ผู้เขียน หัวข้อ: นี่แหละผลกรรม ( เผาทั้งเป็น )  (อ่าน 2033 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ mmm

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 206
  • พลังกัลยาณมิตร 109
  • <( O-O )>
    • ดูรายละเอียด
นี่แหละผลกรรม ( เผาทั้งเป็น )
« เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2011, 10:32:39 pm »



นี่แหละผลกรรม ( เผาทั้งเป็น )


    เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม เป็นวันวิสาขบูชาในปี ๒๕๑๓ ข้าพเจ้ากับพวกได้เดินทางแต่เช้าไปยังจังหวัดสิงห์บุรี โดยผ่านไปทางจังหวัดลพบุรี ตั้งใจไปนมัสการท่านอาจารย์พระครูภาวนาวิสุทธิ์ วัดอัมพวัน เราไปถึงยังไม่ ๑๐.๐๐ น. เช้า และได้พบปะกับท่าน เราได้รับการต้อนรับอันดียิ่งและได้พบกับหลายท่านที่มาประชุมเลี้ยงพระที่วัด เมื่อได้นมัสการท่านอาจารย์พระครูภาวนาวิสุทธิ์ และได้สนทนาอยู่พอควรแล้ว ก็ตั้งใจจะกราบนมัสการลาท่านกลับ เพราะเพื่อนๆ ตั้งใจว่าจะแวะไปนมัสการหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทองและจะเลยไปดูบริเวณค่ายบางระจันซึ่งเป็นที่วีรบุรุษไทยได้แสดงฝีมือสู้รบกับข้าศึกอย่างกล้าหาญ พลีชีวิตเพื่อชาติศาสนาในอดีต เป็นวีรกรรมอันเล่าลือตลอดมาถึงปัจจุบันแต่ท่านอาจารย์ยังไม่ยอมให้กลับ ขอให้ท่านได้ฉันเพลก่อนหลังจากนั้นจะได้มีโอกาสสนทนา ท่านจะแจกพระแล้วจึงค่อยกลับทำให้รู้สึกว่าท่านได้ให้ความเมตตากรุณาด้วยความหวังดีต่อเรา ท่านได้ทราบว่าเราจะไปเพราะพันเอกวสันต์พานิช ได้แจ้งมาก่อนแล้วแต่ก็ปรากฏว่าทางวัดได้จัดโต๊ะอาหารไว้สำหรับพวกเราและพวกที่มาชุมนุมในวัด ซึ่งวันนั้นมี คุณสมเจตน์  วัฒน์สินธุ ไปจากพระนครเป็นเจ้าภาพจัดงานทำบุญเลี้ยงพระและได้จัดอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์ไว้สำหรับเลี้ยงดูผู้ที่ไปวัดโดยทั่วถึง
            วันนั้นข้าพเจ้าได้รู้จักท่านผู้มีเกียรติหลายท่าน ทั้งท่านที่ไปจากพระนครและต่างจังหวัด เท่าที่จะได้ก็คือ ท่านอาจารย์หล่ำ เชาว์บำรุง ท่านผู้นี้อดีตเคยเป็นสมภารเจ้าวัดมาก่อน ปัจจุบันสึกออกมาครองเรือน แต่ท่านก็ได้มาช่วยดูแลจัดการอยู่ที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี เห็นจะเป็นวันวิสาขบูชา ฉะนั้นท่านจึงมีเรื่องเล่าให้ฟังมาก หากแต่เวลานั้นข้าพเจ้ายังไม่พร้อมที่จะจดจำไว้หมดได้ จึงขอร้องให้ท่านบันทึกส่งมาภายหลัง เพื่อข้าพเจ้าจะได้พิจารณาดูว่าเรื่องใดที่จะเข้าใน “กฎแห่งกรรม”  พอที่จะเขียนออกมาได้ท่านได้พยายามบันทึกส่งมาให้ข้าพเจ้าหลายเรื่องทางไปรษณีย์ คิดว่าคงใช้เวลาไม่น้อยและได้แต่งโคลงให้เกียรติยกย่อง ข้าพเจ้าต้องขอขอบคุณแต่รู้ตัวว่าไม่ดีเท่าที่ท่านยกย่องจึงต้องขอตัว ตอนหนึ่งท่านพูดว่า
        “บุคคลเราเกิดมาในโลกนี้ ถ้าไม่สร้างคุณงามความดีให้แก่ตนและคนอื่นบ้าง ชีวิตของผู้นั้นเกิดมาก็เป็นโมฆะตายเปล่า ไม่ทิ้งอะไรไว้ให้คนข้างหลังระลึกถึงบ้าง ถ้าเป็นพ่อค้าก็ขาดทุน เพราะไม่ได้ทำอะไรให้เป็นกำไรของชีวิต”
