แสงธรรมนำใจ > ดอกบัวโพธิสัตว์
ภาพวาดพุทธประวัติ โดย อ.คำนวน ชานันโท สุดยอด พุทธจิตรกร
ฐิตา:
buddha026พระพิมพาพิลาปรำพันถึงพระพุทธองค์ เสด็จพุทธดำเนินไปโปรดถึงในปราสาท
ภาพที่เห็นอยู่นั้น เป็นตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระนางพิมพายโสธรา ผู้เคยเป็นพระ
ชายา เมื่อสมัยพระพุทธเจ้ายังทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ คือเมื่อยังไม่ได้เสด็จออกบวช
วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระนางพิมพานี้ เป็นวันเดียวกับที่เสด็จไปทรงภัตตาหารใน
พระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดา ดังได้บรรยายไว้แล้ว สถานที่เสด็จไปโปรดพระนางพิมพา
คือ ปราสาทที่ประทับของพระนางนั่งเอง ผู้ที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาในการนี้ มีพระสารีบุตร พระโมค
คัลลานะ ผู้สองอัครสาวก และพระเจ้าสุทโธทนะ
พระนางพิมพาทรงเศร้าโศกเสียพระทัย ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าเสด็จออกบวชเป็นต้นมา
ด้วยเข้าพระทัยว่า พระนางถูกพระพุทธเจ้าทรงทอดทิ้ง ยิ่งเมื่อทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาเมืองกบิลพัสดุ์
ครั้งนี้ ความเสียพระทัยยิ่งมีมากขึ้น ขนาดพระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งให้มาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระนางยังเสด็จ
มาไม่ได้ แม้พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาถึงปราสาทที่ประทับของพระนางแล้ว พระนางยังเสด็จดำเนินมาเอง
ไม่ได้ พระนางก็ล้มฟุบลง กลิ้งเกลือกพระเศียรลงเหนือพระบาทพระพุทธเจ้า แล้วพิลาปรำพันกันแสงแทบ
สิ้นสมปฤดี
พระเจ้าสุทโธทนะทูลพระพุทธเจ้าถึงความดีของพระนางพิมพาว่า เป็นสตรีที่จงรักภักดีต่อ
พระพุทธเจ้า ไม่เคยแปรพระทัยเป็นอื่นเลยตลอดเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากไป พระพุทธเจ้าตรัสสนอง
พระดำรัสของพุทธบิดาว่า พระนางพิมพาจะได้ทรงซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระองค์แต่เฉพาะในชาตินี้ก็หา
ไม่ แม้ในอดีตชาติหนหลังอีกหลายชาติ พระนางก็เป็นคู่ทุกข์คู่ยากผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ตลอดมา แล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสชาดกอีกเป็นอันมากให้พระพุทธบิดา และพระนางพิมพาฟัง
พระนางฟังแล้ว ทรงสร่างโศกและคลายความเสียพระทัย ทรงเกิดปีติโสมนัสในพระธรรม
เทศนาของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจบลง พระนางพิมพายโสธรา ก็ได้
ทรงบรรลุพระโสดาบัน หรือโสดาปัตติผล
* เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์และพระอริยสงฆ์เสร็จภัตกิจแล้ว จึงหมู่นางพระสนมทั้งปวงมีพระมหาปชาบดีเป็นประธาน ก็พากันมาถวายนมัสการด้วยความเลื่อมใสศรัทธา เว้นแต่สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพิมพาราชเทวี มิได้เข้ามาเฝ้ากับเขาทั้งหลายในขณะนี้เพียงแต่มีเสาวนีย์สั่งมาว่า
"อันตัวพิมพานี้ ถ้ามีความชอบอยู่บ้าง แม้นว่าสมเด็จพระสัพพัญญูเสด็จมาสู่สำนัก จึงจักได้ถวายวันทนาการพระยุคลบาทต่อภายหลัง" ดังนี้ ------------
---------------
---------------
สมเด็จพระเจ้าสิริสุทโธทนะจอมชนแห่งกบิลพัสดุ์บุรี ทรงเห็นเป็นโอกาสดีเลิศประเสริฐแล้ว จึงกราบทูลแถลงคุณสมบัติแห่งนางกษัตริย์ศรีสุณิสา แด่สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าว่า
"ข้าแต่พระบรมครูแห่งนิกรสัตวโลก อันเจ้าพิมพาศรีสุณิสาแห่งบิดานี้ จำเดิมแต่วิปโยคพลัดพรากจากพระองค์ ตั้งแต่วันที่เสด็จออกเพื่อทรงบรรพชากระทำทุกกรกิริยาแสวงหาวิมุตติธรรม เจ้าจะนั่งนอนเดินยืนอยู่ในที่ใดๆก็ไม่มีอารมณ์เป็นสุข มีแต่ทุกข์เศร้าโศกทุก เพลาเช้าเย็นแลราตรีมิได้ขาด ยามเมื่อเข้าห้องสิริไสยาสน์เห็นเศวตฉัตรอันกางกั้นรัตนบัลลังก์ ก็ตั้งหน้าแต่ร้องร่ำกำสรดโศกถึงพระองค์มิเว้นวาย เมื่อได้สดับข่าวว่าทรงนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ก็ปฏิบัตินุ่งห่มผ้า ย้อมน้ำฝาดบ้าง ทั้งนี้เมื่อแจ้งว่าทรงเว้นจากสุคันธวิเลปนมาลาก็มิได้ลูบไล้กายาด้วยจุณสุคนธ์ มิได้ประดับตนทัดทรงบุปผชาติ เมื่อขัตติยประยูรญาติส่งข่าวสารมาว่า จะรับไปบำรุงเลี้ยงรักษาปฏิบัติ ก็มิได้เล็งแลดูหมู่กษัตริย์ราชวงศ์องค์ใด ตั้งใจจงรักภักดีมีสัตย์ซื่อเสน่หาเฉพาะพระองค์ดำรงหฤทัยสุจริต จะได้คิดแปรปรวนไปแต่ในสิ่งใดอื่นมิได้มีเป็นแท้ แลพิมพาศรีสุณิสาแห่งบิดานี้ เจ้าเป็นหญิงกอบด้วยคุณอดุลประเสริฐเลิศกว่าอเนกนิกรกัญญา ควรที่จักกล่าวพรรณนาอีกมากมายสุดประมาณ ”
เมื่อสมเด็จพระชินสีหเจ้า ได้ทรงเสาวนาการคุณแห่งเจ้าหญิงพิมพาที่พระพุทธบิดาพรรณนามาฉะนี้ จึงทรงมีพระพุทธฎีกาดำรัสว่า
“ ดูกรมหาบพิตรพระราชสมภาร การที่ว่าเจ้าพิมพาราชเทวีมีจิตสนิทเสน่หาสวามิภักดิ์ในตถาคต ซึ่งปรากฏมีในกาลบัดนี้นั้น มิสู้จะอัศจรรย์ ในอดีตกาลเมื่อบังเกิดในกำเนิดแห่งสัตว์เดียรฉาน เจ้าพิมพานี้ก็มีจิตสุจริตเสน่หาในตถาคตมั่นคงบ่มิได้กัมปนาท ประหนึ่งสิเนรุราชบรรพตปรากฏในสกลโลกธาตุ บริจาคชีวิตให้เป็นทานแก่ตถาคตเป็นมหัศจรรย์ "
