ผู้เขียน หัวข้อ: วิญญาณคะนอง (โดย ท.เลียงพิบูลย์)  (อ่าน 1515 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ mmm

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 206
  • พลังกัลยาณมิตร 109
  • <( O-O )>
    • ดูรายละเอียด


วิญญาณคะนอง
โดย ท.เลียงพิบูลย์


จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๑


เรื่องวิญญาณ คิดว่าในยุคปัจจุบันนี้กำลังมีผู้สนใจกันไม่น้อย หรือจะเรียกว่าเป็นยุค “วิญญาณ” ก็ได้ ไม่ใช่แต่ในประเทศไทย แม้ต่างประเทศก็เพิ่มจำนวนผู้สนใจมากขึ้น แต่ก็ยังมีมากท่านที่มองไปในแง่ของความงมงาย เป็นธรรมดาของโลกมนุษย์ที่มีจิตใจแตกต่างกัน ต่างความเห็นแต่ละบุคคล เพราะโลกมนุษย์ตามธรรมชาติสร้างมา ย่อมจะมีจิตใจสูง ต่ำ กลาง ไม่อยู่ในระดับเดียวกัน

ฉะนั้น จึงต้องมีหลักธรรมของศาสนาขัดเกลา ชี้ให้เห็นสัจธรรม ยกจิตให้สูงขึ้นเสมอกัน เพราะมนุษย์เกิดมามีทั้งคนใจบุญและคนใจบาป มีทั้งคนชั่ว คนดีเป็นพลโลกอยู่ทั่วไป ไม่ว่าเรื่องชั่วหรือเรื่องดี ย่อมมีทั้งคนชอบและไม่ชอบทั้งสองอย่างมากน้อยเป็นธรรมดา ฉะนั้น เรื่องที่อิฉันได้บันทึกส่งมานี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนชาววัดผู้หนึ่ง คิดว่าหากท่านได้ใช้สติปัญญาพิจารณาดูแล้ว ก็จะมองเห็นสิ่งที่ลี้ลับซึ่งเป็นเรื่องที่พิสูจน์หาเหตุผลไม่ได้

เพราะเรื่องที่บันทึกมานี้ ผู้ประสบเหตุการณ์เป็นผู้อยู่ในศีลในธรรม มีศีลที่ปฏิบัติประจำ พอจะเชื่อถือได้ ฉะนั้น การที่ได้บันทึกมานี้คงจะช่วยให้เกิดประโยชน์ได้บ้างไม่มากก็น้อย ดังข้อความที่จะบรรยายต่อไปนี้

อิฉันมีเพื่อนวัดที่ถูกอกถูกใจ มีนิสัยใจคอคล้ายกันมากผู้หนึ่ง เราได้พบและเคยฟังธรรมรักษาศีลที่วัดมาด้วยกันนานปี พอจะรู้ภายในจิตใจกันได้ดี จึงคบหาสนิทสนมกันมาก แต่แล้ววันพระหนึ่งผ่านไปก็ไม่เห็นเพื่อนผู้นี้มาฟังธรรมเช่นเคย ให้นึกสงสัย ตลอดเวลาไม่เคยขาดฟังธรรมรักษาศีลในวันพระเลย จึงเกิดเป็นห่วงเพราะการชอบพอนิสัยใจคอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เป็นห่วงกลัวว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วย จึงได้พยายามสืบถามผู้คุ้นเคยกับเพื่อนวัดผู้นี้ แต่แล้วก็ได้ข่าวรายละเอียดว่า

เมื่อครั้งหลังได้มาฟังธรรมรักษาศีล เมื่อกลับบ้านก็อุบัติเหตุจากรถประจำทางซึ่งหยุดที่ป้าย แกกำลังจะลงจากรถเข้าบ้านแต่พอจะยกเท้าก้าวลงมา ยังไม่ทันจะเหยียบถึงพื้นข้างถนนดี รถประจำทางก็ออก ทำให้รถลากร่างออกไป ๒ ก้าว ก็ล้มลง เคราะห์ยังดีที่ผู้โดยสารร้องตะโกนเสียงหลง ว่าคนล้มข้างรถ คนขับจึงตกใจห้ามล้อ มิฉะนั้นล้อหลังผ่านมาถึงคงจะสาหัสกว่านี้มาก แต่อย่างนั้นก็ปรากฏว่ากระดูกตะโพกร้าว และทราบว่าเวลานี้กำลังเข้าโรงพยาลบาล และมีหลานสาวเป็นพยาบาลได้อยู่ประจำโรงพยาบาลนี้จึงค่อยอุ่นใจ และได้รับความสะดวกพอสมควร นี่ก็เห็นจะเป็นกรรมเก่าในอดีตตามสนอง

