คลังธรรมปัญญา > พรรณาอักษร
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง
ปาริชาต:
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง
ภายในห้องอันเงียบสงบหน้าโต๊ะหมู่บูชาที่มีพระพุทธปฏิมากรองค์ขนาดเขื่องประดิษฐานอยู่ตรงกลาง พักตร์แห่งองค์พระพุทธาฉายรัศมีแห่งความสุขสงบและอิ่มเอิบด้วยความร่มเย็นที่ราวกับจะแผ่ซ่านปกคลุมอยู่โดยรอบอาณาบริเวณ กลิ่นดอกมะลิอันเป็นพุทธบูชาหอมอบอวลพาให้ชื่นนาสายิ่งนัก
เบื้องหน้าถัดออกมาไม่ไกลนักชายชราร่างหนึ่งนั่งสงบนิ่ง ผมสีดอกเลาแห่งปัจฉิมวัยและเครื่องนุ่งห่มอันเป็นสีบริสุทธิ์ขาวโพลนอยู่ท่ามกลางแสงไฟ ท่านั่งในลักษณะหลังตรงมือทั้งสองประสานกันอยู่บนตักนิ่งไม่ไหวติงอยู่ในกิริยานั้นเป็นเวลาเนิ่นนานราวกับมิรู้เมื่อยขบ ดูช่างตรงกันข้ามกับวัยเสียยิ่ง
คุณพฤกษ์หรือคุณตาผู้เป็นประมุขของบ้าน “พร้อมพงศ์” ผู้อยู่ในวัยชราอายุเกือบเก้าสิบปีแล้ว แต่สภาพสังขารของท่านมิได้บอกถึงวัยเลยแม้แต่น้อย ผู้ที่มิได้ใกล้ชิดอาจนึกว่าคุณตาอายุเพียงแค่เจ็ดสิบเศษเป็นอย่างมากมิใช่เกือบเก้าสิบดั่งที่เป็นจริง สุขภาพพลานามัยแข็งแรง ผิวพรรณผ่องใสซับสีเลือดฝาด กระฉับกระเฉง เดินเหินในอาการหลังตรงเป็นสง่า เค้าหน้าที่ยังคมคายส่อเค้าให้เห็นถึงความเป็นบุรุษรูปงามอย่างหาตัวจับยากในอดีต
ณ วันนี้สตรีผู้ที่อยู่เคียงข้างคุณตามาตั้งแต่ในวัยหนุ่มได้จากท่านไปเมื่อสิบปีที่แล้ว มีธิดาคนเดียวคือพลอยแสง พลอยแสงเรียนจบด้านการบริหารแล้วเข้าทำงานในฝ่ายบริหารของ “โรงพยาบาลพร้อมบริบาล” ที่คุณตาเป็นเจ้าของรวมทั้งเป็นนายแพทย์ผู้อำนวยการด้วย พลอยแสงแต่งงานกับลูกชายนักธุรกิจที่มีกิจการค้าในระดับแถวหน้าของเมืองไทย ในหลายปีต่อมาก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายคือศีลวัตร ชีวิตของคุณพฤกษ์นับได้ว่าประสบความสำเร็จแทบทุกด้าน ตัวคุณพฤกษ์เองเป็นแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านอายุเวช และตลอดหลายชั่วอายุคนในตระกูลล้วนอยู่ในวงการแพทย์มาตลอด
คุณสันติสามีของพลอยแสงมาจากตระกูลที่ฐานะไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่า ครอบครัวคุณสันติผู้เป็นลูกเขยนั้นเป็นเจ้าของบริษัทนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงของประเทศ เรียกได้ว่าพลอยแสงประสบความสุขในชีวิตแทบทุกด้านทีเดียว
แต่อนิจจา.....ใดๆในโลกล้วนอนิจจัง ! สมดั่งที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ยิ่งนัก