สมเด็จพระบรมศาสดาสัพพัญญูเจ้า ดำรัสดั่งนี้แล้ว ก็ทรงมีพระมหากรุณาเผยพระโอษฐ์โปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาจันทกินรีชาดกโดยพิสดาร เพื่อประหารเสียซึ่งโศกาดูรเทวษแห่งพระพิมพาราชเทวี ให้ระงับด้วยสิโตทกวารีคือมธุรธรรมกถา ส่วนว่าสมเด็จพระนางพิมพาราชกัญญาเจ้า เฝ้าทอดทัศนาการพระพักตร์มณฑลแห่งสมเด็จพระทศพลพลางสดับอมฤตรสบทพระธรรมอันวิจิตรไพเราะลึกซึ้งเป็นนิรันดร์ ดุจกระแสสายสินธุ์คงคาที่หลั่งไหลมามิรู้ขาด แล้วพระนางก็ยังประสาทปีติให้บังเกิดในพระกมลสันดาน ด้วยจินตนาการว่าเคยได้สร้างบารมีมากับพระองค์แต่อดีตภพ ก็รำงับเสียซึ่งความโศกให้สงบด้วยปีติปราโมทย์ ในไม่ช้า พระนางก็สามารถยังวิปัสสนาญาณให้บังเกิดขึ้นในขันธสันดานโดยลำดับ จนได้บรรลุพระโสดาปัตติมรรคญาณ ประหารเสียซึ่งกองกิเลสโทษสังโยชน์ทั้ง ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสให้อันตรธาน ประดิษฐานอยู่ในพระโสดาปัตติผลญาณ อันเป็นปฏิปัสสัทธิวิมุตติที่ ๑ ในพระพุทธศาสนา สำเร็จ เป็นพระโสดาบันอริยบุคคลแต่เวลานั้น สมเด็จพระสรรเพชญภควันตมุนีนาถ ครั้นทรงทราบอย่างแจ่มชัดว่าเจ้าพิมพาราชเทวีได้ดื่มอมตธรรมสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล มีจิตไม่จลาจลหวั่นไหวในคุณแห่งพระศรีรัตนตรัยแล้ว องค์พระประทีปแก้วก็เสด็จพระพุทธลีลา พร้อมกับคู่พระอัครสาวกคืนสู่พระนิโครธาราม เพื่อทรงบำเพ็ญพุทธกิจโปรดพระยูรญาติศากยวงศ์ในกรุงกบิลพัสดุ์ต่อไป
* ส่วนนี้นำมาจาก : http://palapanyo.com/pimpa/index.html
สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี จาก หนังสือวิมุตติรัตนมาลี
รจนาโดย พระพรหมโมลี
วัดยานนาวา กทม.
ฐิตา:
buddha027
เสด็จทรงบาตรในเมือง พระนางพิมพายโสธราเห็น จึงชี้ให้พระราหุลดู ตรัสว่า "นั่นคือบิดาของเจ้า"
รุ่งเช้า พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์บริวารทั้งหมด จึงเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมือง ชาวเมืองแตกตื่นกันโกลาหล ด้วยไม่เคยคิดว่าพระพุทธเจ้าซึ่งกษัตริย์โดยพระชาติกำเนิด จะเสด็จภิกขา แปลความหมายให้เป็นภาษาสามัญที่สุภาพหน่อยก็ว่า เที่ยวขอเขากิน
ปฐมสมโพธิรายงานเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า "ในขณะนั้นบรรดามหาชนชาวเมืองแจ้งว่า พระผู้เป็นเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารเที่ยวภิกขาจารบิณฑบาต ดังนั้น ก็ชวนกันเปิดแกลแห่งเรือนทั้งหลายต่างๆ อันมีพื้น ๒ ชั้น แล ๓ ชั้น เป็นต้น แต่ล้วนขวนขวายในกิจที่จะเล็งแลดูพระสัพพัญญู อันเสด็จเที่ยวบิณฑบาตทั้งสิ้น"