เมื่ออิฉันได้ทราบข่าวก็รีบไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลทันที เมื่อไปถึงก็ทราบว่าอยู่ตึกศัลยกรรมหญิง เมื่ออิฉันเข้าไปเยี่ยมในตึกที่แกนอนป่วย รู้สึกมีคนป่วยอยู่มากมาย ในห้องนั้นมีเตียงคนป่วยประมาณ ๕๐ เตียง เห็นคนป่วยในห้องนั้นมีอาการเกี่ยวกับกระดูก บางคนก็แขนหัก ขาหัก บางคนก็แขวนขาชักรอกโยงขึ้นไปถ่วงดึงน้ำหนัก

บางคนก็หลังหักต้องเข้าเฝือกพอกปูนเป็นส่วนมาก และต่างก็มีหน้าซีดเซียวด้วยการต้องทนทุกข์ทรมานอย่างสาหัส เนื่องจากป่วยไข้ เห็นแล้วก็อดสังเวชในใจไม่ได้ นึกในใจว่า นี่เป็นสถานที่รวบรวมคนมีทุกข์ส่วนย่อยๆ เจ็บป่วยในทางกระดูกซึ่งมีอาการไข้ต่างๆ กันมีทั้งหนักและเบา ยังมีโรคภัยไข้เจ็บโรคอื่นๆ ของมนุษย์ที่ร้ายแรงกว่านี้ก็ยังมีอีกมาก ทั้งไม่นึกว่าผู้หญิงที่เจ็บป่วยทางกระดูกมีมากถึงเพียงนี้

เห็นแต่ความทุกข์ของมนุษย์มีมากมาย ไม่ยกเว้นหญิงหรือชาย พิจารณาดูความสุขความสบาย มองไม่เห็นเลย สมกับพระท่านสอนให้พิจารณาถึงทุกข์ เหตุเกิดของทุกข์ แต่อิฉันไม่มีเวลาจะคิดปลงสังขารอะไรมากนัก เพราะกำลังใจจดจ่อที่จะมาเยี่ยมเยียนเพื่อน จึงส่ายตาหาว่าเพื่อนจะอยู่เตียงไหน เพราะเข้าไปอยู่ในห้องคนป่วยแล้วแลดูลานตาไปหมด ซ้ำยังเครื่องนุ่งห่มก็คล้ายกัน ก็ได้แต่พิจารณาถึงรูปร่างหน้าตาเท่านั้น ได้ทราบว่าแม้จะมีเงินเสียเพื่อจะอยู่ห้องพิเศษก็ไม่มีหวัง เพราะห้องพิเศษมีจำกัดและหาว่างยาก ต้องจองคิวคอยกันนาน ถ้าไข้หนักก็ไม่ทันได้อยู่ห้องพิเศษ จึงต้องอยู่ในห้องรวมคนไข้เป็นหมู่เป็นพวก

เมื่อพบเพื่อนนอนอยู่บนเตียงเกือบสุดมุมห้อง สังเกตดูหน้าตาก็ไม่เหมือนคนป่วย เพราะยังแจ่มใสไม่ซีดเซียวเหมือนคนไข้ทั่วไป เมื่อเราได้พบหน้ากันต่างก็ดีใจ อิฉันก็เริ่มถามอาการป่วย เพื่อนก็เล่าให้ฟังเริ่มที่ตกรถ และเล่าต่อเมื่อมาอยู่โรงพยาบาลว่า เมื่อหมอตรวจดูและฉายเอกซเรย์ดูเห็นกระดูกตะโพกร้าว จะต้องเข้าทำการผ่าตัด เพื่อนก็ตกลงใจยินยอม เวลานี้เพียงแต่รอเวลาเข้าห้องผ่าตัดเท่านั้น เมื่อเราได้สนทนากันพอสมควรแก่เวลาที่ทางโรงพยาบาลจำกัดอนุญาตให้เยี่ยมแล้ว อิฉันก็ได้ลากลับ