            นี่เป็นถ้อยคำที่ท่านได้กล่าวไว้ จากนั้นท่านก็เล่าชีวิตอดีตของท่านเมื่อครั้งเด็กว่า
            “ผมเกิดในตำบลที่ขึ้นแก่อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ผมเป็นเด็กท้องนา หากเป็นฤดูข้าวสุกออกรวงจะเหลืองอร่ามเข้ารับท้องฟ้าสีครามเมฆขาวเมื่ออากาศแจ่มใส แลดูเป็นภาพที่สวยสดงดงาม ตลอดทั้งท้องนาอันกว้างใหญ่ไพศาลเป็นทัศนียภาพที่เจริญตายิ่งนัก ดูไม่รู้เบื่อ แต่เมื่อเข้าหน้าแล้งท้องนาก็แห้งกลายเป็นท้องทุ่งมีสันดอนเป็นเนินอยู่กลางเป็นป่ารกทำนาไม่ได้ พอพ้นเนินดอนไปแล้วก็เป็นทุ่งอันกว้างใหญ่สุดสายตา เช้าขึ้นพวกชาวบ้านต่างก็ต้อนควายให้พ้นป่าเนินดอนออกไปปล่อยกลางทุ่งให้ไกลพ้นหลังบ้านซึ่งเป็นไร่อ้อย เพื่อให้มันหาหญ้ากินตามสบาย พอเย็นก็พากันไปต้อนควายกลับเข้าคอก ควายของใครก็เข้าคอกใคร
        ตอนที่เป็นเนินดอนมีผู้ไปสร้างศาลาพักร้อน และขุดบ่อน้ำไว้เพื่อชาวบ้านและผู้เดินทางและผู้เดินทางไกลจะได้พักอาศัยยามร้อน และมีบ่อน้ำเพื่อใช้อาบกินเป็นสาธรณประโยชน์ เนินดอนที่เป็นป่าไม่ห่างไกลจากหลังบ้านผมมากนัก
            ผมยังจำได้ดีว่า เวลานั้นผมอยู่ในวัยรุ่น เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว ผมได้ออกไปทุ่งกว้างกำลังต้อนควายกลับเดินผ่านเนินดอนเพื่อจะไล่ควายเข้าบ้านสะดวกขึ้น แต่เมื่อยังไม่ทันพ้นป่าตอนเนินดอนก็ได้ยินเสียงห้าวๆ อย่างวางอำนาจว่า “เฮ้ย มึงปล่อยควายแล้วมานี่เดี๋ยว” ผมหันไปมองดูก็เห็นเป็นตาชม ซึ่งเป็นคนอยู่ใต้บ้านถัดไป ๔-๕ หลังคาเรือน ผมนึกในใจว่านี่ตาชมจะเรียกเราเข้าไปทำไมในป่าเนินดอนเพราะตามปกติตาชมคนนี้เป็นนักเลงหัวไม้ ชอบพาลหาเรื่องเกะกะชอบตีรันฟันแทง ทั้งมีชื่อเสียงเป็นนักขโมยควายไปเรียกค่าไถ่ จะเรียกว่าเป็นโจรปล้นวัวควายก็คงไม่ผิด ถ้าใครไม่เอาเงินมาไถ่ควาย แกก็ฆ่าเอาเนื้อทำเค็มขาย ไม่เคยรู้จักบุญบาปเวรกรรม ชาวบ้านทั้งเกลียดและทั้งกลัวแกเป็นคนดุร้ายไม่มีศีลธรรม เมื่อได้ยินเสียงแกเรียกใจคอผมก็ไม่สบาย เพราะแม่เคยบอกว่าอย่าไปคบกับพวกคนชั่วจะติดนิสัย จะกลายเป็นคนชั่วไปด้วย เพราะแม่เคยรู้ว่าตาชมคนนี้เป็นหัวหน้า มีพวกสมุนวัยรุ่น ชอบใช้เป็นเครื่องมือให้ไปขโมยควาย
            ผมจำเป็นต้องปล่อยควายไว้แล้วเดินเข้าไปหาตาชมอย่างไม่เต็มใจ เพราะรู้สึกหวั่นๆ ใจไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผม คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ แต่พอเข้าไปใกล้ก็เห็นพวกนี้เขากำลังดื่มน้ำกะแช่กัน ซึ่งรินจากไหกระเทียมใหญ่ใส่กะลามะพร้าวนั่งล้อมวง รู้สึกบางคงชักจะสะลึกสะลือ กลางวงมีกับแกล้มใส่กระทงใบตองเป็นหอยโข่งพล่าหรือยำ ตาชมเรียกให้ผมนั่ง แล้วจัดแจงรินน้ำกะแช่ส่งมาให้ผมเต็มกะลาแล้วพูดว่า