แม้พระนางพิมพายโสธราผู้เคยเป็นพระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้า ซึ่งมีพระทัยไม่เคยสร่างพระโสกีตลอดมา ได้ยินเสียงชาวเมืองอื้ออึงถึงเรื่องพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าเมืองมาตามถนน ก็จูงพระหัตถ์ราหุลผู้โอรส ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุได้ ๗ ปี เสด็จไปยังช่องพระแกล ครั้นเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จนำหน้าพระสงฆ์มา พระนางก็ทรงชี้ให้ราหุลดู และตรัสบอกโอรสว่า "นั่นคือพระบิดาของเจ้า"
* "ดูกรพ่อราหุลลูกรัก พระมหาสมณะผู้มีศักดิ์ใหญ่ ซึ่งกำลังเสด็จเที่ยวโคจรบิณฑบาตไปด้วยพระพุทธลีลาอันงามนี้ พระองค์ทรงมีเส้นพระเกศาละเอียดอ่อน และวนเวียนเป็นทักษิณาวัฏ มีสีดำสนิททุกเส้น และทรงมีพื้นพระนลาฏงามยิ่ง ดุจสุริยมณฑลอันปราศจาก มลทิน นอกจากนั้น พระองค์ท่านยังทรงมีพระนาสิกสัณฐานยาวและสูงดุจขอแก้ววิเชียร รุ่งเรืองไปด้วยข่ายพระรัศมีมีพรรณโอภาส เป็นนรสีหราชบุรุษมนุษย์ประเสริฐศุภมงคล พื้นพระยุคลบาทมีพรรณแดง ประดับด้วยพระลายลักษณะวงกงจักรและรอบรูปอัฏฐุตตรสตมหามงคล ๑๐๘ ประการเป็นบริวาร
ดูกรพ่อราหุลกุมาร พระนรสีหบุรุษผู้เป็นมหาสมณะทรงศักดาใหญ่นี้ มิใช่ผู้อื่นไกลใครที่ไหน โดยที่แท้พระองค์คือพระราชบิดาของเจ้า อนึ่งเล่า พระองค์ก็ทรงเป็นศักยราชกุมารผู้ประเสริฐสุขุมาลชาติ มีพระสรีรกายวิจิตรงามวิลาสบริบูรณ์ เสด็จมาเพื่อจะกระทำกิจให้เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลกทั้งปวง อนึ่ง พระองค์มีพรรณพระพักตร์ผ่องเพียงศศิธรมณฑล อันบริบูรณ์ในวันปุณณมี ทรงเป็นที่รักเลื่อมใสแห่งเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อทรงพระดำเนินไปก็งดงามประดุจลีลาแห่งพญาไกรสรสีหราชมฤคินทร์ ควรจะบังเกิดโสมนัสแก่ผู้ที่ได้ทัศนาการ ทั้งพระสุรเสียงของพระองค์ก็เสนาะสนิทวิจิตรคัมภีรภาพนฤโฆษ พระชิวหาแลพระโอษฐ์ก็มีพรรณแดงเข้มวิสุทธิโสภณ พระทนต์ก็ขาวสีสะอาดพิลาสดังสีสังข์ พระองค์ทรงบังเกิดในขัตติยอัครตระกูลอดุลยชาติ สมควรที่นรเทพยดาจักอภิวาทพระบวรบาทยุคล ทั้งพระกมลก็กอบด้วยศีลสมาธิปัญญาคุณอันอุดม ลำพระศอนั้นเล่าก็กลมดุจกลึงกล่อม พร้อมทั้งพระหนุก็งดงามดุจคางแห่งสีหราช พระสรีรกายก็ไพบูลย์พิลาสประดุจดังกายท่อนหน้าแห่งพญาราชสีห์ ทั้งพระฉวีวรรณก็งามไพโรจน์วิลาสประดุจสีแห่งสุวรรโณภาส พระองค์เสด็จยุรยาตรไปในท่ามกลางพระอริยสงฆ์สาวก ครุวนาดุจดวงจันทร์อันแวดล้อมด้วยคณะดารากำลังลีลาไปในอัมพรประเทศ พระนรสีหบุรุษองค์นี้หรือคือองค์พระปิตุเรศของเจ้านะ พ่อราหุล ขอพ่อจงรู้จักและจดจำไว้ให้จงดีเถิด"
* ส่วนนี้นำมาจาก : http://palapanyo.com/pimpa/index.html
สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี จาก หนังสือ วิมุตติรัตนมาลี
รจนาโดย พระพรหมโมลี
วัดยานนาวา กทม.