วันต่อมาอิฉันก็ไปเยี่ยมอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้อิฉันทราบจากทางโรงพยาบาลว่า แกกลับบ้านแล้ว และกลับอย่างกะทันหันก็นึกแปลกใจ ตกลงอิฉันต้องตามไปเยี่ยมที่บ้าน เมื่อพบเพื่อนอยู่ที่บ้านจึงถามว่า “ทำไมจึงรีบกลับบ้านล่ะ ผ่าตัดเรียบร้อยแล้วหรือ”

ก็ได้ยินเสียงตอบอย่างไม่สบายใจนักว่า “ยัง และจะไม่มีการผ่าตัด”

อิฉันถามว่า “อ้าว แล้วทำไมไม่ผ่าตัดให้หายเรียบร้อยเสียก่อนล่ะ”

เพื่อนได้เล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลให้ฟังว่า

วันหนึ่งหลังจากอิฉันไปเยี่ยมกลับแล้ว ในคืนวันเดียวกันเขาหาม หญิงจีนสูงอายุคนหนึ่ง เข้ามาในห้องคนป่วย ทราบภายหลังว่า แกหกล้มสะบ้าหัวเข่าหลุด แสดงว่าแกเจ็บปวดร้องครวญคราง พอยกร่างแกขึ้นบนเตียงที่เขาเตรียมไว้แล้ว เขาก็เอาผ้ามัดตีนแกติดไว้กับเตียง เพื่อป้องกันแกพลิกขา หญิงจีนผู้นั้นก็นอนกระสับกระส่าย หลับๆ ตื่นๆ เห็นจะเป็นเพราะปวดหัวเข่าก็ได้ แต่แล้วไม่นานนัก แกร้องโวยวายจนสุดเสียงถึงความหวาดกลัว เหมือนกับเห็นภาพที่ตื่นเต้นตกใจ ปากแกก็ตะโกนออกมาว่า “ผีๆ ๆ ๆๆ ไปๆ ๆ ๆ”

ทำให้คนไข้ที่กำลังหลับ ก็สะดุ้งตกใจตื่นโงหัวขึ้นมาดูว่า ยายซิ้มคนนี้แกเป็นบ้าหรือเพ้อเพราะพิษไข้ พยาบาลกลัวว่าจะทำให้คนไข้ในห้องต้องตื่นในเสียงรบกวนของยายซิ้ม ควรให้แกสงบสติอารมณ์ พยาบาลก็จัดการฉีดยาระงับประสาทให้แกนอนหลับ แต่แล้วไม่ช้ายาก็ออกฤทธิ์ทำให้ยายซิ้มนอนสงบไม่โวยวายและหลับไป

คนไข้พากันหลับต่อไป แต่ก็มีคนไข้บางคนที่เจ็บปวดนอนไม่หลับ พยาบาลก็ได้ฉีดยาให้จนนอนนิ่งเงียบ ในห้องมีแต่ความเงียบสงบ แต่แล้วไม่นานก็ได้ยินดังโครมคราม มองไปดูเห็นขายายซิ้มที่ผูกมัดอยู่ที่เตียงชูขึ้น แต่ตัวยายซิ้มตกลงไปอยู่ข้างเตียง ได้ยินแต่เสียงยายซิ้มร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ความโกรธทำให้ความกลัวลดน้อยลง จึงร้องทั้งแช่งด่าออกจากปากว่า

“อ้ายผีมึงมาทำกูทำไม กูทำอะไรให้มึงเจ็บใจ มึงมาเที่ยวรังแกคน ขออย่าให้มึงไปผุดไปเกิดเลย ขอให้มึงตกนรก”

เจ้าหน้าที่และพยาบาลเห็นยายซิ้มพูดเพ้อเจ้อ ก็ช่วยกันอุ้มยายซิ้มขึ้นมานอนบนเตียงอย่างเดิม เพิ่มยาฉีดระงับความเจ็บปวดและพูดเพ้อเจ้อ ส่วนคนไข้อื่นๆ ก็พลอยตื่นและร้องระงมไปหลายเตียง เพราะเกิดการปวดขึ้นมา พยาบาลก็ได้จัดการฉีดยาให้พวกที่แสดงว่าเจ็บปวด เพื่อให้นอนหลับต่อไป

พอพยาบาลฉีดยาให้คนไข้ที่ร้องระงมทั่ว แล้วก็ปิดไฟในห้อง แล้วก็เดินออกไป ไม่ช้าในห้องก็ปกติสงบเงียบอีกครั้งหนึ่ง ส่วนเพื่อนอิฉันนั้นไม่ได้ฉีดยาและยังมีสติ และมีความรู้สึกดีอยู่ คืนนั้นแสงเดือนแจ่มกระจ่างลอกเข้ามาในห้องทางหน้าต่างและทางช่องลม พอจะมองเห็นตามเตียงคนไข้ได้อย่างชัดเจน

กำลังนึกคิดถึงเรื่องการผ่าตัด ซึ่งเกิดไม่แน่ใจว่าจะผ่าตัดเสียแล้ว ใจหนึ่งอยากจะรักษาทางพระ กำลังคิดก็พอดีได้ยินเสียงคนพูดกันพึมพำภายนอก แล้วก็เข้ามาในห้อง เพื่อนได้ผงกหัวชูคอขึ้นดู นับแต่เตียงอยู่ใกล้ประตูทางเข้าซึ่งเรียงรายมาจนถึงที่ใกล้เตียงที่แกนอน เห็นคนไข้นอนหลับอยู่บนเตียงอย่างสนิท เห็นจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาฉีดทำให้คนไข้หลับเหมือนตาย

เห็นคนหมู่หนึ่ง ประมาณ ๕ คน กำลังเดินเข้ามา ทุกคนใส่เสื้อขาว กางเกงขาว ทำให้คิดว่าจะเป็นหมอมาเที่ยวตรวจดูคนไข้ แต่ทำไมจึงไม่เปิดไฟให้สว่าง แต่ก็ไม่ได้คิดสงสัยว่าจะเป็นผู้อื่น เพราะข้างนอกห้องมีพนักงานและพยาบาลอยู่เวรกันหลายคน คงจะไม่ปล่อยคนนอกเข้ามารบกวน คนไข้ยามค่ำคืนเช่นนี้เป็นแน่ แต่เมื่อเห็นพวกเหล่านั้นเดินไปเตียงโน้นเตียงนี้ ซึ่งมีคนไข้กำลังนอนหลับสนิทในห้องนั้น เห็นจะมีเพื่อนดิฉันคนเดียวที่ยังไม่หลับ ซึ่งผงกหัวขึ้น ตาคอยจ้องดูแล้วก็ชักเกิดสงสัยขั้นมาว่า

พวกใส่เสื้อขาวกางเกงขาวพวกนี้เป็นใคร เข้ามาในห้องนี้ได้อย่างไร ปฏิกิริยาท่าทาง พิจารณาดูแล้วคิดว่าไม่ใช่พวกหมอ เพราะพวกนี้จับแขนจับขาพวกคนไข้ทั้งที่กำลังหลับสนิทขึ้นมา แล้วก็เหวี่ยงลงไปอย่างไม่ปรานี แล้วก็มองไปเตียงโน้นเตียงนี้ ทำท่าทางกิริยาเช่นเดียวกันซึ่งหมอเขาจะไม่ปฏิบัติต่อคนไข้เช่นนั้นเป็นอันขาด ทำให้เพื่อนอิฉันนึกกลัวว่า พวกนี้คงจะเป็นพวกปล้นหรือพวกขโมย คอยขโมยเงินคนไข้ที่กำลังหลับสนิท จะทำอย่างไรก็ไม่ตื่น ยิ่งนึกก็ยิ่งกลัวมากขึ้น

คิดว่าในห้องคนไข้มีแต่เพื่อนอิฉันคนเดียว ที่ได้เห็นเหตุการณ์แปลกๆ และคิดว่าจะสวดมนต์ก่อนจะนอน แต่ยังไม่ทันเริ่มก็เห็นเหตุการณ์ประหลาดขึ้น ทำให้จิตใจหวาดกลัว จับบทสวดมนต์ขึ้นต้นชนปลายไม่ถูกเพราะความกลัวทำลายสติ ในใจมีแต่ความวุ่นวาย คิดว่า “พวกนี้เป็นพวกขโมย มันกำลังค้นหาทรัพย์สินของคนไข้ที่กำลังหลับ มันกำลังจะมาถึงเราแล้วจะค้นหาทรัพย์สิน ถ้ามันเห็นเรายังตื่นอยู่ไม่หลับ ได้เห็นหน้ามันแล้วก็คงจะจำได้ มันคงฆ่าเรา ไม่ยอมให้เรามีชีวิตอยู่ เพื่อเป็นพยานหลักฐานยืนยัน ใจเพื่อนอิฉันปั่นป่วนคิดอะไรไม่ถูก ไม่ได้สติ คิดอะไรไม่ถูกเพราะความหวาดกลัว