เมื่อศีลวัตรอายุได้เพียงสามขวบพลอยแสงและสันติก็มาด่วนจากไปด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก ทิ้งเด็กน้อยศีลวัตรเป็นอนุสรณ์แห่งความรักและอาลัยไว้ให้คุณพฤกษ์และคุณเกื้อบุญผู้เป็นภรรยา ความรักที่มีในบุตรสาวคนเดียวเช่นพลอยแสงมากมายเพียงใดความรักนั้นก็ได้ถูกถ่ายเทมาสู่ศีลวัตรอย่างทับทวี ทั้งคุณพฤกษ์และคุณเกื้อบุญทุ่มเทเอาใจใส่ดูแลศีลวัตรเป็นอย่างดี รวมทั้งครอบครัวทางคุณสันติที่ต่างก็รักใคร่เอ็นดูหลานชายคนเดียวนี้ก็เช่นกัน และเนื่องจากคุณณสันติมิใช่ลูกชายคนเดียวของตระกูลหากยังมีบุตรธิดาอีกหลายคนต่างจากคุณพฤกษ์และคุณเกื้อบุญ ทางคุณปู่และคุณย่าของเด็กชายศีลวัตรจึงยินยอมที่จะให้หลานเติบโตขึ้นมาในความคุ้มครองดูแลของตาและยายเพื่อทดแทนการที่สูญเสียลูกสาวคนเดียวไปไม่เหลือใครอีกแล้ว
ทั้งนี้ทั้งนั้นเด็กชายศีลวัตรก็ดูเหมือนจะเติบโตขึ้นท่ามกลางความรักของทั้งสองครอบครัว เป็นคนที่มีสองบ้าน ศีลวัตรในวันนี้จึงพรั่งพร้อมในความรักและความอบอุ่นมีความมั่นคงทางใจอันได้รับการอบรมจากคุณตาและคุณยายที่นำคำสอนของพระบรมศาสดาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตที่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
ศีลวัตรต้องจากคุณตาคุณยายเป็นครั้งแรกในชีวิตเมื่อต้องไปศึกษาต่อต่างประเทศหลังจากจบแพทย์จากมหาวิทยาลัยแพทย์ในประเทศแล้ว แน่นอนว่าคุณตาและคุณยายนั้นไม่มีวันเสียล่ะที่จะทนคิดถึงหลานได้นาน ในแต่ละปีการศึกษาไม่คุณตาก็คุณยายล่ะที่จะต้องผลัดกันแวะเวียนไปหาหลานอย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด จนหลานรักเรียนจบครบหลักสูตรและกลับมาทำงานในโรงพยายาบาลพร้อมอภิบาลของผู้เป็นตา
ศีลวัตรหรือ “หมอศีล” ของทุกคนไม่ว่าจะคนไข้หรือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เป็นหมอรูปงาม อัธยาศรัยดี เป็นที่รักใคร่ของทุกคนโดยเฉพาะคนไข้ตัวเล็กตัวน้อย เด็กๆจะเรียกพี่หมอมากกว่าจะเรียกคุณหมอหรือหมอศีล เพราะพี่หมอจะมีวิธีหลอกล่อเด็กๆที่เมื่อแรกเข้ามารักษามักจะงอแงหรือกลัวเข็มฉีดยากันทั้งนั้น บางที่จะมีนิทานมาเล่าให้เด็กฟังด้วย ทุกครั้งที่พี่หมอมาเยี่ยมที่แผนกนี้เด็กๆพากันมามะรุมมะตุ้ม พันแข้งพันขาพี่หมอดูวุ่นวายไม่น้อย แต่พี่หมอคนใจดีใจเย็นไม่เห็นว่าจะทำท่ารำคาญให้เห็นสักทีอาจเป็นเพราะพี่หมอเป็นคนรักเด็กกระมัง
คุณพฤกษ์อยู่ในสมาธิที่จิตดิ่งลึกอันเป็นวัตรปฏิบัติที่ดำเนินมาตั้งแต่ก่อนปลดระวางตัวเองจากงานทุกด้าน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหลานชายและคนใกล้ชิดที่เป็นลูกจ้างที่ซื่อสัตย์มาแต่ครั้งสมัยพ่อสู่ลูก
ฐิตา:
:12: :13: ขอบคุณนะคะนู๋ปา...
