แสงธรรมนำใจ > หยาดฝนแห่งธรรม

ภัยพิบัติที่แท้จริง โดย อาจารย์บุษกร เมธางกูร

(1/2) > >>

ฐิตา:



ภัยพิบัติที่แท้จริง
โดย อาจารย์บุษกร เมธางกูร
บรรยายเมื่อ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๔
ข้าพเจ้าทั้งหลายขอกราบนมัสการด้วยเศียรเกล้าในพระคุณของพระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงคุณอันวิเศษผู้มีความปรารถนาดีกับมวลสัตว์โลกอย่างยิ่งยวด ทรงบำเพ็ญเพียร สร้างบารมีธรรมเพื่อให้เพียบพร้อมแล้วก็น้อมนำบารมีมาเป็นฐานแห่งความตั้งมั่นที่จะตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าชีวิตนั้นเป็นทุกข์ ก็ได้แก่การเวียนว่ายตายเกิดไปในแหล่งกำเนิดทั้งสี่ ซึ่งเราทั้งหลายต่างโคจรมาแล้วนับภพนับชาติไม่ถ้วน บางครั้งก็อาศัยครรภ์มารดา บางครั้งก็อาศัยฟองไข่ บางครั้งก็อาศัยของโสโครก บางครั้งก็อาศัยบุญบ้างหรือบาปบ้างนำเกิด

พระองค์พุทธองค์ตรัสว่า ชาติ ปิ ทุกขา ชาติเป็นทุกข์ เพราะชาตินำมาซึ่งความแก่ ความเจ็บ และความตาย นอกจากนั้น ยังมีโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาส อัปปิเยหิสัมปโยโคทุกโข ปิเยหิวิปปะโยโคทุกโข ยัมปิฉัง นะละภันติ ตัมปิทุกขัง รวมแล้วก็คือทุกข์ทั้ง ๑๑ กอง ซึ่งมีอยู่ในชีวิตและก็ต้องเป็นไปอย่างนี้ตราบนานเท่านาน โดยที่เรามิสามารถลุล่วงจากความทุกข์ได้ เพราะชีวิตนั้นถูกกักขังและร้อยรัดถูกตรึงไว้ด้วยลูกโซ่แห่งสังสารวัฏฏ์

อำนาจแห่งสังสารวัฏฏ์นั้นก็คือ อำนาจแห่งอวิชชาได้แก่ความไม่รู้ และยังมีตัวร้อยรัดมัดตรึงไว้ด้วยตัณหา ดังนั้น ตัณหาและอวิชชาจึงเป็นเครื่องผูกสัตว์นั้นมิให้พ้นไปจากความทุกข์ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระมหากรุณาธิคุณ พระเมตตาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณที่ทรงประทานสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้คือความหลุดพ้น อันได้แก่ มรรคอันมีองค์ ๘ ซึ่งเราทุกคนได้ศึกษาและเรียนรู้แล้ว

ฐิตา:
ปฐมแห่งมรรคนั้นก็คือ สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ หรือเรียกตรง ๆ ว่า ความเห็นอันถูกต้อง ได้แก่ความเห็นตรงสภาวธรรม เช่น ธรรมชาติที่รู้ได้ ธรรมชาติเหล่านั้นเรียกว่าจิต ซึ่งเป็นนามธรรม หรือธรรมชาติที่ทำให้จิตนั้นขุ่นมัวก็ได้ เศร้าหมองก็ได้ ยินดีก็ได้ ไม่ยินดีก็ได้ ธรรมชาติเหล่านั้นเรียกว่า เจตสิก ที่เป็นตัวปรุงแต่งจิต เกิดขึ้นกับจิต ตั้งมั่นอยู่กับจิตในวัตถุเดียวกัน และก็ดับไปพร้อมกับจิต

สภาวธรรมเหล่านี้เป็นความจริงที่จะให้สัตว์โลกผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาพิสูจน์ เพื่อจะสลัดละคลายออกจากกองอกุศลทั้ง ๑๒ ด้วยการเดินทางอยู่ในเส้นทางสายเอก ซึ่งดำเนินอยู่คนเดียว เป็นไปลำพัง เมื่อผู้ใดพบ ผู้นั้นก็พ้น คือ พ้นไปจากสังสารวัฎฎ์ ได้แก่ รอบแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

การสวดมนต์ในเช้านี้ได้ขอให้ทุกคนสำรวมกาย วาจา และใจ เพื่อมิให้จิตนั้นซัดส่ายไปตามทวารต่าง ๆ มั่นที่จะกระทำงานทางใจให้มากด้วยความศรัทธาะสร้างบารมีธรรมโดยเฉพาะปัญญาบารมีให้มากขึ้น เพื่อจะได้ส่งเสริมและสร้างสรรค์ชีวิตให้ประกอบไปด้วยคุณธรรมนำชีวิตให้เจริญ

