ผู้เขียน หัวข้อ: นิทานเซน : สวยเพียบพูนด้วยเสน่ห์  (อ่าน 1824 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



สวยเพียบพูนด้วยเสน่ห์

มีอุบาสิกาหญิงคนหนึ่ง เกิดในตระกูลที่มั่งคั่ง
ไม่ว่าจะเป็นด้านทรัพย์สมบัติ ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือ อำนาจวาสนา
หรือ ความสวยงามภายนอก เรียกได้ว่า หาคนเปรียบเทียบได้ยาก
แต่ก็ยังไม่มีใคร มารัก มาชอบ ไม่มีแม้แต่คนที่มาคุยถูกคอ
จึงไปขอคำชี้แนะจากพระอาจารย์ ว่า ทำยังไงถึงจะมีเสน่ห์ให้คนมารักมาชอบ ?

พระอาจารย์ เลยตอบว่า ...
" ถ้าเจ้าสามารถร่วมงาน กับ ผู้อื่น ด้วย จิตที่มีเมตตา
พูดจา ด้วย คำเซน ฟังเสียง ของ เซน ทำเรื่องราว เกี่ยวกับ เซน
ใช้จิต ของ เซน

เจ้าจะกลายเป็นผู้มีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนมากที่สุด "

อุบาสิกาฟังแล้วชวนสงสัย ถามพระอาจารย์ ว่า ...
คำของเซน คือ อะไร ? "

พระอาจารย์ ตอบว่า ...
คำของเซน คือ พูดแต่เรื่องเรื่องดี ๆ พูดแต่ความจริง พูดจาอ่อนน้อมถ่อมตน
พูดแต่เรื่องที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่น


อุบาสิกา ถามต่อว่า ...
“ แล้วเสียงของเซน ฟังยังไงเจ้าคะ ? ”

พระอาจารย์ ตอบว่า ...
เสียงของเซน คือ- ทำเสียงทั้งหมด ให้เป็น เสียงละเอียดอ่อน
- ทำเสียงด่าทอ เป็น เสียงที่มีเมตตา
- ทำเสียงดูถูกเหยียดหยาม เป็น เสียงที่คิดจะช่วยเหลือ
และ
ถ้าเจ้าฟังเสียงร้องไห้ เสียงวุ่นวาย เสียงหยาบ เสียงน่าเกลียด โดยที่เจ้าก็ไม่ถือสา
นั่นคือ เสียงของเซน

อุบาสิกา ถามต่อว่า ...
“ แล้วเรื่องราว ของเซน ทำยังไงเจ้าคะ ? ”

พระอาจารย์ ตอบว่า ...
เรื่องของเซน ก็คือ- ทำบุญบริจาค
- ช่วยเหลืองานกุศล
- ช่วยบรรเทาสาธารณภัย
- ทำสิ่งที่ถูกต้องตามศีลธรรม


อุบาสิกา ยังถามต่อไปอีกว่า ...
“ แล้วจิตของเซน ใช้ยังไงเจ้าคะ ? ”

พระอาจารย์ เฉลยต่อว่า ...
" จิตของเซน คือ จิตของเจ้า ของข้าพเจ้า ของปุถุชน ของอริยะชน
ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน
เป็นจิตที่ ห่อหุ้มสรรพสิ่ง เป็นประโยชน์ ให้กับ สรรพสิ่ง "

หลังจากที่อุบาสิกาท่านนั้น ได้ฟังคำชี้แนะจากพระอาจารย์ จึงได้เริ่มต้นเปลี่ยนแปลง
จากความเย่อหยิ่งจองหองที่มีอยู่เดิม เป็น ...

- ไม่คุยโว โอ้อวด ถึง ฐานะตนเอง ต่อ หน้าผู้อื่น
- ไม่ยกยอตัวเอง ว่า สวยเลอเลิศ กว่า คนอื่น และ
- มักจะอ่อนน้อม และ มีมรรยาท ต่อ ผู้อื่น
- เป็นห่วง เป็นใย และ ดูแลเอาใจใส่ ต่อ คนในปกครอง


เมื่อปฏิบัติเช่นนี้ไปนานเข้า อุบาสิกาท่านนั้น ก็ได้รับฉายาจากผู้อื่น ว่า ...
“ เป็นอุบาสิกา ที่มี เสน่ห์มากที่สุด ”

ขอบพระคุณที่มาจาก : www navagaprom.com
Pic by : Google
อกาลิโกโฮม * สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด

                 

นิทานเซ็น : ความเชื่อฟัง 
เล่าโดย ท่านพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม

อาจารย์ ชื่อ เบ็งกะอี เป็นผู้มีชื่อเสียง ในการเทศนาธรรม คนที่มาฟังท่านนั้น ไม่ใช่เฉพาะแต่ในวงของพวกนิกายเซ็น พวกนิกายอื่น หรือคนสังคมอื่น ก็มาฟังกัน ชนชั้นไหนๆ ก็ยังมาฟัง เพราะว่า ท่านไม่ได้เอา ถ้อยคำในพระคัมภีร์ หรือในหนังสือ หรือ ในพระไตรปิฎก มาพูด แต่ว่าคำพูด ทุกคำนั้น มันหลั่งไหล ออกมาจาก ความรู้สึกในใจ ของท่านเองแท้ๆ ผลมันจึงเกิดว่า คนฟังเข้าใจ หรือชอบใจ แห่กันมาฟัง จนทำให้วัดอื่นร่อยหรอคนฟัง เป็นเหตุให้ภิกษุรูปหนึ่ง ในนิกายนิชิเรน โกรธมาก คิดจะทำลายล้างอาจารย์เบ็งกะอีคนนี้อยู่เสมอ วันหนึ่งในขณะที่ท่านองค์นี้ กำลังแสดงธรรมอยู่ในที่ประชุม พระที่เห็นแก่ตัวจัดองค์นั้น ก็มาหยุดยืนอยู่หน้าศาลา แล้วตะโกนว่า “เฮ้ย! อาจารย์เซ็น หยุดประเดี๋ยวก่อน ฟังฉันก่อน ใครก็ตามที่เคารพท่าน ท่านจะทำอย่างไร ที่จะทำให้ฉัน เคารพเชื่อฟังท่านได้” 

เมื่อภิกษุอวดดี องค์นั้น ร้องท้าไปตั้งแต่ชายคาริมศาลา ท่านอาจารย์เบ็งกะอี ก็ว่า “มาซี ขึ้นมานี่ มายืนข้างๆฉันซี แล้วฉันจะทำให้ดูว่า จะทำอย่างไร”  พระภิกษุนั้นก็ก้าวพรวดพราดขึ้นไป ด้วยความทะนงใจฝ่าฝูงคนเข้าไปยืนหราอยู่ข้าง ๆ ท่านอาจารย์เบ็งกะอี  ท่านอาจารย์เบ็งกะอี ก็ว่า “ยังไม่เหมาะ มายืนข้างซ้ายดีกว่า”  พระองค์นั้น ก็ผลุนมาทีเดียว มาอยู่ข้างซ้าย  ท่านอาจารย์เบ็งกะอีก็บอกอีกว่า “อ๋อ! ถ้าจะพูดให้ถนััดต้องอย่างนี้ ต้องข้างขวาข้างขวา ”  พระองค์นั้น ก็ผลุนมาทางขวา พร้อมกับมีท่าทาง ผยองอย่างยิ่ง พร้อมที่จะท้าทาย อยู่เสมอ ท่านอาจารย์เบ็งกะอีจึงว่า “เห็นไหมล่ะ ท่านกำลัง เชื่อฟังฉันอย่างยิ่ง และในฐานะที่ท่านเชื่อฟังอย่างยิ่งแล้ว ฉะนั้นท่านจงนั่งลงฟังเทศน์เถิด” นี่เรื่องก็จบลง

นิทานเรื่องนี้ มันสอนว่าอย่างไร เหมือนพระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า นิวาโต เอตมฺมงฺคลมุตตมํ วาโต ก็เหมือนกะสูบลมอัดเบ่งจนพอง ถ้า นิวาโต ก็คือ ไม่พองไม่ผยอง เป็นมงคลอย่างยิ่ง ข้อนี้ ย่อมแสดงว่ามีวิชาความรู้อย่างเดียวนั้นไม่พอ ยังต้องการไหวพริบและปฏิภาณอีกส่วนหนึ่ง พระองค์นี้ก็เก่งกาจของนิกายนิชิเรนในญี่ปุ่น แต่มาพ่ายแพ้อาจารย์ ที่แทบจะไม่รู้หนังสือ เช่นนี้ ซึ่งพูดอะไรก็ไม่อาศัยหนังสือ เพราะบางทีก็ไม่รู้หนังสือเลย แพ้อย่างสนิทสนม เพราะขาดอะไร ก็ลองคิดดู พวกฝรั่งก็ยังพูดว่า Be wise in time ฉลาดให้ทันเวลา โดยกระทันทัน ซึ่งบาลีก็มีว่า “ขโณ มา โว อุปจฺจคา” ขณะสำคัญ เพียงนิดหนึ่ง นิดเดียวเท่านั้น อย่าได้ผ่านไปเสียนะ ถ้าผ่านไป จะต้องมีอย่างยิ่ง มิฉะนั้น จะควบคุมเด็กไม่อยู่ เราลองคิดดูซิว่า เด็กๆของเรามีปฏิภาณเท่าไร เราเองมีปฏิภาณเท่าไร มันจะสู้กันได้ไหม ลองเทียบไอคิวในเรื่องนี้ กันดูซึ่งเกี่ยวกับปฏิภาณนี้ถ้าครูบาอาจารย์เรามีไอคิว ในปฏิภาณนี้ ๕ เท่าของเด็กๆ คือ เหนือเด็กห้าเท่าตัวก็ควรจะได้รับเงินเดือน ห้าเท่าตัว ของที่ควรจะได้รับ หรือว่าใครอยากจะเอาสักกี่เท่าก็เร่งเพิ่มมันขึ้น ให้มีปฏิภาณไหวพริบจนสามารถ สอนเด็กให้เข้าใจ เรื่องกรรม เรื่องอนัตตา เรื่องนิพพาน ได้อย่างไรทีเดียว นี่คือ ข้อที่จะต้อง อาศัยปฏิภาณ ซึ่งวันหลัง ก็คงจะได้พูดกัน ถึงเรื่องนี้บ้าง



เล่าโดย :ท่านพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม
Pic by : Google
อกาลิโกโฮม * ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 12, 2011, 01:04:28 pm โดย ฐิตา »