            “เอ้า ดื่มเสียให้หมดในกะลานี่แหละอ้ายหลานชาย” ผมรู้สึกไม่สบายใจจึงบ่ายเบี่ยงไปว่า “ผมต้องขอตัวครับ ผมดื่มไม่ได้ ถ้าดื่มต้องไม่สบาย” ตาชมทำตาขวางแสดงกิริยาไม่พอใจ แล้วพูดว่า “ถ้ามึงไม่กิน มึงก็ไม่นับถือกูซิวะ พวกกูต้องกินเป็นทุกคน ไม่กินไม่ได้ ถ้ามึงไม่กินกูจะเตะมึง” ผมเองก็ตกใจ เพราะเสียงตาชมแสดงกิริยาเอาจริงเอาจัง ทำท่าจะเริ่มโกรธตามนิสัยของแก ไม่ยอมให้ใครขัดใจ เมื่อผมไม่มีทางเลือกจึงพูดเอาใจแกว่า
            “ผมเคารพนับถือลุงมาก แต่มากดื่มกะแช่มันคงทำให้ผมไม่สบายแน่ เพราะผมก็ไม่เคยดื่มมาก่อน แต่เมื่อลุงจะให้ผมดื่มจริงๆ เพื่อลุงผมก็ขอดื่มแต่น้อยๆ ก่อน ถ้าเมามากควายมันจะหาย แล้วผมจะกลับบ้านไม่ได้” ตาชมแกรู้สึกชอบใจที่ทำให้ผมดื่มได้ ก็คลายโมโหลงไปเพราะแกชอบเอาชนะคน แล้วพูดว่า
            “เออ ถ้าอย่างงั้นก็เอา” แล้วแกก็ยื่นกะแช่ที่จะให้ผมดื่มไปให้คนอื่นดื่มก่อนแล้วแกก็รินครึ่งกะลาส่งมาให้ผมแล้วพูดว่า “ดื่มเสียอ้ายหลานข้า ว่าง่ายๆ อย่างนี้ซิไม่เจ็บตัวหัดเป็นนักเลงลูกผู้ชายเสียบ้าง มันจะเข้มแข็งเหมือนกูอ้ายเรื่องควายกูรับรองมันจะหายหรือไม่หายอยู่ที่กูคนเดียวตลอดทั้งบางนี้”
            ผมได้พยายามแข็งใจยกขึ้นดื่ม แสนจะลำบาก แล้วก็กลืนลงไปในลำคออย่างขมขื่น นึกในใจว่าเด็กรุ่นที่เสียผู้เสียคนก็คงอย่างนี้เอง เพราะพวกผู้ใหญ่ใจพาลบังคับด้วยอำนาจพาลให้ทำชั่ว เมื่อตาชมเห็นผมดื่มแล้วแกก็ดีใจหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “เออ มันต้องอย่างนี้ซิอ้ายหลานกู” พลางแกก็อวดตัวว่าเป็นนักเลงใหญ่ พูดพล่ามว่า
            “แถวนี้เอ็งควรจะรู้ไว้บ้างว่าควายใครจะหายหรือไม่หายมันอยู่ที่กู ถ้ากูไม่ใช้ลูกน้องให้ไปขโมย หรือกูไปขโมยเองแล้วมันก็ไม่หาย” เวลานั้นผมจำได้ว่านอกจากตาชมกับพวกเพื่อนคู่หูอายุคราวเดียวกันอีก ๒ คนร่วมทำโจรกรรมกันมานานแล้ว ยังมีเด็กวัยรุ่นถึงจะอ่อนแก่กว่าผมก็ไม่มากนักอีก ๓ คน พวกนี้รู้สึกว่าเป็นลูกน้องคอยฟังคำสั่งของตาชมให้ไปขโมยควาย ขโมยวัวที่ไหน แม้ชาวบ้านจะรู้ว่าควายหายวัวหายนั้นไม่มีพวกอื่น ต้องเป็นพวกตาชม แต่ก็ไม่มีใครกล้าไปฟ้องร้องต่อเจ้าหน้าที่อำเภอ เพราะกลัวอิทธิพลของแก เมื่อแกเริ่มคุยอวดว่า “พูดแล้วจะว่ากูคุยนับตั้งแต่กูขโมยควายชาวบ้านตลอดมา ฆ่าเอาเนื้อขายเอาหนังมาลิ่วเป็นเส้นเชือก (คำว่า ลิ่ว หมายถึง เอามีดเฉือนหนังวัวหนังควายทำเป็นเชือกหนัง) ต่อกันเข้า กูว่าจากบ้านเรานี่มันยาวเห็นจะเลยเมืองสุพรรณเชียวมึงเอ๋ย” เมื่อแกคุยความสามารถของแกแล้วก็หันมาทางผมแล้วพยักหน้าไปทางบ้านผม แล้วพูดว่า
            “มึงรู้ไหมว่า เมื่อก่อนไม่เป็นคลองควายหรอกวะ นับแต่อ้ายนักเลงเก่ามันมีควายมากนับร้อยๆ ม้ามันก็มีไม่น้อยมันทั้งขโมยและซื้อเอาไปขาย ไปปล้นเขาบ้างแล้วแต่โอกาสมันมาขอเดินผ่านข้างบ้านมึง พอหน้าฝนมันย่ำไปมาเลยเป็นคลองเป็นทางเลย เลยเรียกว่าคลองควาย อ้ายนักเลงเก่าคนนี้มันมีชื่อเสียงโด่งดังสมัยหนึ่ง มีอิทธิพลมากเป็นที่เกรงกลัวทั่วไปทั้งตำบล แต่เดี๋ยวนี้ชื่อมันดับไปแล้ว กูจึงขึ้นมาแทน ถ้ามึงไม่เชื่อกูก็ไปถามแม่มึงดูจะรู้ดี” พูดแล้วก็หัวเราะชอบใจว่า “แต่เดี๋ยวนี้บ้านช่องมันโทรมหมด พวกญาติของอ้ายเสือเก่าและอ้ายพวกลูกสมุนของมันหมดชื่อเสียงเวลานี้ทางบ้านมันมีควายทั้งตัวผู้ตัวเมียเห็นจะไม่กี่ตัว มึงรู้ไหมว่ามันไปไหนหมด ควายเป็นฝูงๆ มันหายไปไหนหมด” ผมตอบว่า “ผมรุ่นเด็กถ้าลุงไม่บอกผมก็ไม่รู้” ตาชมหัวเราหึๆ ชอบใจแล้วพูดว่า “เมื่อกูเป็นเด็กยังไม่โกนจุก แต่ก็ยังจำความได้ดี ก็เจ็บใจอ้ายนักเลงใหญ่เวลานั้น กูผูกพยาบาทคิดว่ากูไม่โตขึ้นหรือมันไม่แก่ตายก็แล้วไป ถ้าหากกูโตขึ้นมันแก่ลงเวลาใด เวลานั้นก็จะถึงเวลาของกูบ้างละ กูเจ็บใจมัน ผูกใจเจ็บตลอดมา สาเหตุเกิดเพราะอ้ายนักเลงเก่าคนนี้มันใช้ให้คนมาขโมยควายบ้านกูจนหมดคอกจนพ่อกูไม่มีควายจะไถนาพ่อกูกลัวอิทธิพลสันดานชั่วก็ปล่อยให้มันข่มเหง แม้กูจะเจ็บใจแต่กูก็เด็กเกินไปที่จะคิดบัญชีกับมัน คอยเวลากูเป็นหนุ่มใหญ่เสียก่อน แล้วมันก็ต้องแก่ลง กูคิดผูกพยาบาทมันอยู่ตลอดเวลา แต่นั้นมาเมื่อเวลากูโตขึ้นกูจะทำอย่างใดให้สมกับความแค้น หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง นี่แหละวะอ้ายหลานชาย มันเป็นต้นเหตุให้กูเริ่มใช้ชีวิตชั่วเพราะความเจ็บใจแค้นใจ พอกูเริ่มโตพอวัยรุ่นกูได้สมัครพรรคพวกก็เริ่มขโมยความของมันบ้าง ครั้งแรกๆ ทีละตัวสองตัว ต่อมาทีละ ๘ ถึง ๑๐ ตัว บางครั้งก็มากกว่านั้น กูเลือกแต่ตัวดี ก็ตั้งใจว่าจะขโมยมันให้หมดให้สมกับกูสุมความเค้นอยู่ในอกตลอดมา กูลักควายตั้งแต่มึงยังไม่เกิด กูลักควายของมันสบายมาก เพราะเวลากลางคืนมึงก็รู้ว่าบ้านมันมีคนไม่น้อยแต่กูก็วางแผนรมยาให้มันหลับหมดทั้งบ้าน กูก็ต้อนสบายเมื่อเช้ามันตื่นขึ้นควายก็หายเป็นคอกๆ แล้ว บางครั้งก็เผาไร่อ้อยของมัน พอมันรู้ว่าไร่อ้อยถูกไฟไหม้ มันก็ตกใจพากันวิ่งไปดับไฟ ทางนี้กูอยู่กับพวกก็ต้อนควายอย่างสบายมันจึงเจ็บใจทั้งแค้นใจ สมใจนักก็เพราะมันเคยทำกับพ่อกูเมื่อกูยังเด็ก มันถึงเวลากูบ้างแล้ว สมน้ำหน้ามันต้องเสียทั้งควายทั้งไร่อ้อย อ้ายนักเลงเก่าหมดท่ามันเคยทำแก่คนอื่นอย่างไร กูก็ทำกับมันอย่างนั้น ความชั่วติดง่ายแล้วกูก็ได้ใจเลยขโมยควายขโมยวัวชาวบ้านดะทั่วไป กูขโมยควายขโมยวัวชาวบ้านแถบนั้นใครจะรู้หรือไม่รู้มันขืนไปบอกเจ้าหน้าที่หรือตะโกนด่า กูก็ให้ลูกน้องมันไปเผาไร่อ้อย สมัยหน้าแล้งเขาปลูกอ้อยทำสวนไว้หลังบ้านด้วยกัน ถ้าบางคนทำกูเจ็บใจมาก กูก็เลยเผามันทั้งบ้าน อ้ายพวกเจ้าของบ้านต้องนั่งร้องไห้ บ้านไม่มีจะอยู่ ข้าวไม่มีจะกิน เพราะมันหมดตัวชาวบ้านเขาพากันสงสารช่วยเหลือตามมีตามเกิด แต่กูกลับหัวเราะสนุกดี ฉะนั้นชื่อเสียงกูจึงโด่งดังในทางชั่ว เมื่อกูใช้ให้คนไปเผาบ้านก็นั่งกินเหล้าในตลาดสบายใจ พอชาวบ้านร้องว่าไฟไหม้ไร่อ้อยหรือไฟไหม้บ้านก็ดี กูทำเป็นสนใจตื่นเต้นไปกับเขาด้วยใครจะมาสนใจกู” แกพูดแล้วก็รินกะแช่ส่งมาให้ผมอีก ผมก็ร้องบอกแกว่า “ลุงครับคราวนี้ขอให้น้อยหน่อยผมชักจะเมาหูตาลายแล้ว” แกหัวเราะชอบใจแล้วก็รินมาตามความประสงค์ของผม ผมก็พยายามแข็งใจดื่มเพราะกลัวอำนาจเถื่อนของแก ตาชมแกโม้ต่อไปว่า “เมื่อกูวัยรุ่นนึกแค้นพยาบาทแล้ว ก็คิดว่ากูควรจะต้องหาวิชาใส่ตัว กูจึงไปเที่ยวหาอาจารย์ที่มีความรู้ดีในทางเครื่องรางของขลังเพื่อหาวิชาป้องกันตัว กูจึงเรียนรู้มีวิชาอยู่ยงคงกระพัน มีดปืนไม่สามารถจะมาระคายผิวหนังกูได้ พูดแล้วอย่าว่ากูคุยเลยวะกูสามารถจะคัดเลือกและประสานแผลและดับพิษไฟได้”
