อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > พระอริยบุคคล

เรื่องย่อในพระธรรมบท (ปัณฑิตวรรค)

(1/3) > >>

ฐิตา:



เรื่องย่อในพระธรรมบท (ปัณฑิตวรรค)
เรื่องพระราธเถระ

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภท่านพระราธะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า นิธีนํว ปวตฺตารํ เป็นต้น

ราธะเป็นพราหมณ์ตกยาก พักอาศัยอยู่ในวัด และช่วยงานเล็กๆน้อยๆในวัด เช่น ดายหญ้า กวาดบริเวณ ถวายสิ่งของมีน้ำล้างหน้าเป็นต้น แก่พระภิกษุทั้งหลาย ข้างภิกษุทั้งหลายก็ได้อนุเคราะห์แก่ราธพราหมณ์ ด้วยการให้อาหาร และสิ่งของอื่นๆ แต่ก็ไม่ยอมบวชเป็นภิกษุให้ แม้ว่าราธพราหมณ์จะต้องการบวชเป็นภิกษุมากก็ตาม

อยู่มาวันหนึ่ง ในตอนเช้าตรู่ เมื่อพระศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยญาณพิเศษ ทอดพระเนตรเห็นราธพราหมณ์นั้นแล้ว และทรงทราบว่าราธพราหมณ์นี้จะได้บรรลุพระอรหัตตผล พระศาสดาจึงได้เสด็จไปหาราธพราหมณ์ผู้ชราภาพนั้น และได้ทรงทราบว่าภิกษุทั้งหลายในวัดนั้นไม่ต้องการให้พราหมณ์นั้นบวชเป็นพระภิกษุ ดังนั้นพระศาสดาจึงทรงเรียกประชุมพระภิกษุทั้งหลาย แล้วตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย มีใครๆระลึกถึงคุณของพราหมณ์นี้บ้างไหม” พระสารีบุตรเถระกราบทูลว่า “พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ระลึกได้ เมื่อข้าพระองค์เที่ยวบิณฑบาตอยู่ในกรุงราชคฤห์ พราหมณ์นี้ให้คนถวายภิกษาทัพพีหนึ่ง ที่เขานำมาเพื่อตน ข้าพระองค์ระลึกถึงคุณของพราหมณ์นี้ได้” พระศาสดาจึงตรัสว่า “หากเป็นเช่นนั้น การที่เธอช่วยพราหมณ์ผู้มีอุปการะหลุดพ้นจากทุกข์จะมิสมควรหรือ” พระสารีบุตรทูลสนองพระดำรัสและได้ให้พราหมณ์นั้นบวชแล้ว จากนั้นพระสารีบุตรได้แนะนำพร่ำสอนพระภิกษุชรานี้และภิกษุชรานี้ก็เป็นผู้ว่าง่าย ย่อมรับโอวาทของพระสารีบุตรเถระด้วยความเคารพ เมื่อบวชได้เพียง 2-3 วันเท่านั้น ก็ได้บรรลุพระอรหัตตผลแล้ว

ภายหลังวันหนึ่ง พวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรมว่า “พระสารีบุตรเถระ เป็นผู้กตัญญูกตเวที ระลึกถึงอุปการะแค่ภิกษาทัพพีหนึ่ง ให้พราหมณ์ตกยากบวชแล้ว แม้พระราธเถระก็เป็นผู้อดทนต่อโอวาท ได้ท่านผู้ควรแก่การสั่งสอนเหมือนกันแล้ว” พระศาสดาสดับคำสนทนาของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุควรเป็นผู้ว่าง่ายเหมือนราธะ แม้อาจารย์ชี้โทษกล่าวสอนอยู่ ก็ไม่ควรโกรธ ควรเห็นบุคคลผู้ให้โอวาท เหมือนบุคคลผู้บอกขุมทรัพย์ให้”

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 76 ว่า
นิธีนํว ปวตฺตารํ
ยํ ปสฺเส วชฺชทสฺสินํ
นิคยฺหวาทึ เมธาวึ
ตาทิสํ ปณฺฑิตํ ภเช
ตาทิสํ ภชมานสฺส
เสยฺโย โหติ น ปาปิโยฯ

(อ่านว่า)
นิทีนังวะ ปะวัดตารัง
ยัง ปัดเส วัดชะทัดสินัง
นิคัยหะวาทิง เมทาวิง
ตาทิสัง ปันดิตัง พะเช
ตาทิสัง พะชะมานัดสะ
เสยโย โหติ นะ ปาปิโย.