ขออนุโมทนากุศลทุกท่าน ขอความเจริญในธรรมจงมียิ่งๆ ขึ้นไปในชีวิตทุกๆ ท่านเนื่องจากอาทิตย์หน้าตรงกับเทศกาลสงกรานต์ มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิจะหยุดการเรียนการสอน(วันเสาร์ที่ ๑๖ และวันอาทิตย์ที่ ๑๗ เมษายน) เนื่องจากการจราจรบนถนนพุทธมณฑลคงจะมีความติดขัดมาก เพราะเป็นถนนที่เปิดให้เล่นสงกรานต์กันทุกปี

ฐิตา:
ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ของไทย ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัยและคุณความดีของครูบาอาจารย์ทุกๆ ท่าน ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชา และมีพลังแห่งความรัก ที่จะมอบให้กับทุกคน นับตั้งแต่หลวงพ่อเสือ ท่านอาจารย์บุญมี พระครูศรีโชติญาณ ตลอดจน อาจารย์เพ็ญภัทร์ อาจารย์ธัญนันทน์ อาจารย์สุภางค์ ที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทุกๆ ท่านมาตลอด ขออำนาจของความรักที่ครูทั้งหลายมีใจรักและปรารถนาดีต่อทุกท่าน จงมารวมเป็น ตบะ เดชะ พลวะปัจจัยส่งผลให้ท่านนั้นผ่านพ้นภัยพิบัตินานาประการ รับชีวิตใหม่ในเทศกาลปีใหม่ด้วยสติ ด้วยปัญญา และพาชีวิตดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์ ได้โดยปลอดภัยทุกท่าน

เนื่องจากเทศกาลสงกรานต์ทำให้มีวันหยุดหลายวัน เรือนปฏิบัติที่สำนักวิปัสสนากรรมฐานอ้อมน้อย ก็เต็มหมด เพราะมีผู้ไปเข้าปฏิบัติ หลายท่านใช้เวลาช่วงวันหยุดนี้สร้างชีวิตใหม่ของตนเอง ในเรื่องการปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องเพียรพยายามหมั่นดูแลและเอาใจใส่ชีวิต คงต้องขอใช้คำว่า ทั้งตัวเองและท่านใช้ชีวิตเลอะเทอะกันมามากแล้ว ทำไมเราจึงมีความเลอะเทอะกันอยู่ และไม่มั่นคงในเส้นทางที่เรายอมรับกันโดยดุษฏีรวมทั้งมีความอย่างเชื่อแน่นอนว่า หากปฏิบัติตามคำสั่งเดินตามคำสอนนั้น แน่นอนมรรคจิตผลจิตย่อมเกิดขึ้น และก็แน่นอนที่เราจะมีจุติพิเศษคือจุติของพระอรหันต์

เส้นทางนั้นเป็นที่ทราบดีของทุกคนและเป็นที่ต้องการของทุกคนในขณะที่ถูกอบรมศึกษาอยู่ แต่ก็ต้องบอกว่าถ้าขณะใดที่เราไม่ถูกอบรมหรือไม่ได้ฟังคำสอนแล้ว แม้กระทั่งมรรคจิตผลจิตเราก็ไม่เคยนึกถึงเลย และเราไม่เคยคิดถึงจุติจิตของพระอรหันต์ว่าเป็นจิตที่เราต้องการ เราคิดเพียงแต่ว่าจุติจิตคือตายและมีความกลัวไปในนั้นด้วยคือกลัวตาย

เราจะเห็นได้ว่า ข่าวภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เราเตรียมพร้อมเสมอ เราหวั่นใจเสมอกับสิ่งร้ายๆ เพราะเราทุกคนรักตัวกลัวตาย แต่เราก็หนีไม่พ้นความตาย เมื่อเราเกิดมาแล้วเราเองนั่นแหละที่ต้องตายและก็หนีไม่พ้นการเกิดอีกนั่นคือการเวียนวนในวัฏฏะภัย

ฐิตา:
จริงๆ แล้วโลกใบที่เราอาศัยนี้อยู่ท่ามกลางจักรวาลที่หมุนอยู่นานมากแล้ว อย่างน้อยๆ เราก็รู้ว่าอายุของโลกเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านมานี้มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก และถ้าหากเป็นชีวิตเราที่อยู่มา ๒๕๐๐ กว่าปีแล้วยังไม่ตาย เราคงแก่งั่กจริงๆ งั่กชนิดที่ว่าได้แต่กองเอาไว้ ขยับเขยื้อนไม่ไหว เพราะมันมีความเสื่อมหายนะเกิดขึ้นกับรูปธรรมคือแก่ชรามากมาย

และถ้าย้อนไปไกลอีกนิดหนึ่งคือช่วงเวลาของพระพุทธเจ้าสี่พระองค์ ที่ผ่านมา แม้แต่องค์ที่ ๕ ในภัทรกัปป์ คือ พระศรีอริยเมตไตรย์ ท่านก็จะมาอุบัติขึ้นในโลกที่กำลังหมุนอยู่นี่แหละ ฉะนั้น คำนวณไม่ได้เลยกับอายุของโลก

ตามที่ เราศึกษามาว่า พระโพธิสัตว์องค์ที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะนี้อธิษฐานทำบารมีมาถึง ๔ อสงไขยแสนกัป แล้วพระโพธิสัตว์องค์ก่อนๆ ก็บำเพ็ญบารมีไม่รู้กี่ล้านกี่แสนกัปก็อาศัยโลกใบเดียวกับเรานี้ ฉะนั้น โลกที่หมุนอยู่ในจักรวาลมานานนับเป็นศตวรรษๆ ซึ่งยังประมาณมิได้ว่า เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่

