เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญกลางรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า
ครั้งนั้นเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (เผื่อน ติสสทัตตมหาเถระ) วัดพระเชตุพนฯ
พระอาจารย์องค์หนึ่งของท่านยังดำรงสมณศักดิ์
เป็นท่านเจ้าคุณพระศากยยุตติวงศ์ เจ้าคณะอำเภอภาษีเจริญ
เล็งเห็นความเป็นผู้นำของหลวงพ่อ ซึ่งครั้งนั้นเป็นพระฐานานุกรมที่
พระสมุห์สด จนฺทสโร เจ้าประคุณได้มอบหมายท่าน ให้จำต้อง
ยอมรับตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
ซึ่งเป็นพระอารามหลวงเก่าแก่แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
และในขณะนั้นชำรุดทรุดโทรมมาก เป็นกึ่งวัดร้าง มีพระประจำวัดอยู่เพียงสิบสามรูป
ในปี พ.ศ.๒๔๖๔ ตรงกับ ร.ศ.๑๔๐ เป็นปีที่ ๑๒ ในรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า
พระครูสมุห์สด จนฺทสโร ก็ได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูสมณธรรมสมาทาน
ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
ด้วยความเป็นผู้นำอย่างเยี่ยมยอด และความอดทนอย่างยิ่งยวด
หลวงพ่อก็ได้ทำนุบำรุงวัดปากน้ำภาษีเจริญขึ้นใหม่ จนเป็นอารามหลวง
ที่สำคัญและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง
มีพระภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา ที่อยู่ในความอุปการะของท่าน
ที่วัดในระยะนั้นจำนวนเป็นร้อย เป็นพัน มีทั้งพระสงฆ์จากต่างประเทศ เช่น
จากประเทศอังกฤษ มาบวชเรียนกับหลวงพ่อ สมจริงแล้วดังปณิธาน
ของท่านที่ตั้งใจไว้ว่า"บรรพชิตที่ยังไม่มาขอให้มา ที่มาอยู่แล้ว ขอให้เป็นสุข"
ลุสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ในปี พ.ศ.๒๔๙๐ อันเป็นปีที่ ๒ แห่งรัชกาล
ท่านได้รับตำแหน่งพระอุปัชฌาย์ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๙๒ ได้รับพระราชทาน
ตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระภาวนาโกศลเถร
และอีกสองปีภายหลัง ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ
เสมอพระราชาคณะเปรียญ
ถึงปี พ.ศ.๒๔๙๘ ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ
ชั้นราชที่ พระมงคลราชมุนี
ในปีฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ พ.ศ.๒๕๐๐ ตรงกับ ร.ศ.๑๗๖ เป็นปีที่ ๑๒
แห่งรัชกาลปัจจุบัน ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ
ชั้นเทพ มีพระราชทินนามว่า พระมงคลเทพมุนี นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ธรรมปฏิบัติวิชชาธรรมกาย"วิชชาธรรมกาย" ที่หลวงพ่อได้บรรลุ รู้ เห็น และเป็นนั้น ลึกซึ้ง คมกล้า
ทรงคุณค่า และ หิตานุหิตประโยชน์ใหญ่หลวงที่สุด
วิชชาธรรมกายนี้ดำรงอยู่ครั้งพุทธกาล และสืบทอดกันมาอีกระยะหนึ่ง
แต่ก็ว่างเว้นไป มิได้มีผู้สอนวิชชานี้อีก นับเป็นระยะเวลายาวนาน
จวบจนถึงสมัยที่หลวงพ่อได้บรรลุ และนำมาเผยแผ่สอนใหม่
ให้มีผู้เข้าถึง รู้ เห็น และเป็น
สืบพระพุทธศาสนากันต่อๆไปอีกอย่างถูกต้อง
โดยสัมมาทิฏฐิ
ตรงตามความเป็นจริง และสัมฤทธิ์ผลโดยกว้างขวาง
ทั้งนี้ผู้ปฏิบัติจน "
เห็นธรรม" นั้น ย่อมจักต้องเห็นพระพุทธเจ้า
ด้วยว่า ธรรมกาย นั้นคือ พระพุทธเจ้า
ผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้า คือ ธรรมกาย...ย่อมเห็นธรรม
ตรงตาม