(แปลว่า)
พึงเห็นคนที่คอยชี้โทษ
คอยพูดจาดุด่าห้ามปราม
มีปัญญา เหมือนผู้มาบอกขุมทรัพย์ให้
ควรคบกับผู้นั้น ซึ่งเป็นคนฉลาด
เพราะเมื่อคบกับผู้นั้น
จะมีแต่ประโยชน์ ไม่มีข้อเสียหาย.

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ฐิตา:

เรื่องภิกษุอัสสชิและปุนัพพสุกะ

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุอัสสชิและภิกษุปุนัพพสุกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า โอวเทยฺยานุสาเสยฺย เป็นต้น

พระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ พร้อมด้วยภิกษุบริวาร 500 รูป ไปพักอยู่ในกิฏาคีรี ขณะที่พระภิกษุเหล่านี้อยู่ที่นี่ ได้หาเลี้ยงชีพโดยการปลูกไม้ดอกและไม้ผลเพื่อขาย ซึ่งเป็นการละเมิดวินัยของพระภิกษุ

พระศาสดาทรงสดับข่าวนั้นแล้ว ตรัสเรียกพระอัครสาวกทั้ง ๒ พร้อมด้วยบริวารมา เพื่อทรงประสงค์ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น ตรัสว่า “ สารีบุตรและโมคคัลลานะ เธอจงพากันไปเถิด ในภิกษุเหล่านั้น เหล่าใดไม่เชื่อฟังคำของเธอ จงทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น ส่วนเหล่าใดเชื่อฟัง จงว่ากล่าวพร่ำสอน ธรรมดาว่าผู้ว่ากล่าวสั่งสอน ย่อมไม่เป็นที่รักของผู้ที่มิใช่บัณฑิตเหล่านั้น แต่เป็นที่รักที่ชอบใจของบัณฑิตทั้งหลาย”

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 77 ว่า
โอวเทยฺยานุสาเสยฺย
อสพฺพา จ นิวารเย
สตํ หิ โส ปิโย โหติ
อสตํ โหติ อปฺปิโยฯ

(อ่านว่า)
โอวะเทยยานุสาเสยยะ
อะสับพา จะ นิวาระเย
สะตัง หิ โส ปิโย โหติ
อะสะตัง โหติ อับปิโย.

(แปลว่า)
พึงว่ากล่าวตักเตือนกัน
และพึงห้ามกันจากความไม่ดี
ผู้ว่ากล่าวตักเตือน
เป็นที่รักของคนดี
แต่ไม่เป็นที่รักของคนไม่ดี.

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดปัตติผลเป็นต้น

ฝ่ายพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ก็ไปที่กิฏาคีรีนั้น ว่ากล่าวสั่งสอนภิกษุเหล่านั้นแล้ว ในภิกษุเหล่านั้น บางพวกก็รับโอวาทแล้วตั้งใจประพฤติปฏิบัติ บางพวกก็สึกไป บางพวกต้องปัพพาชนียกรรม.

ฐิตา:

เรื่องพระฉันนเถระ

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระฉันนเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า น ภเช ปาปเก มิตฺเต เป็นต้น

ท่านพระฉันนะเคยเป็นนายสารถี ตามเสด็จเจ้าชายสิทธัตถะ ในวันออกมหาภิเนษกรมณ์(ออกบวช) เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั้น ฉันนะก็ได้ตามมาบวชเป็นพระภิกษุ แต่เมื่อมาบวชเป็นภิกษุแล้วพระฉันนะกลายแป็นพระหัวดื้อ และมีทิฐิมานะมากโดยทะนงตัวว่าเป็นผู้ใกล้ชิดกับพระศาสดา พระฉันนะเคยกล่าว่า “เราเมื่อตามเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ กับพระลูกเจ้าของเราทั้งหลายในเวลานั้น มิได้เห็นผู้อื่นแม้สักคนเดียว แต่บัดนี้ ท่านพวกนี้เที่ยวกล่าวว่า เราชื่อสารีบุตร เราชื่อโมคคัลลานะ พวกเราเป็นอัครสาวก”