            ตาหว่างซึ่งเป็นคู่หูของตาชมนั่งสะลึมสะลือตาปรือฟังคำตาชมพูด พอได้ยินว่าสมานแผลให้ติดได้ก็ลืมตาขึ้นมาพูดว่า “อ้ายเกลอเอ๋ย ข้ายังสงสัยไม่หายเมื่อคราวที่เกลอไปอาละวาดตีกับพวกเจ๊กที่โรงบ่อน อ้ายเกลอถูกเจ๊กมันสับด้วยมีดปังตอที่ชายโครงเป็นแผลเบ้อเร่อ ข้าเห็นแล้วเสียวไส้คราวนั้นทำไมไปเสียทีอ้ายเจ๊กโรงบ่อนได้ ครั้งก่อนๆ ก็เห็นอ้ายเกลอเคยอยู่ยงคงกะพันฟันไม่เข้าไม่ว่าดาบหรือมีดไม้แมลงวันไม่เคยได้กินเลือดเกลอได้เลย ข้าเสียอีกเคยถูกฟันเป็นแผลยังต้องมาหาอ้ายเกลอคัดเลือดให้ และประสานแผลให้ติดจนหาย แต่อย่างไรคราวนั้นจึงเสียท่าเจ๊ก ข้าสงสัยข้าคิดว่าเกลอตายเสียแล้ว เห็นอ้ายเกลอวิ่งกุมชายโครงเลือดไหลโชก โดดลงไปดำน้ำ ครั้งแรกข้าเห็นเกลอโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำข้างตนเห็นเลือดยังแดง แล้วเห็นดำลงไปใหม่แล้วโผล่ขึ้นมาอีกยังเห็นปากแผลเลือดยังไหล ข้านึกในใจปลงอนิจจังว่า เกลอข้าคราวนี้เห็นจะสิ้นชื่อเสียแล้ว แต่พอโผล่ขึ้นมาอีกครั้งเห็นแผลมันติดไม่มีเลือดไหลออกมา ใจข้ามาเท่าพ้อม ข้าดีใจมากว่าอ้ายเกลอข้าไม่ตายแน่”
            ตาชมหัวเราะหึๆ แล้วพูดว่า “อ้ายหว่างเอ๋ยกูไม่ตายง่ายๆ หรอกวะปืน ดาบ มีด ไม้ ไม่ระคายผิวหนังกูได้ถ้ากูไม่ประมาทคราวนั้นกูเมาไปหน่อยเกิดประมาท เกิดพลั้งปากไปด่าแม่มันเข้าไม่ทันคิด เมื่อคิดได้ว่าครูบาอาจารย์ได้สั่งนักสั่งหนาว่าอย่าไปด่าแม่เขา ถ้าด่าแม่ใครของขลังก็คุ้งครองตัวไม่ได้กูก็เลยเสีย เมื่อกูรู้ว่าเสียเพราะพลั้งปากไปด่าแม่ กำลังใจกูก็หมดไป เมื่อถูกฟันก็เข้าเป็นแผลเบ้อเร่อ กูต้องวิ่งหนีกุมแผลชายโครงวิ่งไปทางบ้านแล้วโดดลงไปในน้ำ กูรีบดำน้ำลงไปว่าคาถาประสานเนื้อแผลให้มันติดกัน เห็นจะเป็นเพราะกูตกใจนึกว่าไส้ไหลหมดกำลังใจ เพราะกูเคยถูกฟันนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยเข้าสักที นี่เป็นครั้งแรก กูเลยว่าคาถาผิดๆ ถูกๆ นึกขึ้นต้นคาถาจับบทไม่ถูก ต้องรีบทะลึ่งขึ้นผิวน้ำเพื่อหายใจ เมื่อหายใจแล้วก็ดำลงไปครั้งที่สองคราวนี้กูดันไปว่าคาถาเกี้ยวสาวเข้า ขึ้นตอน อิทะเจติโส ฯลฯ มันผิดหมด แผลมันจะติดได้อย่างไรวะ มันไม่ใช่คาถาประสานแผลให้ติดกัน คราวนี้โผล่ขึ้นมากูตั้งสติใหม่ไม่ให้หวาดกลัวตื่นเต้น ทำใจให้เข็มแข็งให้มีสติสงบนึกถึงครูบาอาจารย์ พอนึกได้จำได้ก็รีบดำลงไปใหม่ แล้วก็กลั้นใจว่าคาถาอยู่ใต้น้ำ ขึ้นต้นว่า อิติมังสัง โลหิตตัง ภควันตัน ปิตถิโตฯ คราวนี้โผล่ขึ้นมาปากแผลก็ปิดสนิท กูก็ดีใจ” แล้วตาชมก็หัวเราะ พลางหันหน้ามาทางผม “อ้ายหลานชายเอ็งจะจำของข้าไปใช้ก็ได้ ข้าจะประสิทธิ์ประสาทอนุญาตให้เอ็ง แต่เอ็งต้องมีความเลื่อมใสศรัทธา มีใจเข็มแข็ง มิฉะนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร สำคัญอยู่ที่ใจ” ตั้งแต่นั้นมาจนปัจจุบันนี้ผมยังจำได้ดีไม่เคยลืม แต่ไม่เคยลองใช้สักที และก็ไม่อยากจะลอง เพราะใจไม่แน่ก็ไม่ได้ผล ทุกคนในที่นั้นต่างก็มีอาการสะลึมสะลือลิ้นไก่สั้นลงทุกที ดื่มกันจะกะแช่หมดไห เสียงตาชมพูดอ้อแอ้ว่า “อ้ายหว่าง พรุ่งนี้มึงเพิ่มให้มากกว่านี้เผื่อหลานกูด้วยนะโว้ย และกูขอบอกให้มึงรู้ว่ากูได้ค่าไถ่ควายจากอ้ายพวกตอนใต้หนึ่งชั่ง ก็ว่าจะยังไม่แบ่ง เอาไว้เป็นทุน เอาไว้รวมแบ่งคราวหน้า เมื่อถึงเวลาพวกมึงก็มากินกันที่นี่แหละวะ”
            ตาคล้ามซึ่งปกตินั่งฟังไม่ได้พูดอะไรเลยก็เอ่ยขึ้นมา “กลับบ้านกันเหอะเย็นแล้วเดี๋ยวควายเราจะไปกินอ้อยหลังบ้านใครก็จะโดดด่า อย่ามัวนั่งเฉื่อยชาอยู่เลย” ตาชมพูดขึ้นว่า “ใครจะกล้ามาด่ากูวะใครด่าพ่อเผาไร่เผาบ้านฉิบหายหมดเลย กูเผามามากแล้วมึงไม่ต้องกลัวใคร” ในวันนั้นไม่มีเหตุดีร้ายอะไรเกิดขึ้น ชีวิตผมผ่านไป เพียงแต่ผมเมากะแช่เพราะดื่มเป็นครั้งแรกเท่านั้น เห็นจะเป็นดวงผมยังดีไม่ต้องตกไปเป็นพวกตาชมจึงมีเหตุเกิดขึ้นเสียก่อน
            ครั้งนั้นห่างจากแถวบ้านของตาชมใต้ลงไปเพียงชั่วตรอกเดียว มีกระท่อมหลังเล็กๆ เป็นที่อยู่ของสองผัวเมียหากินในทางไม่สุจริต ผัวชื่อตาปล้อง เมียชื่อ นางแจ่ม แกมีเรืออยู่ลำหนึ่ง ชอบหากินกลางคืน ผัวพายหัวเมียพายท้ายมีแหติดไปในเรือปากหนึ่งบังหน้า แต่แกไม่ได้หากินในทางทอดแห สองผัวเมียชาวบ้านเขาให้ชื่อว่าแมวน้ำหรือตีนแมวเพราะแกพายเรือเฉียดเข้าไปข้างเรือหรือเรือบรรทุกสินค้าที่จอดพักนอน ถ้าลำไหนเห็นว่าคนไม่หลับหรือยังไม่นอนแกก็ผ่านไป  เมื่อเวลาตี ๑ ตี ๒ คนในเรือมักจะหลับสนิท เพราะกลางวันทำงานหนักกลางคืนก็หลับเหมือนตาย แกก็ฉวยโอกาสย่องขึ้นไปขโมยของในเรือลำนั้นขนถ่ายลงเรือแกมิฉะนั้นก็เกาะตามเรือพ่วงคอยคนเผลอ หากินเช่นนี้เป็นประจำ วันไหนได้ของมากมายก็ร่ำรวยไปพักหนึ่ง  เมียก็กินเหล้าเมาตลอดเวลา เจ้าผักก็นอนสูบฝิ่นสบายใจไปพักหนึ่งหมดแล้วก็หาใหม่ คราวหนึ่งไปขนเอาของมาได้หลายอย่างนอกจากนั้นยังมีน้ำมันปีบหนึ่งที่ย่องมาจากพวกเรือสินค้าได้ก็นำมาขายให้ชาวบ้าน มีผู้รับซื้อ ในคราวนั้นตาชมแกก็ซื้อน้ำมันปีบนั้นเอาไว้ให้เติมตะเกียง และเสื้อกันหนาวที่สาวใส่ทางคอเป็นเสื้อยืดหนาว ในเวลานั้นเป็นฤดูหนาว อากาศคืนนั้นหนาวมาก ตาชมใส่เสื้อยืดหนาวแนบเนื้อที่ซื้อมาจากสองผัวเมียตีนแมวที่ย่องมาได้จากเรือบรรทุกสินค้าขึ้นล่องนั่นเอง คืนนั้นยังหัวค่ำบังเอิญน้ำมันตะเกียงกำลังจะหมดลงตาชมแกก็จัดแจงเจาะปีบน้ำมันที่ซื้อมา หวังจะสูบใส่ขวดจะเติมใส่ตะเกียง เห็นจะเป็นเพราะถึงคราวเคราะห์กรรมตามสนองตาชมที่แกใช้ตะเกียงกระป๋องแบบทำง่ายๆ ใช้เหล็กวิลาสบางๆ แบบกระป่องนม ตรงกลางเป็นฝาสวมบัดกรีเป็นหลอดโผล่ขึ้นมา สำหรับใส่ด้ายดิบเป็นไส้ไม่มีอะไรบังลมและบังคับแสง ถ้าลมแรงๆ ก็ดับ ถ้าดึงไส้ด้ายดิบตะเกียงขึ้นสูงก็ลุกสว่างขึ้น แต่มีเขม่าดำมาก เมื่อตาชมเจาะปีบน้ำมันก็ยกตะเกียงชูขึ้นส่องดูเวลาเจาะปีบให้รูมันใหม่ปรากฏว่าไม่ใช่น้ำมันก๊าดกลายเป็นน้ำมันเบนซิน ไอระเหยแรง เมื่อใกล้ไฟและน้ำมันกระเด็นขึ้นมาเวลาเจาะถูกแสงตะเกียงก็เกิดลุกพรึบขึ้นมา เปลวไฟลามไปถึงในปีบเข้ารอยที่เจาะไว้เป็นรู ความไวของเบนซินทำให้ตาชมตกใจตะลึงไม่รู้จะทำอย่างไร งงไปหมด เพราะไม่เคยนึกว่าเป็นน้ำมันเบนซิน ไวไฟทันใจลุกลามไประเบิดขึ้น น้ำมันกระจายไปทั่วห้อง และสำหรับตัวตาชมทำชั่วไว้มาก น้ำมันเปียกเสื้อยืดกันหนาวจนชุ่ม ไฟลุกท่วมตัว จะถอดก็ถอดไม่ได้ เพราะเสื้อมันแนบเนื้อต้องถอดออกทางคอ แต่ไฟลุกท่วมตัวอย่างรวดเร็วไม่รู้ว่าจะช่วยตัวเองได้อย่างไรเพราะชาดสติ ยายเมียเห็นตกใจก็ตะโกนเรียกชาวบ้านให้มาช่วย ชาวบ้านทั้งบ้านเหนือบ้านใต้ต่างเอะอะโวยวายตกใจ ต่างพากันวิ่งไปช่วยดับไฟบนเรือน บางคนก็นึกสมน้ำหน้าแต่ถ้าไม่ช่วยก็กลัวไฟจะลามมาไหม้บ้านตัวไปด้วย ก็เห็นตาชมวิ่งไฟท่วมตัววิ่งรอบบ้านเพราะตกใจไม่มีสติ บางคนตะโกนบอกว่าไปโดดน้ำแต่ผู้ใหญ่บางคนรู้เรื่องดี ร้องห้ามว่าอย่าโดดน้ำประเดี๋ยวตาย ให้โดดลงไปกลิ้งเลน ตาชมแข็งใจวิ่งไปท่าน้ำกระโดดลงไปในเลนกลิ้งตัวพักหนึ่งไฟจึงดับ เมื่อพวกชาวบ้านช่วยกันดับไฟ แต่ก็ไม่สามารถจะรักษาตัวบ้านไว้ได้ แต่ก็ไหม้เฉพาะบ้านของตาชมเป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้วไฟก็สงบลงแล้วพวกชาวบ้านก็ต้องลงไปช่วยกันหามร่างตาชมขึ้นจากเลนแล้วนำมาช่วยกันพยาบาลตามมีตามเกิดบนบ้านญาติพวกเพื่อนบ้านก็ต้องช่วยกันเอาใบตองมารองตัวตาชมเพราะหนังถลอกเพราะเนื้อสุก กว่าจะใช้ตะไกรตัดเสื้อที่ยังไม่ไหม้ออก ตาชมทนเจ็บไม่ไหวก็ร้องโหยหวนเหมือนหมาหอน เพราะความปวดแสบปวดร้อนกัดฟันสั่นหน้าแม้จะสงสารก็ต้องตัดออกมิฉะนั้นก็กลัวเนื้อจะเน่า บางคนใช้น้ำมันมะพร้าวชุดสำลีอ่อนๆ ค่อยทาตามตัว แต่ก็ไม่สามารถจะทำให้แกหายกระวนกระวายลงได้ ตาชมแกร้องครวญโวยวายเพ้อทุรนทุราย บางคนรู้ว่าแกมีคาถาอาคมเตือนสติว่า “คาถาดับพิษไฟล่ะ ลุงชม เอาออกมาใช้ซิ” เสียงตามครางอย่างน่าสงสารแล้วพูดว่า “คาถา คาถาดับพิษไฟ กูลืมหมดแล้ว บัดนี้กูทั้งปวดทั้งแสบร้อน กูทนไม่ไหวกูไม่มีสติจะคิดอะไรเลย” พอขาดคำแกลืมตัวดิ้นรนเหมือนจะพยายามหนีอะไรอยู่ตลอดเวลา เนื้อหนังที่สุกก็ถลอดจนเนื้อในแดงๆ มองดูคล้ายเนื้อวัว เนื้อควาย บางตอนก็มองเห็นกระดูก ตลอดเวลาแกดิ้นไม่หยุด ใครจะจับไม่กล้ากลัวเนื้อแกจะหลุดติดมือออกมาด้วย ได้แต่มองดูแกด้วยความสงสารปลงอนิจจัง ปล่อยให้แกดิ้นคล้ายแกกำลังจะหนีอะไร เลือดติดหนังติดเนื้อติดบนใบตอง ชาวบ้านไปเยี่ยมมองดูแกแล้วก็อดสงสารแกไม่ได้ แม้แกจะเคยสร้างกรรมชั่วไว้มากมาย แต่บัดนี้กรรมนั้นกำลังจะสนองส่งแกไปสู่สุคติอยู่แล้ว เพราะแกร้องดิ้นโวยวายแสดงกิริยาจะหนีท่าเดียว แกดิ้นรนตลอดเวลาเหมือนว่าแกกลัวมากจนสุดขีดจึงไม่นึกถึงเนื้อหนังที่หลุดอกมาเพราะสุกเจ็บปวดขนาดหนักคิดว่ายังน้อยกว่าความกลัว