คิดว่าเราจะทำเป็นหลับเหมือนคนไข้อื่นๆ ปล่อยให้มันค้นทรัพย์สินไปตามชอบใจ แต่หัวใจเต้นแรงแทบจะออกมาภายนอก แม้จะทำเป็นหลับแต่ใจหนึ่งอยากจะลืมตาคอยจ้องดู จึงทำให้กระสับกระส่าย ลืมๆ หลับๆ จิตไม่ปกติ กลัวก็กลัว อยากเห็นก็อยากเห็น จะได้รู้ว่ามันเป็นใคร มันทำอะไร แม้ในห้องจะปิดไฟหมด แต่แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ก็สามารถจะเห็นได้ชัดเจน คืนนั้นจำได้ว่าเป็นคืนวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ประมาณเวลาราว ๔ ทุ่มกว่า คงไม่ช้าหรือเร็วกว่ามากนัก ความทุรนทุรายในจิตใจมากนัก

หลับตานิ่งไม่ได้นานก็ต้องลืมตาขึ้นดู เห็นมันเข้ามาใกล้ทุกที นึกในใจว่า แย่แล้วถึงคราวอับจน ลืมตาอีกทีเห็นมันกำลังจะเข้ามาใกล้เตียง ได้พิจารณาดูว่าพวกนี้มันเป็นใครกันแน่ ทำจิตให้ปกติ ให้มีสติแล้วก็จ้องดู เมื่อเพ่งมองดูแสงจันทร์วันเพ็ญ สามารถจะเห็นหน้าได้ชัดเจน และเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเหล่านี้เป็นใครที่ไหน ก็เห็นได้ชัดเจน นั่นไม่ใช่หมอ ไม่ใช่ขโมย

พวกนี้เคยเป็นคนไข้ชายเพราะใส่เสื้อด้ายดิบของโรงพยาบาล ทุกคนรูปร่างผอมโซเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แต่ทำอะไรว่องไวไม่สมกับสังขารที่ผอมแห้งเหมือนผีตายซากเลย ยิ่งพิจารณายิ่งเห็นชัด ยิ่งมองดูดวงตาร่างหน้านั้นเหมือนยิ่งลึกลงไปในเบ้าอย่างน่ากลัว สีหน้าขาวซีดไม่มีเลือดเหมือนกระดาษฟาง เห็นแล้วเหมือนซากศพตายแห้งเดินได้ ยิ่งดูก็เห็นปากหลุบลงไป สองข้างแก้มตอบลง ยิ้มเห็นแต่ฟัน เห็นชัดแล้วก็สะดุ้งตกใจกลัวและตื่นเต้น ใจนึกรู้ว่าพวกนี้ไม่ใช่คน เป็นผีแน่ ทันใดที่รู้ว่าเป็นผี ใจก็หายวูบหนึ่งขนลุกหนาวสั่นแล่นเข้าไปถึงขั้วหัวใจ ต้องทำจิตให้สงบ

เจ้าปีศาจตนหนึ่งตรงเข้ามาที่เตียงเพื่อนอิฉัน ซึ่งกำลังตัวสั่นจิตยังไม่สงบ นึกถึงบทสวดมนต์ไม่ออกเพราะลืมหมดด้วยความตกใจกลัว จำไม่ได้ขึ้นต้นอย่างไร ขึ้นไม่ถูก ทันใดนั้น ผีตนนั้นเดินเข้ามาถึงเตียง เอามือทั้งสองเท้าที่ขอบเตียง ยื่นหน้าถามว่า

“กลัวมากหรือ”

เพื่อนอิฉันไม่สามารถจะพูดโต้ตอบได้เพราะความตื่นเต้น ตกใจมากจนเสียงพูดไม่ออกจากปากเหมือนติดอ่าง เพราะกำลังทำจิตแต่ยังไม่สงบ ทันใดนั้นเตียงที่เพื่อนนอนก็เอียงไปเอียงมา แทบจะเทตัวหลุดตกลงจากเตียง เกิดความรู้สึกได้ทันทีว่า พวกนี้เป็นวิญญาณมาแสดงอำนาจกิริยาท่าทางให้หวาดกลัว ทุกสิ่งในโลกมนุษย์ สิ่งใดถึงที่สุดเข้าแล้วก็จะเข้าสู่ปกติ