เมื่อพระศาสดาทรงสดับข่าวนั้น จึงได้รับสั่งให้พระฉันนเถระมาเฝ้า แล้วทรงอบรมสั่งสอน ฉันนเถระได้แต่นิ่งเงียบแต่ก็ยังกลับไปด่าว่าพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเหมือนเดิม พระศาสดารับสั่งให้พระฉันนเถระมาตรัสสอนแบบเดียวนี้ถึง 3 ครั้ง ว่า “ฉันนะ อัครสาวกทั้งสองเป็นกัลยาณมิตร เป็นบุรุษชั้นสูงของเธอ เธอจงเสพ จงคบกัลยาณมิตรเห็นปานนี้”

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 78 ว่า
นะ ภเช ปาปเก มิตฺเต
น ภเช ปุริสาธเม
ภเชถ มิตฺเต กลฺยาเณ
ภเชถ ปุริสุตฺตเมฯ

(อ่านว่า)
นะ พะเช ปาปะเก มิดเต
นะ พะเช ปุริสาทะเม
พะเชถะ มิดเต กันละยาเน
พะเชถะ ปุริสุดตะเม.

(แปลว่า)
ไม่ควรคบมิตรชั่ว
ไม่ควรคบคนต่ำช้า
ควรคบมิตรที่ดี
ควรคบคนสูงสุด.

แม้ว่าจะถูกพระศาสดาว่ากล่าวตักเตือนอย่างไร พระฉันนเถระก็ยังไม่ยอมกลับตัวกลับใจและยังคงด่าว่าพระอัครสาวกทั้งสองและพระภิกษุทั้งหลายอยู่ต่อไป พระศาสดาทรงทราบเช่นนี้ได้ตรัสว่า พระฉันนเถระจะไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในระหว่างที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ แต่หลังจากพระองค์ปรินิพพานแล้วพระฉันนเถระจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้แน่ ในเวลาจวนจะเสด็จปรินิพพาน พระศาสดาได้ตรัสเรียกพระอานนท์มาเฝ้าแล้วตรัสให้ภิกษุสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนเถระ (คือให้ภิกษุทั้งหลายเมินเฉยไม่สมาคมด้วย)

เมื่อพระศาสดาเสด็จปรินิพพานแล้ว พระฉันนเถระได้ฟังพรหมทัณฑ์ ที่พระอานนทเถระยกขึ้นมากล่าว มีความทุกข์ เสียใจ ล้มสลบถึง 3 ครั้ง แล้ว แล้ววิงวอนว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านอย่าให้กระผมฉิบหายเลย” ท่านได้ยอมรับผิดและได้ขอขมาต่อภิกษุทั้งหลาย จากนั้นไม่นานท่านก็ได้บรรลุพระอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.

ฐิตา:

เรื่องพระมหากัปปินเถระ

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระมหากัปปินเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ธมฺมปีติ สุขํ เสติ เป็นต้น

ท่านมหากัปปินเถระ เป็นกษัตริย์อยู่ในกุกกุฏวดีนคร พระองค์ทรงมีพระมเหสีพระนามว่าอโนชา (ดอกอังกาบ) พระเจ้ามหากัปปินะมีอำมาตย์ที่เป็นข้าราชบริพารจำนวน 1000 คน ทำหน้าที่ช่วยเหลือพระองค์ในการปกครองประเทศ วันหนึ่งพระราชาพร้อมด้วยอำมาตย์ผู้เป็นข้าราชบริพารได้เสด็จประพาสอุทยาน ทรงได้พบกับพวกพ่อค้าจำนวน 500 คนมาจากกรุงสาวัตถี ทำให้ทรงทราบว่าพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ได้อุบัติขึ้นแล้วในโลก พระองค์พร้อมด้วยข้าราชบริพารจึงได้เสด็จไปที่นครสาวัตถี