พระพุทธพจน์ว่า
"โย โข วกฺกลิ ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ
ดูกรวักกลิ ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเราตถาคต
ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม"
และดัง
พระพุทธพจน์ว่า
"ตถาคตสฺส วาเสฏฺฐ เอตํ ธมฺมกาโยติ วจนํ
ดูกรวาเสฏฐะ ธรรมกายนี้เป็นชื่อของตถาคต"
"วิชชาธรรมกาย" จึงเป็นหัวใจของการสอน และปฏิปทาที่หลวงพ่อ
อุทิศให้แก่พระพุทธศาสนาโดยสิ้นเชิง
ดังจะเห็นได้ในวัตรปฏิบัติของท่านปรากฏเป็นจริยา
ท่านจะดูแลกำกับ "การเจริญวิชชาธรรมกายชั้นสูง"
ที่กระทำโดยต่อเนื่องนั้นอย่างใกล้ชิดมาก
โดยอำนาจแห่งพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ
ประกอบกับเหตุปัจจัย"ธรรม" ย่อมปราบ "อธรรม" ลงเสียได้
การกำจัดทุกข์ภัยไข้เจ็บ ของชนผู้สมาทานศีลอยู่ในธรรม...ย่อมจะพออยู่ในวิสัย
การเจริญวิชชาธรรมกายนั้น
จึงเป็นกิจเพื่อการปราบทุกข์เข็ญ และยังสันติสุขให้งอกงามไพบูลย์จริง
การประชุมกระแสจิตที่บริสุทธิ์อันแรงกล้า ด้วยการเจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูง
จึงกระทำเพื่อช่วยผดุงชาติ ศาสน์ กษัตริย์
และทวยราษฎร์ในทศพิธราชธรรมอันบริสุทธิ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
การเจริญวิชชานี้ ดำเนินไปต่อเนื่องเป็นที่น่าอัศจรรย์
แม้ในภาวะมหาสงครามโลกครั้งที่ ๒ ระเบิดตกลงมาลูกแล้วลูกเล่า เพื่อทำลายจุดยุทธศาสตร์
เช่น สะพานพุทธ บริเวณใกล้เคียงวัดปากน้ำ
แต่ "หลวงพ่อ" และ "คณะศิษย์ผู้เจริญวิชชาธรรมกายชั้นสูง" มิได้ปลีกออกจากวัดเพื่อหลบภัยนั้นเลย
ท่านกลับยิ่งเด็ดเดี่ยวกวดขันบัญชาการเจริญวิชชาธรรมกายชั้นสูง
ที่ห้องภาวนาที่ท่านเรียกใช้คำง่ายๆว่า โรงงาน นั้น...ให้เร็วและแรงขึ้น
และประเทศชาติก็ผ่านพ้นมหาภัยสงครามนั้นมาได้ด้วยดี
หลวงพ่อของปวงชนการสั่งสอน และ สืบบวรพระพุทธศาสนาของหลวงพ่อนั้น
ท่านอุทิศให้หมดด้วยทั้งกาย วาจา ใจ
เราย่อมสัมผัสได้ถึงความใสบริสุทธิ์ของกระแสธรรมเทศนา และปฏิปทาของท่าน
เป็นกระแสแห่งความสงบ สุข ร่มเย็น อบอุ่น ทรงพลังลึกซึ้ง
หยั่งเข้าถึงใจจากองค์พระสมณะ ผู้พึงกราบสักการบูชา
หลวงพ่อจะให้
ความอุปการะแก่ผู้สมควรได้รับเสมอ ซึ่งท่านได้สอนถึงการอุปการะนี้ว่า
"
เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า เมื่อกาย วาจา ใจ บริสุทธิ์แล้ว
ย่อมมีสิทธิใช้มรดกของพระพุทธเจ้าได้ และใช้ได้จนตลอดชาติ
ถ้าไม่บริสุทธิ์แล้ว แม้จะเอาไปใช้ก็ไม่ถาวรเท่าไร"
ความใจดี มีเมตตากรุณา อันเป็นธรรมค้ำจุนโลก ดังที่ท่านเจริญโดยตลอดเวลา
ซึ่งเห็น และ สัมผัสโดยง่ายนั้น เป็นอัธยาศัยหนึ่งที่คนทั้งหลายบูชาท่านนัก
มรณภาพหลวงพ่อถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ.๒๕๐๒ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ ตึกมงคลจันทสร
เมื่อท่านมีอายุย่าง ๗๕ โดยปี รวมพรรษาได้ ๕๓ พรรษา
กาลนั้นเปรียบเสมือนการพักชั่วครู่ของอมตบุรพาจารย์
และย่อมเป็นเครื่องมือเตือนจิตสะกิดใจแก่คนทั้งหลาย ผู้วันหนึ่งกาลกิริยาจะมาถึง
มิให้ประมาท และให้ขวนขวายทำหน้าที่ต่อตนเอง และผู้อื่นในอริยมรรคคำสอนของหลวงพ่อ จะยังคงดำรงอยู่ประกาศสัจจธรรมฝ่ายบุญฝ่ายสัมมาทิฐิ โดยส่วนเดียวสืบไป
ที่มา http://www.dhammakaya.org/บุพพาจารย์/พระมงคลเทพมุนี-(สด-จนฺทสโร)