี้ และวิวัฒนาการของจิตจะต้องผ่านชั้น - ขั้นตอนหรือระดับต่างๆ ของสภาวะจิตวิญญาณนั้น (psychic, subtle,  causal ซึ่งระดับหรือชั้นหรือขั้นระดับอันหลังนี้ก็คือ ระดับตรัสรู้บรรลุธรรมที่ว่านั้น (ยกเว้นพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวที่ได้สูงเต็มขั้นของสภาวะจิตวิญญาณ  (spirituality) หรือระดับที่ความเป็นสอง (dualism) หรือความจริงทางโลกจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย

ในมหายานพุทธศาสนาจะมีระดับชั้นหรือขั้นตอนที่วิวัฒนาการทางจิตจะมีด้วยกันทั้งหมด 8 ระดับ คือ จะมีระดับที่อวัยวะประสาทสัมผัสภายนอกทั้ง 5  รับรู้ และบอกเรา ส่วนระดับที่เหลืออีก 3 จะมีระดับมโนวิญญาณที่เกี่ยวกับอารมณ์กับความจำ ส่วนระดับต่อไปคือ “มนัส” ที่เป็นความคิดวิเคราะห์ของตัวเราแต่ละคนเป็นปัจเจกบ่อเกิดของความเป็น 2 ที่ทึกทักว่าความจริงมีหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือ ความจริงทางโลกที่เห็นความจริงอันที่ 8 หรือขั้นสุดท้าย ซึ่งจะเป็นกลุ่มของจิตไร้สำนึกโดยรวมที่เข้ามาอยู่ในสมองของแต่ละปัจเจกบุคล  (ก่อนที่สมองจะบริหาร) หรือ “อาลัยวิญญาณ” (storehouse of  consciousness) เป็นตัวการที่ให้ความเป็นสองแก่เรา นั่นคือ จิตรามาสของธรรมเกียรติที่เป็นปรัชญาที่เชื่อกันจนบัดนี้ของมหายานพุทธศาสนา (โปรดอ่านอีกครั้ง)

ในวัชรญาณพุทธศาสนา โดยเฉพาะในปรัชญาตันตระก็คล้ายๆ กับการจำแนกวิวัฒนาการทางจิตในจูโด - คริสเตียน - อิสลาม และก็คล้ายๆ กับเวทยันตาหรือภาคจบของลัทธิพระเวท กับในวัชรญาณพุทธศาสนา (ที่จะกล่าวต่อไป) คือวิวัฒนาการของจิตจะแบ่งเป็น 3 ระดับ ขึ้นกับการพยุง (support) หรือการรับของรูปกาย (body) คือ หนักและหยาบใหญ่ (gross) ละเอียด (subtle)  หรือละเอียดมากที่สุด (very very subtle) ซึ่งระดับหลังนี้คือ ตรัสรู้บรรลุธรรม  หรือรวมกันกับพระเจ้า (โปรดดู - ในวงเล็บที่ขอให้ท่านผู้อ่านได้อ่านซ้ำๆ อย่างน้อย 2 ครั้งในจูโด - คริสเตียน- อิสลาม)

นั่นแสดงว่าวัฒนธรรมศาสนาทั้งหมดดูเผินๆ ว่าแตกต่างกัน แต่ทว่าจริงๆ แล้วสะท้อนเรื่องราวของ “ความเหมือนๆ กัน” ของปรัชญาที่เรียกว่า  ปรัชญาสากลนิรันดร (perennial philosophy) ที่มี “ดิน มนุษย์ ฟ้า” ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณดึกดำบรรพ์ในทุกๆ วัฒนธรรมในโลกที่บางแห่งบอกว่ามีมาตั้งแต่สมัยมนุษย์โครมาฌ่อน โดยไม่รู้ว่าใครเป็นคนค้นพบ เป็นปรัชญาที่นักวัตถุนิยมหรือแม็ตทีเรียลลิสต์ (materialist) ทำเป็นลืมและไม่ยอมพูดถึง ผู้เขียนขอย้ำว่าความจริงในธรรมชาติมันเตรียมให้ไว้อยู่แล้ว ไม่จำเพาะแต่เรื่องของปรัชญาสากลนิรันดรเท่านั้น เรื่องอื่นๆ ไม่ว่าเรื่องของวิวัฒนาการทางจิต  และแม้แต่วิวัฒนาการทางกายหรือชีววิทยา โดยเฉพาะทางฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ เช่น ตัวคงที่ (constants) ที่มีมากมายที่เราได้ค้นพบแล้วหรือกำลังรอคอยวิทยาศาสตร์ค้นพบ ทั้งหมดที่มีอยู่มากมายหลากหลายเหล่านี้มันก็อยู่ที่นักแม็ตทีเรียลลิสต์ และนักเทคโนโลยีเก่าๆ ที่ตั้งบนวิทยาศาสตร์เก่าๆ จะยอมรับรู้และยอมรับหรือไม่เท่านั้น?

เป็นเพราะมนุษย์เราเองที่ชอบของหนัก ของหยาบใหญ่อย่างชื่อของบทความจริงๆ ซึ่งผู้เขียนขอบอกตามตรงดังที่ได้เขียนมาบ่อยๆ ว่า จักรวาลนี้มีหน้าที่สำคัญที่สุดอย่างเดียวคือวิวัฒนาการของรูปและนาม หรือกายกับจิต กายอันมาเร็วและมาก่อน และที่มองเห็นอันเป็นบ่อเกิดหรือที่มาของหลักการแม็ตทีเรียลลิซึ่ม ซึ่งวิวัฒนาการของกายหรือชีววิทยานั้นเกือบเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว  หรือจะพูดว่าเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วก็ว่าได้ แต่วิวัฒนาการของนามหรือของจิตที่ช้ากว่ายังไม่แล้วเสร็จ ยังอยู่แค่ครึ่งทางที่ตัวตนและเหตุผล (self-egoic  rational) เรายังไม่ถึงสภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) ซึ่งคงถึงในเร็วๆ นี้  ระดับผ่านพ้นตัวตน (transcendence) แม้ว่าปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งวิวัฒนาการจะเร็วขึ้นและเร็วขึ้นมากหลังจากได้เกิดมาแล้ว เราคุ้นกับการเปลี่ยนแปลงแล้วจึงเร็วขึ้นและเร็วมากขึ้น แต่วิวัฒนาการทางจิตก่อนถึงขั้นหรือระดับตรัสรู้บรรลุธรรมและปราศจาก “ทุกขา” หรือบรรลุนิพพานนั้นก็ใช้เวลา และนิพพานนั้นก็มี 2 วิมุตติ คือ เจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ (causal   and non-dual) โดยปัญญาวิมุตตินั้น จะได้ทั้ง 2 โดยกำจัดอวิชชาความไม่รู้ -  อันเป็นต้นเหตุของปฏิจจสมุปบาท - ก่อน แล้วกำจัดกิเลสราคะทีหลัง กิเลสราคะอันเป็นบ่อเกิดของทุกขา.

http://www.thaipost.net/sunday/260611/40748

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
 :45: ขอบคุณครับพี่มด
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~