ในวันนั้นพระศาสดาได้ตรวจดูสัตวโลกด้วยพระญาณพิเศษในเวลาใกล้รุ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็นพระมหากัปปินะพร้อมทั้งข้าราชบริพารเสด็จมาที่นครสาวัตถี พระศาสดาทรงทราบด้วยว่า พระเจ้ามหากัปปินะพร้อมทั้งข้าราชบริพารทั้งหมดจะได้บรรลุพระอรหัตตผล จึงได้เสด็จไปต้อนรับเป็นระยะทางห่างจากกรุงสาวัตถีถึง 120 โยชน์ โดยได้ประทับนั่งเปล่งพระฉัพพรรณรังสี ณ ภายใต้โคนต้นนิโครธ(ต้นไทร) ริมฝั่งแม่น้ำจันทภาคานที พระเจ้ามหากัปปินะและข้าราชบริพารได้เสด็จมาถึงที่ซึ่งพระศาสดาทรงรอต้อนรับอยู่นั้น เมื่อพระเจ้ากัปปินและข้าราชบริพารทอดพระเนตรเห็นฉัพพรรณรังสีแผ่ซ่านออกจากพระสรีระของพระศาสดา ก็ได้เข้าไปถวายบังคม จากนั้นพระศาสดาได้แสดงอนุปุพพีกถา(ทานกถา, สีลกถา, สัคคกถา, กามทีนวกถา, เนกขัมมานิสังสกถา) ให้ฟัง หลังจากฟังพระธรรมเทศนานั้นแล้ว พระเจ้ามหากัปปินะพร้อมทั้งข้าราชบริพารได้บรรลุพระโสดาปัตติผล แล้วทูลขอบรรพชาอุปสมบทจากพระศาสดา พระศาสดาทรงใคร่ครวญแล้วทรงทราบว่า “กุลบุตรเหล่านี้ ได้เคยถวายจีวรพันผืน แด่พระปัจเจกพุทธเจ้าพันองค์ ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ได้ถวายจีวรสองหมื่นผืน แก่ภิกษุสองหมื่นรูป ความมาแห่งบาตรและจีวรอันสำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์ของกุลบุตรเหล่านี้ ไม่น่าอัศจรรย์” จึงทรงเหยียดพระหัตถ์ขวา ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นภิกษุมาเถิด ท่านทั้งหลายจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด” ทันใดนั้นเองพระเจ้ามหากัปปินะพร้อมทั้งข้าราชบริพารทั้งหมดก็ได้บวชเป็นภิกษุ

ในขณะเดียวกัน พระนางอโนชาเมื่อได้ทรงทราบว่า พระราชาพร้อมด้วยข้าราชบริพารฝ่ายชายได้เสด็จไปที่เมืองสาวัตถีกันหมดแล้ว ก็ได้รับสั่งให้ภรรยาของอำมาตย์ทั้ง 1000 คนมาเฝ้าแล้วทรงแจ้งเรื่องนี้ให้ทุกคนได้ทราบ แล้วพระนางพร้อมด้วยข้าราชบริพารฝ่ายหญิงทั้งหมดก็ได้เสด็จตามเส้นทางที่พระเจ้ากัปปินพร้อมข้าราชบริพารฝ่ายชายเสด็จไปแล้ว พระนางและข้าราชบริพารก็ได้มาถึงยังที่ซึ่งพระศาสดาประทับนั่งอยู่นั้น และเมื่อทอดพระเนตรเห็นพระฉัพพรรณรังสีแผ่ซ่านออกมาจากพระสรีระของพระศาสดาก็ได้เข้าไปถวายบังคม ในช่วงนี้พระศาสดาทรงแสดงอิทธิฤทธิ์บันดาลให้พระนางอโนชาและข้าราชบริพารฝ่ายหญิงไม่สามารถมองเห็นพระเจ้ามหากัปปินะและข้าราชบริพารฝ่ายชายเหล่านั้นได้ ดังนั้นพระนางอโนชาจึงได้ทูลถามว่า พระเจ้ามหากัปปินะและข้าราชบริพารฝ่ายชายไปที่ไหนเสีย พระศาสดาได้ตรัสว่าให้พระนางพร้อมทั้งข้าราชบริพารฝ่ายหญิงได้รอคอยสักครู่หนึ่ง พระเจ้ามหากัปปินะและข้าราชบริพารฝ่ายชายก็จะเสด็จมากัน จากนั้นพระศาสดาได้ทรงแสดงอนุปุพพีกถา ในเวลาจบเทศนา พระนางอโนชา พร้อมทั้งข้าราชบริพาร ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล ฝ่ายพระมหากัปปินเถระ พร้อมทั้งพระข้าราชบริพารเหล่านั้น สดับพระธรรมเทศนาที่พระศาสดาทรงแสดงแก่หญิงเหล่านั้นแล้ว ก็ได้บรรลุพระอรหัตตผล ในขณะนั้นเอง พระศาสดาทรงคลายฤทธิ์ให้ทั้งสองฝ่ายสามารถแลเห็นกันได้

