ผู้เขียน หัวข้อ: "ไม่จำกัดกิโล"เรื่องเล่าดีๆที่ช่วยเพิ่มรอยยิ้มที่หัวใจ&ใบหน้าคุณ^^ By : ขุนเขา จากนิตยสารSecret ฉบับ  (อ่าน 2153 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ดอกไม้ในที่ลับตา ~ ღ

  • ทอฝัน~..ปันรัก & น้ำใจ ..ห่วงใย~ ให้ และ แบ่งปัน..เกื้อกูลกัน ด้วยความจริงใจ แบบไร้เงื่อนไข ดุจดั่ง ครอบครัวเดียวกัน นะคะ ^^ ..
  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 759
  • พลังกัลยาณมิตร 365
  • ๏ นิ่ง .. ดับ ~ .. ขยับ .. เกิด ๏
    • ดูรายละเอียด

"ไม่จำกัดกิโล"

  ขอโทษค่ะ กระเป๋าคุณน้ำหนักยี่สิบกว่ากิโล เราให้ได้อย่างมากที่สุดแค่ยี่สิบกิโลเท่านั้นนะคะ  แต่...ไม่เป็นไร เกินมานิดเดียวให้ผ่านก็ได้ค่ะ..”
                หลังจากที่ยืนลุ้นจนเหงื่อซึม  พอได้ยินประโยคนี้ ลมหายใจที่กลั้นเอาไว้นานก็ถูกผมระบายออกมาเฮือกใหญ่ เพราะอย่างที่รู้ๆ กันว่า ถ้าน้ำหนักกระเป๋าเกินจากที่สายการบินกำหนดไว้  ผู้โดยสารจะต้องเสียค่าปรับแพงมาก สำหรับผม  การต้องเสียค่าปรับนับว่าโหดร้ายพอๆ กับการโดนโจรล้วงกระเป๋าหน้าสนามบินเลยทีเดียว
                ผมมีโอกาสไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ และเพิ่งเดินทางกลับบ้าน เมื่อไม่นานมานี้  แต่เชื่อไหมครับว่า ช่วงเวลาที่ผมรู้สึกสุขใจที่สุดไม่ใช่ตอนอยู่ที่สนามบินหรือตอนกำลังขึ้นเครื่องกลับบ้าน แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่คนทั้งโลกรังเกียจที่สุด  นั่นคอ ตอนแพ็คกระเป๋า เพราะมันทำให้ผมได้พบสัจธรรมอันลึกซึ้ง...
                แรกสุด ผมใช้เวลาหนึ่งวันเต็มในการเก็บของทุกอย่างที่มีมากองสุมรวมกันไว้ เหมือนเวลาจะเข้าค่ายลูกเสือ  หลังจากไปเรียนเกือบสองปี  ผมพบว่า ของทั้งหมดมีมากจนผมแทบจะเปิดท้ายขายได้  เพราะผมเก็บของทุกอย่าง ตั้งแต่หนังสือที่ได้มาฟรีๆ เสื้อมือสองที่เพื่อนให้ ไปจนถึงโคมไฟที่สวยจนสยบสติสัมปชัญญะในตอนซื้อ
                นิสัยชอบเก็บนี่เชื่อว่าผมไม่ได้เป็นคนเดียวแน่นอน เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่มักจะมีความยึดติดเป็นพื้นฐานของจิตใจ จึงไม่ค่อยจะยอมทิ้งของ เพราะกลัวว่าถ้าทิ้งแล้วจะหาแบบที่มีอยู่อีกไม่ได้  ทั้งๆ ที่บางทีของสิ่งนั้นให้ไปหาตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอ
                อย่างที่ทราบกันดีว่า สายการบินจะอนุญาติให้ผู้โดยสารนำกระเป๋าขึ้นเครื่องได้คนละไม่เกิน ๒๐ กิโล แต่ด้วยความตะกละทางใจ ผมจึงพยายามนำทุกอย่างอัดลงไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หลังจากที่เพ่งดูของทุกอย่างด้วยความอาลัยอาวรณ์อยู่นาน   ผมก็ค่อยๆ ละเลียดหยิบของที่ไม่จำเป็นออกอย่างไม่เต็มใจ บางอย่างต้องพลิกดูเป็นนานสองนานกว่าจะตัดใจทิ้งได้ บางอย่างก็ต้องแอบบอกลากันอยู่นั่นแล้วกว่าจะใส่ในกล่องรับบริจาคหรือเอาไปให้เพื่อนได้ แต่ขนาดนี้แล้วก็ยังเกือบโดนปรับเพราะน้ำหนักเกินอยู่ดี
                นึกๆ ดูแล้วก็แปลกดีนะครับ คนเราตอนมีของอยู่มักปล่อยให้ฝุ่นจับหนาเตอะจนมองแทบไม่เห็นว่าเป็นอะไร แต่พอรู้ว่าจะต้องทิ้งมันไป  ก็มักเอามานั่งพิจารณาลูบคลำเสียจนแวววับ ผมว่าคงคล้ายๆ กับคนที่เรารัก  ยามอยู่ด้วยกันก็ไม่เคยจะเหลียวแล แต่พอมีอันต้องจากกันไปถึงค่อยรู้ซึ้งถึงคุณค่า
                กลับมาพูดเรื่องแพ็คของต่อดีกว่า...