ฐิตา:
buddha028
ทรงพานันทะไปชมนางฟ้า พระนันทะใคร่จะได้เป็นชายา ทรงรับรองจะให้สมหวัง
หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพุทธบิดา และพระประยูรญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์เป็นเวลาประ
มาณหนึ่งสัปดาห์แล้ว ได้เสด็จกรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ พร้อมด้วยพระสงฆ์บริวารที่ตามเสด็จในการ
นี้ พระภิกษุนันทะ พระอนุชาผู้ถูกจับให้บวช และราหุลสามเณรก็ได้ติดตามเสด็จไปด้วย
ต่อมา พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์จำนวนมากได้เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี แห่งแคว้นโกศล
ซึ่งเป็นเมืองและแคว้นใหญ่พอๆ กับกรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ พระนันทะก็ได้ติดตามเสด็จไปด้วย
แต่ตลอดเวลานับตั้งแต่บวชแล้วเป็นต้นมา พระนันทะไม่เป็นอันปฏิบัติกิจของสมณะ ใจให้รุ่ม
ร้อนคิดจะลาสึกอยู่ท่าเดียว เพราะความคิดถึงนางชนบทกัลยาณี เจ้าสาวคู่หมั้นซึ่งกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับตน
ความเรื่องนี้ทราบถึงพระพุทธเจ้า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงจับท่านพระนันทะที่แขน
แล้วทรงหายจากพระวิหารเชตวัน ไปปรากฏในเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ เหมือนบุรุษมีกำลัง พึงเหยียดแขน
ที่คู้ หรือพึงคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น ฯ
ก็สมัยนั้นแล นางอัปสรประมาณ ๕๐๐ มีเท้าดุจนกพิราบ มาสู่ที่บำรุงของท้าวสักกะจอมเทพ
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสกะท่านพระนันทะว่า ดูกรนันทะ เธอเห็นนางอัปสร ๕๐๐ เหล่านี้ผู้มีเท้า
ดุจนกพิราบหรือไม่ ท่านพระนันทะทูลรับว่า เห็น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรนันทะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน นางสากิยานีผู้ชนบทกัลยานี หรือนางอัปสร
ประมาณ ๕๐๐ เหล่านี้ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบไหนหนอแลมีรูปงามกว่า น่าดูกว่า หรือน่าเลื่อมใสกว่า ฯ
น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางลิงผู้มีอวัยวะใหญ่น้อยถูกไฟไหม้ หูและจมูกขาด ฉันใด นาง
สากิยานีผู้ชนบทกัลยานี ก็ฉันนั้นแล เมื่อเทียบกับนางอัปสรประมาณ ๕๐๐ เหล่านี้ ย่อมไม่เข้าถึงเพียงหนึ่ง
เสี้ยว ไม่เข้าถึงเพียงส่วนหนึ่งของเสี้ยว ไม่เข้าถึงเพียงการเอาเข้าไปเปรียบว่าหญิงนี้เป็นเช่นนั้น ที่แท้นาง
อัปสรประมาณ ๕๐๐ เหล่านี้มีรูปงามกว่า น่าดูกว่า และน่าเลื่อมใสกว่า พระเจ้าข้า ฯ
พ. ยินดีเถิดนันทะ อภิรมย์เถิดนันทะ เราเป็นผู้รับรองเธอเพื่อให้ได้ นางอัปสรประมาณ ๕๐๐
ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ ฯ
น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงรับรองข้าพระองค์เพื่อ ให้ได้นางอัปสรประ
มาณ ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบไซร้ ข้าพระองค์จักยินดี ประพฤติพรหมจรรย์ พระเจ้าข้า ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงจับท่านพระนันทะที่แขน แล้วทรงหายจากเทวดาชั้นดาว
ดึงส์ไปปรากฏที่พระวิหารเชตวัน เหมือนบุรุษมีกำลังพึงเหยียด แขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น ภิกษุ