พระนางอโนชาพร้อมด้วยข้าราชบริพารฝ่ายหญิง ได้ทูลขอบรรพชาเป็นภิกษุณี พระศาสดาได้ทรงแนะนำให้ไปบวชกันที่กรุงสาวัตถี พระนางอโนชาและหญิงข้าราชบริพารทั้งหมดจึงได้เดินทางไปบวชเป็นภิกษุณีที่กรุงสาวัตถี และต่อมาไม่นานทุกนางก็ได้สำเร็จพระอรหัตตผล ข้างพระศาสดาเองก็ได้เสด็จไปไปสู่เพระเชตวันโดยทางอากาศ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ 1000 รูป

ณ ที่วัดพระเชตวัน พระมหากัปปินเถระ เที่ยวเปล่งอุทานในที่ทั้งหลาย เช่น ที่พักกลางคืนและที่พักกลางวันเป็นต้นว่า “สุขหนอ สุขหนอ” (อโห สุขํ) ภิกษุทั้งหลายเมื่อได้ยินคำเปล่งอุทานนี้บ่อยครั้งก็ได้กราบทูลพระศาสดา พระศาสดาได้ตรัสตอบว่า “ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเรา ย่อมเปล่งอุทานปรารภสุขในกาม สุขในราชสมบัติ หามิได้ ก็แต่ว่า ความเอิบอิ่มในธรรม ย่อมเกิดแก่บุตรของเรา บุตรของเรานั้น ย่อมเปล่งอุทานอย่างนั้น เพราะปรารภอมตมหานิพพาน”

จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 79 ว่า
ธมฺมปีติ สุขํ เสติ
วิปฺปสนฺเนน เจตสา
อริยปฺปเวทิเต ธมฺเม
สทา รมติ ปณฺฑิโตฯ

(อ่านว่า)
ทำมะปีติ สุขัง เสติ
วิบปะสันเนนะ เจตะสา
อะริยับปะเวทิเต ทำเม
สะทา ระมะติ ปันดิเต.

(แปลว่า)
ผู้ดื่มด่ำธรรม มีใจผ่องใสแล้ว
อยู่เป็นสุข
บัณฑิตยินดีในธรรม
ที่พระอริยะเจ้าประกาศแล้ว
ในกาลทุกเมื่อ.

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ฐิตา:

เรื่องบัณฑิตสามเณร

พระศาสดา เมื่อประทับอยูในพระเชตวัน ทรงปรารภบัณฑิตสามเณร ตรัสพระธรรมเทศนาพระคาถานี้ว่า อุทกํ หิ นยนฺติ เป็นต้น

สามเณรบัณฑิต เป็นบุตรชายของเศรษฐีในกรุงสาวัตถี ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุแค่ 7 ขวบ ในวันที่ 8 หลังจากที่บรรพชาเป็นสามเณร ขณะที่ไปบิณฑบาตกับพระสารีบุตรเถระ มองเห็นชาวนากำลังไขน้ำเข้านาก็ได้เรียนถามพระเถระว่า “คนทั้งหลายย่อมไขน้ำที่ไม่มีจิตเห็นปานนี้สู่ที่ที่ปรารถนาแล้วๆได้หรือขอรับ” พระเถระตอบว่า “ได้สิ เธอ” เมื่อเดินต่อไปอีก สามเณรบัณฑิตแลเห็นช่างศรกำลังดัดลูกศรด้วยการใช้ไฟลนแล้วเล็งด้วยหางตาดัดให้ตรง และต่อไปก็ได้แลเห็นช่างถากกำลังถากไม้ ทำสิ่งต่างๆเช่นล้อเกวียนเป็นต้น สามเณรก็เกิดความคิดว่า ถ้าคนทั้งหลายไขน้ำซึ่งไม่มีจิตเช่นนี้ไปสู่ที่ที่ตนปรารถนาได้ ถ้าคนทั้งหลายถือเอาลูกศรอันไม่มีจิตลนไฟแล้วดัดให้ตรงได้ ถ้าคนทั้งหลายถือเอาท่อนไม้ที่ไม่มีจิต ไปทำเป็นล้อเป็นต้นได้ เพราะเหตุไร คนผู้มีจิตจึงจักไม่อาจทำจิตของตนให้เป็นไปในอำนาจแล้วบำเพ็ญสมณธรรมเล่า