ชาวบ้านต่างเห็นแล้วก็เกิดสังเวชใจ แม้จะรู้ว่าแกเคยปล้นความเผาบ้าน เผาไร่อ้อยชาวบ้านมาก่อนก็ดี แต่บัดนี้แกได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เห็นแล้วน่าเวทนาและเศร้าใจ แม้บางคนจะเคยเกลียดชังแกมาก่อน บัดนี้เมื่อเห็นสภาพที่แกได้รับทุกข์อาการป่วยได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัสเช่นนี้ ต่างก็อโหสิกรรมให้แก เพราะรู้ว่าแกหมดโอกาสที่จะได้สร้างความชั่วได้อีกต่อไปแล้ว แต่บางครั้งแกก็กลับได้สติบ้างเป็นพักๆ แล้วก็หยุดดิ้นรน ผู้เฒ่าผู้แก่เห็นก็สงสาร นึกว่าชีวิตคงจะถึงที่สุดในไม่ช้า จึงพูดนำทางเตือนให้แกเมื่อแกพอจะได้สตินึกถึงพระถึงเจ้าบ้าง จึงให้สติเตือนแกว่า “ชมเอ๋ยเอ็งนึกถึงพระอรหังไว้บ้างนะ เวลาจะไป จะได้ไปในที่ชอบ” เสียงตาชมแกพูดสวนขึ้นมาอย่างดุๆ ตามนิสัยของแก่ว่า “พระอะไรมีหางวะ กูเห็นแต่วัวควายมีหางแต่กูไม่เคยเห็นพระมีหางเลย กูกำลังเห็นแต่วัวควายเป็นฝูงๆ มันกำลังโกรธตาแดงจ้องมาทางกู มันพากันวิ่งเหยียบย่ำบนตัวให้กูตาย กูจะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น มันมีมากมายเหลือเกินเต็มไปหมด ฝูงแล้วฝูงอีก” ผู้มาเยี่ยมไข้ได้ฟังแล้วก็ขนลุกต่างเศร้าสลดใจ คิดว่ากรรมของแกหนักมาก พระโปรดไม่ถึงเมียแกร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะสงสารผัว เสียงแกพูดเพ้อหายใจไม่สะดวก หายใจหอบถี่เหมือนสะอึก แต่แล้วแกก็กลับเพ้อร้องโวยวายตะเกียกตะกายเหมือนจะหนีอะไรที่แสนจะน่ากลัวที่สุดและแสดงความหวาดกลัวจากกิริยาท่าทาง ตาเหลือกโปนอ้าปากค้างแล้วตัวก็บิดเบี้ยวร้องเสียงเหมือนเวลาวัวควายกำลังจะถูกฆ่า ร้องครวญครางเหมือนแสะจะเจ็บแสนจะทรมาน ที่สุดอ้าปากตาค้างหมดลมหายใจตาชมทรมานได้เพียง ๒๔ ชั่วโมง หลังจากไฟไหม้บ้านหมดแล้วนำขึ้นมาพยาบาลบนเรือนญาติ ชีวิตของตาชมก็สิ้นลงนี่เป็นกรรมอันหนึ่งของมนุษย์ปุถุชนเรา เวลาทำไม่ค่อยได้นึกว่ากรรมนั้นจะตามมาสนองเมื่อวิญญาณออกจากร่างและคงมีอีกไม่น้อยแบบตาชม เรื่องนี้คงจะเกิดประโยชน์บ้างหากท่านอ่านแล้วคิด ข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านอาจารย์หล่ำ เชาว์บำรุง บ้านเลขที่ ๑ หมู่ที่ ๓ ตำบลพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ผู้ส่งเรื่องนี้มาให้



ที่มา http://www.jaisabuy.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538776543
 :07: :07: :07:
กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนอง
ผู้ก่อกรรมดี   ย่อมได้รับกรรมดี
ผู้ก่อกรรมชั่ว ย่อมใด้รับกรรมชั่ว
"ใช้ใจดู จะรู้จิต  ใช้จิตดู จะรู้ใจ"

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: นี่แหละผลกรรม ( เผาทั้งเป็น )
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2011, 01:03:50 am »
อนุโมทนาครับ
ขอบคุณครับพี่โอ เป็นตัวอย่างเวรกรรมให้เห็นอย่างชัดเจนครับ
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~