พอพูดถึงตรงนี้เราก็สรุปได้เลยว่า อายุของโลกนั้นมียาวนานเหลือเกิน จึงขอใช้คำว่า “โลกนี้แก่มากแล้ว” ในความแก่ของโลกก็ย่อมมีความเสื่อมเป็นธรรมดา แล้วโลกใบนี้ก็ถูกแสงอาทิตย์เผาผลาญ แรงลมของจักรวาลที่สาดซัดโลกไปมาจนแทบไม่มีชิ้นดี ที่ยังเกาะกุมกันได้อยู่ก็เพราะน้ำ แล้วก็ยังลอยตัวอยู่ได้เพราะมีการลอยตัวของระบบสุริยะจักรวาล

ณ วันนี้ โลกใบนี้ได้แสดงตนบนความแก่ออกมาชัดเจนว่าถึงเวลาเสื่อมมากแล้ว จึงมีแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ที่จริงแผ่นดินมันก็ไหวอยู่ตลอดเวลาแบบเบาบ้างหนักบ้าง แต่ขณะนี้มันไหวรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไหวถี่ขึ้น ๆ ซึ่ง ภายใต้พื้นผิวโลกนี้ก็มีปล่องเปลวแห่งความร้อน ที่เรารู้จักกันในเรื่องของภูเขาไฟ

ฐิตา:
และเมื่อโลกนี้แก่ขึ้นก็พร้อมที่จะปะทุแสดงออกมาอย่างชัดเจน คือ ภูเขาไฟระเบิด สนามแม่เหล็กในโลกนี้ก็แก่มากเกินกว่าจะเก็บกักหรือควบคุมพลังงานให้อยู่ในปริมาณที่ควรจะเป็น ความแก่จึงแสดงถึงความไม่มีเรี่ยวแรงหรือเข้มแข็งได้เหมือนเดิม จึงเกิดเหตุการณ์ ที่ทำให้การหมุนไปของขั้วโลกวิปริต ทำให้เกิดพายุร้าย และทะเลบ้า

ซึ่งบัดนี้โลกได้เปิดโฉมตัวเองขึ้นมาทำให้พวกเรารับทราบ ความไหวของแผ่นดิน ความร้ายแรงของทะเลบ้า ความน่ากลัวของพายุร้ายและความเดือดร้อนอันเกิดจากภูเขาไฟระเบิดซึ่งมีอยู่ในทั่วโลกเพิ่งปรากฏชัดเจน เราเองก็ตื่นตูมและตื่นเต้นที่จะเพียรพยายามหาทางรอดปลอดจากภัยพิบัติ ที่เกิดมาในตอนนี้ เพื่อจะเอาตัวรอดจากจุดใดจุดหนึ่ง บ้างก็ย้ายถิ่นที่เที่ยวหาความปลอดภัย แต่ถึงจะไปอยู่ตรงไหนก็ยังอยู่บนโลกนี้และก็ไม่พ้นความแก่ของโลกไปได้

นี่คือเรื่องเกี่ยวกับดาราศาสตร์ที่เข้ากันได้กับพุทธศาสตร์ เราศึกษามาแล้วว่า ชีวิตของคนเรา ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปะริเทวะทุกขะ โทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง น ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง รวมแล้วทุกข์ ๑๑ มีอยู่แน่นอน และไม่มีใครสักคนหนึ่งหนีพ้นความฉิบหายได้

คำว่า “ความฉิบหาย” นี่ภาษาพระ เพราะทุกข์ทั้ง ๑๑ อย่างนี้ เป็นเรื่องของความฉิบหายของชีวิตทั้งสิ้น อายุคนอย่างมาก ๑๐๐ ปี แล้วต้องตาย แค่เราเอาเวลา ๑๐๐ ปีในแต่ละชาติๆ มาเทียบกับอายุของโลก เราจะเห็นความหายนะในชีวิตของเราที่ต้องพบกับทุกข์ทั้ง ๑๑ อย่างนั้นมากมายยิ่งกว่า ความหายนะที่กำลังจะเกิดจากโลกใบนี้เสียอีก

เพราะความเกิด ความแก่ ความตาย ความไหว ความสะเทือน มันอยู่ที่ตัวเราในหนึ่งชาติที่เราต้องตายอย่างชัดเจน แล้วถ้าเอาความเกิด-ตายของเราหนึ่งครั้งคือ ๑๐๐ ปี ไปเทียบกับระยะเวลาการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าพรองค์นี้คือ ๔ อสงไขย ก็ลองคิดดูเถิดว่าในระหว่างนั้นเราตายมาแล้วเท่าไหร่ เราฉิบหายมาแล้วเท่าไหร่ แต่เราไม่เคยกลับมามองตนเองว่าจริงๆ แล้ว หายนะภัยที่น่ากลัวคือตัวเราเอง ..ไม่ใช่โลก

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version