ปาริชาต:
ขอบคุณพี่แป๋ม, ขอบคุณใต้ร่มธรรม
ปาริชาต:
ตึกโบราณหลังใหญ่ล้อมรอบด้วยอาณาบริเวณกว้างอันมีต้นไม้ใหญ่สูงสล้าง ให้ร่มเงาแผ่ปกคลุมอยู่มากมาย
น่าจะร่มรื่นเย็นสบายในเวลากลางวัน แต่ในเวลาค่ำคืนที่ท้องฟ้ามืดมิดและและฝนตกหนักเช่นเวลานี้กลับดูน่ากลัว ว่าไม้ใหญ่เหล่านี้อาจพากันโค่นล้มได้โดยง่ายด้วยแรงแห่งพายุฝนที่กำลังโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง
ภายในตัวตึกมีแสงไฟลอดออกมาพียงบางบริเวณที่กำลังใช้งาน ส่วนอื่นๆกลับมืดมิดเหมือนร้างผู้อยู่อาศัย มองจากภายนอกดูทะมึนทึมอยู่กลางหมู่ไม้ที่ไหวโอนเอนอยู่ไปมา ส่วนที่มีแสงไฟลอดออกมาก็คือส่วนหน้าตึกที่ มีรถยนต์สีดำคันใหญ่รูปร่างแปลกตาอย่างชนิดที่ไม่เคยได้พบเห็นบ่อยนักไม่ต่างไปจากตัวตึกที่อยู่อาศัยเท่าใด จอดอยู่เหมือนเตรียมไว้พร้อมที่จะออกจากบ้านในไม่ช้านี้ ข้างเคียงรถสีดำคันใหญ่มีรถสปอร์ตคันเล็กแบบทันสมัยชนิดที่เรียกได้ว่าตรงกันข้ามกับคันแรกแบบสุดขั้ว
มีเสียงสนทนาแว่วมาจากภายในพร้อมเสียงรองเท้ากระทบพื้นดังใกล้เข้ามา
“ท่านหญิงจะเด็จไปไหนเวลานี้ พายุแรงมิใช่น้อยเลยนะเพคะ” เสียงนั้นมาจากหญิงสาวร่างบางสูงระหงอย่างที่ผู้หญิงทุกคนต้องอิจฉาในรูปร่าง รวมทั้งหน้าตาที่เรียกได้ว่าทั้งสวยทั้งหวาน อีกร่างที่เดินเคียงข้างมาด้วยกันรูปทรงใกล้เคียงกับคนแรกความสวยก็ยากที่จะตัดสินได้ หากแต่มีอะไรอย่างหนึ่งที่....ลึกลงไปในความสวยสง่านั้น.....มีอำนาจสะกดให้....สะท้านอย่างไม่อาจบอกได้
“ฉันมีงานต้องทำนะสิ เธอนั่นแหละ อัน ที่ไม่น่าจะรีบกลับ ควรจะรอให้ฝนฟ้าซาลงก่อน เธอรอกลับทีหลังจะดีกว่านะหรือจะค้างที่นี่ก็ได้ เธอก็รู้ว่าฉันอนุญาตให้เธอพักได้ตามสบายมิใช่หรือ”
เมื่อทั้งคู่เดินออกมาสู่แสงไฟจึงเห็นชัดถึงความแตกต่างของสตรีทั้งสอง ฝ่ายหน้าหวานผมยาวบิดเป็นเกลียวสลวยผิวสีน้ำผึ้งจางๆนั้นเนียนนวลงามจับตา เครื่องประกอบหน้าที่ทำให้ดูหวานน่าจะเป็นที่รอยยิ้ม ยามที่กลีบปากคลี่ออกทุกครั้งสะกดให้ผู้เห็นยากจะละสายตาได้ แต่แปลกที่ดวงตากลับดูเศร้าสร้อยไม่ยิ้มตามไปด้วยแม้แต่น้อย
ส่วนผู้ที่เดินเคียงกันมารูปร่างสูงปานกันผมดำขลับราวไหมเนื้อดียาวเคลียไหล่ ผิวเหลืองนวลดั่งขี้ผึ้ง รูปหน้างามไร้ที่ติทุกสิ่งที่ประกอบเป็นเครื่องหน้าไม่ว่าปากแก้มคิ้วคางล้วนเหมาะเจาะ งามเหมือนภาพวาดมากกว่าจะเป็นคนที่มีชีวิต ท่าเดินน่าจะเรียกได้ว่า “เหิรอย่างหงส์" เพราะสง่างามน่าเกรงขามแม้จะด้วยท่าทางสบายๆอย่างนี้ก็เถอะ