ทั้งหลายได้สดับข่าวว่า ท่านพระนันทะพระภาดาของพระผู้มีพระภาค โอรสของพระมาตุจฉา ประพฤติ
พรหมจรรย์เพราะเหตุแห่งนางอัปสร ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเป็นผู้รับรองท่าน เพื่อให้ได้นางอัปสรประ
มาณ ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ ฯ
ครั้งนั้นแล ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสหายของท่านพระนันทะ ย่อมร้องเรียกท่านพระนันทะด้วย
วาทะว่าเป็นลูกจ้าง และด้วยวาทะว่าผู้อันพระผู้มีพระภาคทรงไถ่มาว่า ได้ยินว่า ท่านพระนันทะเป็นลูกจ้าง
ได้ยินว่า ท่านพระนันทะเป็นผู้ที่พระผู้มีพระภาคทรงไถ่มา ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพราะเหตุนางอัปสร
ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคทรงเป็นผู้รับรองท่าน เพื่อให้ได้นางอัปสร ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ ฯ
ครั้งนั้นแล ท่านพระนันทะอึดอัดระอาเกลียดชังด้วยวาทะว่า เป็นลูกจ้าง และด้วยวาทะว่าเป็น
ผู้อันพระผู้มีพระภาคทรงไถ่มาของพวกภิกษุผู้เป็นสหาย จึงหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความ
เพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ไม่นานนักก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออก
บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้น
แล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็ท่านพระนันทะได้
เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ
ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว เทวดาตนหนึ่งมีวรรณะ งามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวัน
ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระนันทะพระภาดาของพระผู้มี
พระภาค โอรสของพระมาตุจฉาทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะทั้งหลาย
สิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ แม้ญาณก็ได้เกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคว่า พระนันทะทำให้
แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน
เข้าถึงอยู่ ฯ
ครั้นพอล่วงราตรีนั้นไป ท่านพระนันทะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม
แล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มี
พระภาคทรงรับรองข้าพระองค์ เพื่อให้ได้นางอัปสร ๕๐๐ ผู้มีเท้าดุจนกพิราบ ข้าพระองค์ขอปลดเปลื้อง
พระผู้มีพระภาคจากการรับรองนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนันทะ แม้เราก็กำหนดรู้ใจของเธอด้วยใจ
ของเราว่า นันทะทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วย
ปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ แม้เทวดาก็ได้บอกเนื้อความนี้แก่เราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่าน พระ
นันทะพระภาดาของพระผู้มีพระภาคโอรสของพระมาตุจฉา ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาส
วะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ดูกรนันทะ เมื่อใดแล จิต
ของเธอหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น เมื่อนั้น เราพ้นแล้วจากการรับรองนี้ ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ภิกษุใดข้ามเปือกตมคือกามได้แล้ว ย่ำยีหนาม คือกามได้แล้ว ภิกษุนั้นบรรลุถึงความสิ้นโมหะ