จากนั้นบัณฑิตสามเณรได้ขออนุญาตจากพระเถระขอกลับไปที่ห้องพักของตนในวัด แล้วมุ่งมั่นพยายามปฏิบัติธรรมโดยพิจารณากายานุปัสสนากัมมัฏฐาน ทั้งท้าวสักกเทวราชและท้าวมหาราชทั้ง 4 ก็ได้เสด็จมาช่วยบัณฑิตสามเณรโดยบันดาลให้อาณาบริเวณในวัดเงียบสงบไร้เสียงรบกวนจากนกเป็นต้น ก่อนเวลาฉันอาหารเช้าบัณฑิตสามเณรก็ได้สำเร็จพระอรหัตตผล

ในขณะนั้น พระสารีบุตรเถระกำลังจะนำอาหารมาให้สามเณรฉัน พระศาสดาทรงทอดพระเนตรเห็นด้วยพระจักษุทิพย์ว่า สามเณรได้บรรลุพระอนาคามิผลแล้วและหากให้ปฏิบัติธรรมอยู่ต่อไปก็จะได้บรรลุพระอรหัตตผลในไม่ช้านี้ ดังนั้นพระศาสดาจึงได้ตัดสินพระทัยไปดักคอยห้ามพระสารีบุตรเถระมิให้เข้าไปในห้อง โดยเสด็จไปประทับยืนอยู่ที่ประตูแล้วซักถามปัญหากับพระสารีบุตรเพื่อถ่วงเวลา ขณะที่การสนทนาระหว่างพระศาสดากับพระสารีบุตรกำลังดำเนินอยู่นั้น บัณฑิตสามเณรก็ได้บรรลุพระอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ในวันที่ 8 หลังจากที่ได้บรรพชาเป็นสามเณร

ต่อมาพระภิกษุทั้งหลายได้สนทนากันในโรงธรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้ พระศาสดาได้ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ในเวลาผู้มีบุญทำสมณธรรม แม้แต่ท้าวสักกเทราชและท้าวมหาราชทั้ง 4 ก็ได้มาช่วยให้การอารักขา แม้แต่เราเองมาได้มาคอยดูแลที่ประตูเพื่อมิให้บัณฑิตสามเณรถูกรบกวน บัณฑิตสามเณร เมื่อได้เห็นพวกชาวนาไขน้ำเข้านา พวกช่างศรดัดลูกศรให้ตรง พวกช่างถากกำลังถากไม้ ถือเอาเหตุนั้น ให้เป็นอารมณ์ ฝึกจิตตนและปฏิบัติธรรม จนได้บรรลุพระอรหัตตผลในบัดนี้”

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 80 ว่า
อุทกํ หิ นยนฺติ เนตฺติกา
อุสุการา นมยนฺติ เตชนํ
ทารํ นมยนฺติ ตจฺฉกา
อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตาฯ

(อ่านว่า)
อุทะกัง หิ นะยันติ เนดติกา
อุสุการา นะมะยันติ เตชะนัง
ทารัง นะมะยันติ ตัดฉะกา
อัดตานัง ทะมะยันติ ปันดิตา.

(แปลว่า)
คนไขน้ำทั้งหลายย่อมไขน้ำ
ช่างศรทั้งหลายย่อมดัดศร
ช่างถากทั้งหลายย่อมถากไม้
บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกตน.

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version