"ไม่จำกัดกิโล"
“ ขอโทษค่ะ กระเป๋าคุณน้ำหนักยี่สิบกว่ากิโล เราให้ได้อย่างมากที่สุดแค่ยี่สิบกิโลเท่านั้นนะคะ แต่...ไม่เป็นไร เกินมานิดเดียวให้ผ่านก็ได้ค่ะ..” หลังจากที่ยืนลุ้นจนเหงื่อซึม พอได้ยินประโยคนี้ ลมหายใจที่กลั้นเอาไว้นานก็ถูกผมระบายออกมาเฮือกใหญ่ เพราะอย่างที่รู้ๆ กันว่า ถ้าน้ำหนักกระเป๋าเกินจากที่สายการบินกำหนดไว้ ผู้โดยสารจะต้องเสียค่าปรับแพงมาก สำหรับผม การต้องเสียค่าปรับนับว่าโหดร้ายพอๆ กับการโดนโจรล้วงกระเป๋าหน้าสนามบินเลยทีเดียว
ผมมีโอกาสไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ และเพิ่งเดินทางกลับบ้าน เมื่อไม่นานมานี้ แต่เชื่อไหมครับว่า ช่วงเวลาที่ผมรู้สึกสุขใจที่สุดไม่ใช่ตอนอยู่ที่สนามบินหรือตอนกำลังขึ้นเครื่องกลับบ้าน แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่คนทั้งโลกรังเกียจที่สุด นั่นคอ ตอนแพ็คกระเป๋า เพราะมันทำให้ผมได้พบสัจธรรมอันลึกซึ้ง...
แรกสุด ผมใช้เวลาหนึ่งวันเต็มในการเก็บของทุกอย่างที่มีมากองสุมรวมกันไว้ เหมือนเวลาจะเข้าค่ายลูกเสือ หลังจากไปเรียนเกือบสองปี ผมพบว่า ของทั้งหมดมีมากจนผมแทบจะเปิดท้ายขายได้ เพราะผมเก็บของทุกอย่าง ตั้งแต่หนังสือที่ได้มาฟรีๆ เสื้อมือสองที่เพื่อนให้ ไปจนถึงโคมไฟที่สวยจนสยบสติสัมปชัญญะในตอนซื้อ
นิสัยชอบเก็บนี่เชื่อว่าผมไม่ได้เป็นคนเดียวแน่นอน เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่มักจะมีความยึดติดเป็นพื้นฐานของจิตใจ จึงไม่ค่อยจะยอมทิ้งของ เพราะกลัวว่าถ้าทิ้งแล้วจะหาแบบที่มีอยู่อีกไม่ได้ ทั้งๆ ที่บางทีของสิ่งนั้นให้ไปหาตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอ
อย่างที่ทราบกันดีว่า สายการบินจะอนุญาติให้ผู้โดยสารนำกระเป๋าขึ้นเครื่องได้คนละไม่เกิน ๒๐ กิโล แต่ด้วยความตะกละทางใจ ผมจึงพยายามนำทุกอย่างอัดลงไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หลังจากที่เพ่งดูของทุกอย่างด้วยความอาลัยอาวรณ์อยู่นาน ผมก็ค่อยๆ ละเลียดหยิบของที่ไม่จำเป็นออกอย่างไม่เต็มใจ บางอย่างต้องพลิกดูเป็นนานสองนานกว่าจะตัดใจทิ้งได้ บางอย่างก็ต้องแอบบอกลากันอยู่นั่นแล้วกว่าจะใส่ในกล่องรับบริจาคหรือเอาไปให้เพื่อนได้ แต่ขนาดนี้แล้วก็ยังเกือบโดนปรับเพราะน้ำหนักเกินอยู่ดี
นึกๆ ดูแล้วก็แปลกดีนะครับ คนเราตอนมีของอยู่มักปล่อยให้ฝุ่นจับหนาเตอะจนมองแทบไม่เห็นว่าเป็นอะไร แต่พอรู้ว่าจะต้องทิ้งมันไป ก็มักเอามานั่งพิจารณาลูบคลำเสียจนแวววับ ผมว่าคงคล้ายๆ กับคนที่เรารัก ยามอยู่ด้วยกันก็ไม่เคยจะเหลียวแล แต่พอมีอันต้องจากกันไปถึงค่อยรู้ซึ้งถึงคุณค่า กลับมาพูดเรื่องแพ็คของต่อดีกว่า...
หลังจากที่ผมเดินไปเดินมาระหว่างกองข้าวของ ห้องเพื่อน และห้องตัวเองอยู่หลายรอบ ทันใดนั้นสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นในใจ ... ผมรู้สึกมีความสุขขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว!