เมื่อเพื่อนทำสมาธิใช้อำนาจจิตบังคับ ความกลัวก็ลดลงเพราะเคยศึกษาธรรมมาก่อน ทำให้เพื่อนอิฉันกลับได้สติขึ้นมา เพราะความกลัวก็ค่อยเบาบางลงเกิดความกล้าขึ้นมาแทน จึงนึกในใจว่า ผีตนนี้เป็นอะไรตายนะ อยากรู้ความจริง

ทันใดนั้นเหมือนวิญญาณตนนั้นจะรู้ความนึกคิดภายในใจได้ จึงหันมาพูดว่า “อยากรู้ว่าตายเพราะอะไรหรือ จะบอกให้ก็ได้ว่า เราตายเพราะถูกรถยนต์ชน”

เพื่อนอิฉันได้ยินเช่นนั้นก็หยุดนึก หยุดคิดทันที นึกว่าเพียงคิดในใจเท่านั้นวิญญาณนั้นก็รู้แล้ว วิญญาณนั้นยังหันมาพูดต่อไปว่า “มันออกชื่อกู มันด่ามันแช่งพวกกู ปากมันจัด พวกกูเลยจับมันโยนลงมาจากเตียงเล่น อีก ๓ วัน จะพามันไปเที่ยวกับพวกกู”

เพื่อนอิฉันคิดในใจว่า ควรจะทำจิตให้เป็นสมาธิ แล้วแผ่เมตตาธรรมทางใจไปให้ เวลานั้นสติและความรู้สึกค่อยกลับคืนมาแล้ว จึงตั้งสมาธิแผ่เมตตาธรรมออกไปว่า “เราเป็นชาวพุทธศาสนา ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ หรือมนุษย์ แลอมนุษย์ทั้งหลาย หากเราได้ออกจากโรงพยาบาลนี้แล้ว เราจะประกอบการกุศลถวายสังฆทานต่อพระสงฆ์ ผู้เจริญด้วยศีลปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และจะอุทิศส่วนกุศลไปให้ จงอย่าทำสิ่งใดรบกวนความสงบแก่ส่วนรวม ขอให้เกิดความสงบสุขในสถานที่นี้ด้วย

ทันใดนั้น เสียงวิญญาณนั้นอ่อนลง กิริยาวาจาเรียบร้อยกว่าแรก แล้วพูดขึ้นว่า “ดีแล้ว เราจะรอรับส่วนกุศลที่จะแผ่บริจาคให้เรา แลพวกเราจะออกจากสถานที่นี้ตามความประสงค์”

เพื่อนอิฉันมีความรู้สึกว่า วิญญาณที่ได้พูดกับแกนั้น คงจะเป็นหัวหน้าเพราะได้ยินเสียงสั่งพวกวิญญาณที่แยกย้ายกำลังเล่นกับพวกคนไข้ที่หลับสนิท ที่เตียงข้างเคียงกันให้กลับ แต่ก็ยังได้ยินเสียงบ่นรำพึงของวิญญาณหัวหน้าว่า “มนุษย์ส่วนมากมักชอบพูดแต่คำหวานๆ แต่ไม่ค่อยจะปฏิบัติตามคำพูด เราจะคอยรับส่วนบุญกุศลที่จะอุทิศให้”

พูดเท่านั้นวิญญาณผีทั้งหลายก็พากันเดินลอยตัวหายออกไปทางประตูเข้า

พอตอนเช้าวันรุ่งขึ้น หมอเข้ามาตรวจคนไข้ เพื่อนอิฉันก็บอกหมอว่า “อิฉันตกลงจะไม่ผ่าแล้ว จะขออนุญาตกลับบ้าน”

หมอกับพยาบาลแปลกใจ และถามเพื่อนอิฉันว่า “อ้าว ทำไมจะกลับล่ะ มีอะไรเกิดขึ้นหรือ”

เพื่อนอิฉันไม่กล้าบอก ไม่กล้าพูดอะไรมากเพียงแต่พูดว่า “อิฉันสบายขึ้นแล้ว จึงอยากกลับบ้าน”