                หลังจากที่ผมเดินไปเดินมาระหว่างกองข้าวของ ห้องเพื่อน และห้องตัวเองอยู่หลายรอบ ทันใดนั้นสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นในใจ ... ผมรู้สึกมีความสุขขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว!

                ผมมองกลับไปเห็นห้องที่โล่งสะอาดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมนึกถึงรอยยิ้มบนใบหน้าเพื่อนตอนที่ผมยื่นของให้  และที่เป็นสุขที่สุด คือ ผมรู้สึกเบา ไม่ใช่แค่เบากระเป๋า แต่เบาใจ ผมเพิ่งรู้ว่ายิ่งมีทรัพย์สมบัติมากก็ยิ่งห่วงมาก  พอห่วงมากก็ยิ่งกังวลมาก จึงทุกข์มาก แต่ถ้าไม่มีให้ห่วงก็จะไม่ทุกข์ อีกทั้งยังได้เห็นว่าของบางอย่างที่เป็นส่วนเกินของเรา สามารถกลายเป็นส่วนเติมเต็มของคนอื่นได้  และบางสิ่งที่เราคิดว่ารักนักรักหนา แต่ไม่เคยดูแลรักษา (อย่างนี้จริงๆ ไม่น่าเรียกว่า รัก เรียกว่า หวง น่าจะเหมาะกว่า!)    เราก็ควรเอาไปให้คนอื่นที่เขารู้คุณค่าดูแลรักษาดีกว่า เรื่องนี้ผมว่าใช้ได้ทั้งกับคนและสิ่งของนะครับ
 เมื่อก่อนการจัดกระเป๋าและการต้องทิ้งของเป็นเรื่องที่ผมเกลียดพอๆ กับการนั่งรอรถเมล์  แต่น่าแปลกที่วันนั้นผมกลับหยุดไม่ได้ ผมเอาของที่ผมรักไปให้เพื่อนหลายต่อหลายคน ผมพบว่าการทิ้งสิ่งของนอกกายทำให้ผมได้รับรอยยิ้ม  คำขอบคุณ และความรักกลับมาจนแพ็คใส่ใจแทบไม่ทัน ยังดีว่าของทางใจที่ได้มาไม่ต้องใช้เนื้อที่ ไม่มีน้ำหนัก แถมอยู่กับเราทุกที่ทุกเวลา และไม่ต้องผ่านการตรวจของศุลกากรด้วย ช่วงเวลาที่ผมควรจะทุกข์ เหนื่อย และเศร้าที่สุด จึงกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุด
                สุข...เพราะผมเห็นของที่เคยมีแต่ฝุ่นจับเต็มไปหมด นำมาซึ่งรอยยิ้มที่จับใจ
                สุข...เพราะรู้ว่าการให้ แท้จริงแล้วก็คือการได้รับในเวลาเดียวกัน
                นี่ขนาดเป็นการเดินทางกลับบ้านซึ่งยังไม่ใช่บ้านเก่านะ ผมยังเอาอะไรติดตัวกลับไปไม่ได้อย่างที่ต้องการ ต้องทิ้งของรักของหวงไว้ให้คนข้างหลังตั้งเยอะ แล้วถ้าต้องกลับบ้านเก่าอย่างที่เขาพูดๆ กัน ถึงตอนนั้นผมจะต้องทิ้งหมด...เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว คนที่รัก เงินทอง ลาภยศ ที่สู้อุตส่าห์แสวงหาและเก็บรักษามาทั้งชีวิตก็เอาไปไม่ได้ ความตายจึงเป็นเรื่องน่าเศร้าที่สุดสำหรับมนุษย์เพราะเหตุนี้
                แต่...หยุดก่อน  อย่าเพิ่งคิดมาก มีปรัชญาจีนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ จงอย่าสลักชื่อท่านไว้ในแผ่นหินหรือเปลือกไม้ แต่จงสลักมันไว้ในใจผู้คน...” เมื่อเราจากไป ไม่ว่าจะจากสถานที่หรือจากโลกนี้ สิ่งที่จะมีคุณค่าอยู่เสมอไม่ใช่สิ่งที่เราได้รับ แต่คือสิ่งที่เราได้ให้...ไม่ใช่สิ่งที่เราได้สะสมไว้ แต่คือสิ่งที่เราได้สร้าง...ไม่ใช่สิ่งที่เราได้เรียนรู้ แต่คือสิ่งที่เราได้สอน
                ดังนั้น แม้ผมจะต้องสละของรักให้เพื่อนหรือใครต่อใครไป แต่ผมก็ยังยิ้มได้ เพราะผมรู้ว่า ถ้าของเหล่านั้นยังอยู่กับผม สักวันหนึ่งมันก็จะเก่า พัง และเสื่อมสลายไป ในขณะที่ความทรงจำดีๆ ที่ผมมอบให้คนเหล่านั้นจะคงอยู่ในใจเขาอีกนาน  บางทีอาจนานจนชั่วชีวิต
               