ผมมองกลับไปเห็นห้องที่โล่งสะอาดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมนึกถึงรอยยิ้มบนใบหน้าเพื่อนตอนที่ผมยื่นของให้ และที่เป็นสุขที่สุด คือ ผมรู้สึกเบา ไม่ใช่แค่เบากระเป๋า แต่เบาใจ ผมเพิ่งรู้ว่ายิ่งมีทรัพย์สมบัติมากก็ยิ่งห่วงมาก พอห่วงมากก็ยิ่งกังวลมาก จึงทุกข์มาก แต่ถ้าไม่มีให้ห่วงก็จะไม่ทุกข์ อีกทั้งยังได้เห็นว่าของบางอย่างที่เป็นส่วนเกินของเรา สามารถกลายเป็นส่วนเติมเต็มของคนอื่นได้ และบางสิ่งที่เราคิดว่ารักนักรักหนา แต่ไม่เคยดูแลรักษา (อย่างนี้จริงๆ ไม่น่าเรียกว่า รัก เรียกว่า หวง น่าจะเหมาะกว่า!) เราก็ควรเอาไปให้คนอื่นที่เขารู้คุณค่าดูแลรักษาดีกว่า เรื่องนี้ผมว่าใช้ได้ทั้งกับคนและสิ่งของนะครับ
เมื่อก่อนการจัดกระเป๋าและการต้องทิ้งของเป็นเรื่องที่ผมเกลียดพอๆ กับการนั่งรอรถเมล์ แต่น่าแปลกที่วันนั้นผมกลับหยุดไม่ได้ ผมเอาของที่ผมรักไปให้เพื่อนหลายต่อหลายคน
ผมพบว่าการทิ้งสิ่งของนอกกายทำให้ผมได้รับรอยยิ้ม คำขอบคุณ และความรักกลับมาจนแพ็คใส่ใจแทบไม่ทัน ยังดีว่าของทางใจที่ได้มาไม่ต้องใช้เนื้อที่ ไม่มีน้ำหนัก แถมอยู่กับเราทุกที่ทุกเวลา และไม่ต้องผ่านการตรวจของศุลกากรด้วย ช่วงเวลาที่ผมควรจะทุกข์ เหนื่อย และเศร้าที่สุด จึงกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุด
สุข...เพราะผมเห็นของที่เคยมีแต่ฝุ่นจับเต็มไปหมด นำมาซึ่งรอยยิ้มที่จับใจ
สุข...เพราะรู้ว่าการให้ แท้จริงแล้วก็คือการได้รับในเวลาเดียวกัน
นี่ขนาดเป็นการเดินทางกลับบ้านซึ่งยังไม่ใช่บ้านเก่านะ ผมยังเอาอะไรติดตัวกลับไปไม่ได้อย่างที่ต้องการ ต้องทิ้งของรักของหวงไว้ให้คนข้างหลังตั้งเยอะ แล้วถ้าต้องกลับบ้านเก่าอย่างที่เขาพูดๆ กัน ถึงตอนนั้นผมจะต้องทิ้งหมด...เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว คนที่รัก เงินทอง ลาภยศ ที่สู้อุตส่าห์แสวงหาและเก็บรักษามาทั้งชีวิตก็เอาไปไม่ได้ ความตายจึงเป็นเรื่องน่าเศร้าที่สุดสำหรับมนุษย์เพราะเหตุนี้
แต่...หยุดก่อน อย่าเพิ่งคิดมาก มีปรัชญาจีนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “
จงอย่าสลักชื่อท่านไว้ในแผ่นหินหรือเปลือกไม้ แต่จงสลักมันไว้ในใจผู้คน...” เมื่อเราจากไป ไม่ว่าจะจากสถานที่หรือจากโลกนี้ สิ่งที่จะมีคุณค่าอยู่เสมอไม่ใช่สิ่งที่เราได้รับ แต่คือสิ่งที่เราได้ให้...ไม่ใช่สิ่งที่เราได้สะสมไว้ แต่คือสิ่งที่เราได้สร้าง...ไม่ใช่สิ่งที่เราได้เรียนรู้ แต่คือสิ่งที่เราได้สอน
ดังนั้น แม้ผมจะต้องสละของรักให้เพื่อนหรือใครต่อใครไป แต่ผมก็ยังยิ้มได้ เพราะผมรู้ว่า ถ้าของเหล่านั้นยังอยู่กับผม สักวันหนึ่งมันก็จะเก่า พัง และเสื่อมสลายไป ในขณะที่ความทรงจำดีๆ ที่ผมมอบให้คนเหล่านั้นจะคงอยู่ในใจเขาอีกนาน บางทีอาจนานจนชั่วชีวิต
ผมเชื่อว่า สิ่งที่จะทำให้คนเรายิ้มก่อนตาย ไม่ใช่ภาพสิ่งของที่เรามี แต่คือภาพรอยยิ้มและความสุขของคนที่เราเคย “ให้” สิ่งดีๆ แก่เขาต่างหาก
ต้องขอขอบคุณสายการบินที่มีข้อกำหนดเรื่องน้ำหนักกระเป๋า ไม่เช่นนั้นผมก็คงไม่มีความสุขมากเท่านี้ และต้องขอขอบคุณความตายที่เป็นเสมือนกุศโลบายให้ผมได้ตระหนักถึงความสุขจากการเป็นผู้ให้และการเป็นผู้รู้จักละวาง
ลองดูนะครับ ของบางอย่างที่คุณเอาใส่ตู้ แต่ไม่เคยสนใจ ลองนำไปให้คนจับ แทนที่จะปล่อยให้ฝุ่นจับ แล้วคุณจะรู้ว่า ความสุขนั้นทวีคูณได้เมื่อมีคนมาร่วมแบ่งปัน
ขณะเดียวกันก็ขอให้หันมาสะสมทรัพย์ทางธรรมกันมากๆ ดีกว่า เพราะการสะสมบุญบารมีและความดี ไม่ว่าจะมากมายเพียงใดก็ไม่กินเนื้อที่ ยิ่งมียิ่งเบา แถมยังนำติดตัวไปชาติหน้าได้....แบบไม่จำกัดกิโล คัดจาก บทความเรื่องไม่จำกัดกิโล โดย ขุนเขา ในนิตยสาร Secret ฉบับ ๔๒ (๒๖ มีนาคม ๒๕๕๓) ขอกราบอนุโมทนาและขอบพระคุณ : ที่มาทั้งหมดของบทความ ,ท่านเจ้าของบทความ และเจ้าของภาพประกอบทุกท่าน ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ^^