ตกลงเมื่อคนไข้ไม่สมัครจะให้ทำการผ่าตัด หมอก็ไม่สามารถจะกักตัวไว้อีก จึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ หลานสาวคนที่เป็นพยาบาลโกรธมาก ที่ไม่ยอมอยู่โรงพยาบาลทำการผ่าตัดให้เสร็จเรียบร้อย ไปหาไม้มาให้พยุงร่างพากลับบ้านด้วยความไม่พอใจ

เมื่อกลับไปถึงบ้าน ต่อมาก็ได้จัดการถวายสังฆทาน ๕ องค์ทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศล กรวดน้ำไปให้วิญญาณของผีที่ไปแสดงตัวที่โรงพยาบาล เพื่อนอิฉันบอกว่า ยังเสียใจที่ลืมถามชื่อวิญญาณนั้นจะได้อุทิศบอกชื่อโดยตรงไปให้

เวลาที่บันทึกเรื่องนี้ เพื่อนอิฉันก็ยังไม่หายดี ยังต้องใช้ไม้พยุงเดินกะโผลกกะเผลกไปให้พระที่วัดท่านรักษาทางไสยศาสตร์อาการเจ็บป่วยก็ค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว นี่เป็นเรื่องแปลกประหลาดเรื่องหนึ่งที่ควรจะนำมาพิจารณาหาเหตุผล คิดว่าคงจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่กำลังศึกษาเรื่องวิญญาณบ้างไม่มากก็น้อย

ข้าพเจ้าได้รับบันทึกฉบับนี้โดยผ่าน คุณประวัติ โชติกำจร มาพิจารณาเรียบเรียงเขียนขึ้น ท่านผู้บันทึกฉบับนี้ได้แจ้งชื่อเสียงและตำบลที่อยู่มาเรียบร้อย ข้าพเจ้าเห็นว่าบางอย่างไม่บังควรที่จะลงไปให้ชัดเจนเกินไปนัก อาจไม่เหมาะสมกับเรื่องเช่นนี้ ขอให้รู้แต่เพียงสิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นมาแล้ว การจะเชื่อหรือไม่เชื่อแล้วแต่ท่านผู้อ่านจะพิจารณาดูเอง

เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องลี้ลับมหัศจรรย์ซึ่งหาเหตุผลให้ชัดเจนอย่างวิทยาศาสตร์นั้นไม่ได้ แล้วแต่ผู้อ่านจะคิด จะพิจารณาดูว่า จะอ่านเป็นเรื่องสนุกสนานตื่นเต้นหาสาระไม่ได้ หรือจะอ่านเป็นเรื่องพิจารณาหาเหตุผลก็ได้ แล้วแต่บุคคลที่จะนึกคิด ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องเช่นนี้ อย่างน้อยก็คงเป็นประโยชน์ที่จะได้รับ คือความเพลิดเพลิน และตื่นเต้นบ้างพอสมควร



................... เอวัง ...................

 


ขอขอบคุณที่มา  http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=341
 :07: :07: :07:
กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนอง
ผู้ก่อกรรมดี   ย่อมได้รับกรรมดี
ผู้ก่อกรรมชั่ว ย่อมใด้รับกรรมชั่ว
"ใช้ใจดู จะรู้จิต  ใช้จิตดู จะรู้ใจ"

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: วิญญาณคะนอง (โดย ท.เลียงพิบูลย์)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2010, 09:56:20 pm »
อ้างถึง
เจ้าปีศาจตนหนึ่งตรงเข้า มาที่เตียงเพื่อนอิฉัน ซึ่งกำลังตัวสั่นจิตยังไม่สงบ นึกถึงบทสวดมนต์ไม่ออกเพราะลืมหมดด้วยความตกใจกลัว จำไม่ได้ขึ้นต้นอย่างไร ขึ้นไม่ถูก ทันใดนั้น ผีตนนั้นเดินเข้ามาถึงเตียง เอามือทั้งสองเท้าที่ขอบเตียง ยื่นหน้าถามว่า

“กลัวมากหรือ”

 :27: กลัวมากครับถ้าเจอแบบนี้จริงๆ
ขอบคุณครับพี่โอ สยองดี แล้วก็ได้พบสัจธรรมแห่งความเป็นมนุษย์ครับ มนุษย์มีหลากหลายแบบ และนิสัยใจคอต่างกัน
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเรียนรู้กันไปผ่อนหนักผ่อนเบาตามวิถีธรรมครับ

 :45:ขอบคุณครับผม
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~