                ผมเชื่อว่า สิ่งที่จะทำให้คนเรายิ้มก่อนตาย ไม่ใช่ภาพสิ่งของที่เรามี  แต่คือภาพรอยยิ้มและความสุขของคนที่เราเคย “ให้” สิ่งดีๆ แก่เขาต่างหาก
                ต้องขอขอบคุณสายการบินที่มีข้อกำหนดเรื่องน้ำหนักกระเป๋า ไม่เช่นนั้นผมก็คงไม่มีความสุขมากเท่านี้ และต้องขอขอบคุณความตายที่เป็นเสมือนกุศโลบายให้ผมได้ตระหนักถึงความสุขจากการเป็นผู้ให้และการเป็นผู้รู้จักละวาง
                ลองดูนะครับ  ของบางอย่างที่คุณเอาใส่ตู้  แต่ไม่เคยสนใจ ลองนำไปให้คนจับ แทนที่จะปล่อยให้ฝุ่นจับ  แล้วคุณจะรู้ว่า ความสุขนั้นทวีคูณได้เมื่อมีคนมาร่วมแบ่งปัน
               
ขณะเดียวกันก็ขอให้หันมาสะสมทรัพย์ทางธรรมกันมากๆ ดีกว่า เพราะการสะสมบุญบารมีและความดี ไม่ว่าจะมากมายเพียงใดก็ไม่กินเนื้อที่ ยิ่งมียิ่งเบา
แถมยังนำติดตัวไปชาติหน้าได้....แบบไม่จำกัดกิโล
 


คัดจาก  บทความเรื่องไม่จำกัดกิโล โดย ขุนเขา ในนิตยสาร Secret
ฉบับ ๔๒ (๒๖ มีนาคม ๒๕๕๓)


 :13: ขอกราบอนุโมทนาและขอบพระคุณ : ที่มาทั้งหมดของบทความ ,ท่านเจ้าของบทความ และเจ้าของภาพประกอบทุกท่าน ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ^^
.. จงมอง "ปัญหา" ให้เป็น "กล้องถ่ายรูป".. เวลาเจอต้อง "ยิ้มสู้" ^^ .. แล้ว "ชูสองนิ้ว".. 


:13:. .. .:19:
จิตอ่อนน้อมเป็นกุศล จิตถ่อมตนเป็นบารมี..
รักษาสุขภาพนะคะ คุณพระคุ้มครอง ความดีรักษาค่ะ..

. . รั ก ษ า ธ ร ร ม ๏ อ ยู่ คู่ ก า ย . .

ออฟไลน์ Plusz

  • กล่องแก้วแจ้วเจรจา
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 1555
  • พลังกัลยาณมิตร 376
  • Love yourself cuz no one will
    • extionary
    • Plusz009
    • ดูรายละเอียด
นึกๆ ดูแล้วก็แปลกดีนะครับ คนเราตอนมีของอยู่มักปล่อยให้ฝุ่นจับหนาเตอะจนมองแทบไม่เห็นว่าเป็นอะไร แต่พอรู้ว่าจะต้องทิ้งมันไป  ก็มักเอามานั่งพิจารณาลูบคลำเสียจนแวววับ ผมว่าคงคล้ายๆ กับคนที่เรารัก  ยามอยู่ด้วยกันก็ไม่เคยจะเหลียวแล แต่พอมีอันต้องจากกันไปถึงค่อยรู้ซึ้งถึงคุณค่า

ชอบตอนนี้มาก ๆ เลยค่ะ
มีความสุข
ทุกครั้งที่เป็นตัวของตัวเอง

===== ได้เวลาวิ่ง วิ่งนะวิ่งนะแฮมทาโร่ =====                                       ===== ได้เวลาวิ่ง กลิ้งนะกลิ้งนะแฮมทาโร่ =====

ออฟไลน์ magicmo

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 127
  • พลังกัลยาณมิตร 30
    • ดูรายละเอียด

ออฟไลน์ magicmo

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 127
  • พลังกัลยาณมิตร 30
    • ดูรายละเอียด