ย่อมไม่หวั่นไหวในเพราะสุขและทุกข์
ฐิตา:
buddha029
นายขมังธนูซึ่งพระเทวทัตส่งไปฆ่าพระพุทธองค์ ปลงอาวุธ ฟังธรรม สำเร็จมรรคผล
บุรุษที่นั่งประนมมือวางคันธนูไว้กับพื้นอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ดังที่ปรากฎอยู่ใน
ภาพแสดงนั้น คือนายขมังธนู (คำหน้าอ่านว่าขะหมัง) ขมัง แปลว่า นายพราน ขมังธนูก็คือนายพรานแม่น
ธนู อาวุธร้ายแรงที่คนใช้ยิงสังหารกันในสมัยพระพุทธเจ้าคือธนู
พระเทวทัตแนะนำอชาตศัตรู มกุฎราชกุมารให้ปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารพระราชบิดา
ของพระองค์แล้ว จึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ขณะนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จกลับมาประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์ พระ
เทวทัตกราบทูลว่าพระพุทธเจ้าทรงพระชราแล้ว ขอให้ทรงมอบตำแหน่งกิจการบริหารคณะสงฆ์ให้แก่ตน
เสีย เลยถูกพระพุทธเจ้าทรงทักด้วย เขฬาสิกวาท เขฬาสิกวาทแปลตามตัวว่า ผู้กลืนกินก้อนน้ำลายก้อน
เสลดที่บ้วนทิ้งแล้วความหมายเป็นอย่างนี้คือ นักบวชนั้น เมื่อออกบวชได้ชื่อว่าเป็นผู้เสียสละแล้วซึ่งทุกสิ่ง
ทุกอย่าง เช่น ลูก เมีย ทรัพย์ และตำแหน่งฐานันดรต่างๆ พระเทวทัตก็ชื่อว่าสละสิ่งเหล่านี้เสียแล้วเมื่อ
ตอนออกบวช แต่เหตุไฉนจึงย้อนกลับมายอมรับซึ่งเท่ากับมาขอกลืนกินสิ่งเหล่านี้อีก
พระเทวทัตฟังแล้วเสียใจ ผูกความอาฆาตพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้น จึงวางแผนการกระทำรุนแรง
เพื่อปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าหลายแผน เฉพาะด้านการเมืองนั้น พระเทวทัตได้ทำสำเร็จแล้วคือเกลี้ยกล่อม
อชาตศัตรูราชกุมารให้เลื่อมใสตนได้ แล้วราชกุมารผู้นี้ได้ปลงพระชนม์พระราชบิดา จนในที่สุดได้ขึ้นครอง
ราชย์ในเวลาต่อมา ที่ยังไม่สำเร็จก็คือการปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า
ขั้นแรกพระเทวทัตได้ว่าจ้างพวกขมังธนูหลายคน ล้วนแต่มือแม่นในการยิงธนูทั้งนั้น ไปลอบ
ยิงสังหารพระพุทธเจ้าที่วัดเวฬุวนารามในกรุงราชคฤห์ ทั้งนี้โดยพระเจ้าอชาตศัตรูทรงรู้เห็นด้วย แต่เมื่อ
พวกนายขมังธนูถืออาวุธมาถึงวัดที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ได้เห็นพระพุทธเจ้าแล้ว เกิดมือไม้อ่อนเปลี้ยไป
หมด ยิงไม่ลง เพราะพุทธานุภาพอันน่าเลื่อมใสข่มใจให้สยบยอบลง จึงต่างวางคันธนูแล้วกราบบาทพระ
พุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้พวกนายขมังธนูฟัง ฟังจบแล้วนายขมังธนูต่างได้สำเร็จโสดา
หมดทุกคน
ฐิตา:
buddha030 ทรงโปรดช้างนาฬาคีรี
ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่พระเวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ เช้าวันหนึ่งขณะที่พระพุทธองค์เสด็จออกบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ พระเทวทัตศิษย์ทรยศของพระพุทธองค์ได้ติดสินบนควาญช้างให้ปล่อยช้างนาฬาคีรี เพื่อทำร้ายพระพุทธองค์ตามแผนการ แต่ด้วยเมตาจิตของพระพุทธองค์ ช้างตกมันก็หายพยศ กลับคุกเข่าลงหมอบลงตรงพระพักตร์พระพุทธองค์
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version