“ขอบพระทัยเพคะ แต่หม่อมฉันไม่อยากค้างโดยที่ท่านไม่อยู่ วังท่านน่ะจะว่าสวยงามก็สวยงามจริงในยามกลางวันแต่ในยามกลางคืนน่ะน่ากลัวออก ยิ่งท่านไม่อยู่หม่อมฉันกลับดีกว่าเพคะ” ฝ่ายแรกตอบอย่างง่ายๆ
“ตามใจเธอเถอะฉันเสียใจที่อยู่เป็นเพื่อนเธอไม่ได้ วันไหนว่างก็แวะมาได้ทุกเมื่อฉันยินดีเสมอสำหรับเธอ”
“งั้นหม่อมฉันเห็นจะต้องทูลลาเพคะ”
“ไปเถอะ ขับรถระวังหน่อยก็แล้วกัน หวังว่าคงไม่คิดจะแวะที่ไหนนะ”
“ไม่หรอกเพคะ หม่อมฉันเหนื่อยอยากจะพักให้อิ่มๆ ซ้อมหนักมาหลายวันติดๆกันแล้วอีกสองวันก็จะถึงวันงาน หม่อมฉันตั้งใจมากกับละคอนการกุศลคราวนี้เพราะเป็นงานที่ท่านหญิงขอมาไงเพคะ”
“ขอบใจเธอมากอันธกาล การกุศลน่ะเธอทำเธอก็เป็นคนได้ไม่ใช่ฉัน”
“ทราบเพคะ แต่ท่านก็ทรงทราบว่าหม่อมฉันเป็นนางแบบมิใช่นักแสดงอาชีพ อาจมีอะไรที่ตกๆพร่องๆทำได้ไม่สมกับที่ทรงกรุณาให้เกียรติเลือกหม่อมฉันมาแสดง”
“อย่าห่วงเรื่องนั้นเลยอัน เธอเป็นคนมีความสามารถฉันเลือกไม่ผิดหรอกน่า ไปเถอะรีบกลับบ้านซะ เวลาดึกขนาดนี้โบราณเค้าว่าเป็นเวลาของผีมิใช่เวลาของมนุษย์เช่นเธอที่จะเที่ยวสัญจร”
สุระเสียงนั้นออกจะให้ความเอ็นดูแก่หญิงสาวตรงหน้าไม่น้อย
“ตรัสราวกับท่านไม่ใช่มนุษย์งั้นแหละ งานของท่านก็กระไร ฝนฟ้าคะนองน่ากลัวอย่างนี้ยังเสด็จอีก”
อันธกาลทูลแย้งบ้าง
“งานในความรับผิดชอบของฉันนั้นไม่อาจที่จะเลื่อนได้ เพราะถูกกำหนดไว้แน่นอนตายตัวไม่มีใครจักเปลี่ยนแปลงได้หรอก เธอรีบกลับเถอะ”
เจ้าของนามอันธกาลใช้ปลายนิ้วหยิบชายกระโปรงกางออกพร้อมย่อเข่าลงคาระวะอย่างอ่อนช้อยงดงามกึ่งล้อเลียน
“ทูลลาเพคะ มนุษย์เช่นหม่อมฉันจะรีบตรงดิ่งเข้าบ้านไม่แวะสัญจรที่ใดๆทั้งสิ้น”
อันธกาลตอบหลังจากทรงตัวขึ้นยืนตรงอีกครั้ง จากนั้นจึงย่อตัวลงประนมมือคาราวะอีกครั้งอย่างแช่มช้อยก่อนที่จะรีบตรงไปที่รถคันเล็กขึ้นสตาร์ทแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว ยังผลให้ผู้ที่ยืนมองตามแย้มโอษฐ์ออกนิดๆดวงเนตรงามอ่อนแสงลงทอดมองไปไกล ไกลเกินกว่าใครจะรู้ว่าทรง “ทอดเนตรเห็น” สิ่งใด
ก่อนจะหันกลับเพื่อดำเนินเข้าสู่ตัวตึก ท่านผินพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้าเอ่ยขึ้นเหมือนรู้ว่าขณะนั้นมีเงาใครอีกคนยืนประสานมือก้มศีรษะต่ำด้วยท่าทางนอบน้อมอย่างรู้หน้าที่
“ผู้หญิงคนนี้เป็นส่วนผสมของความดีงามและความน่าชังที่ก้ำกึ่งกันเหลือเกิน น่าเสียดายหากว่า...” อาการทอดถอนอัสสาสะปัสสาสะบอกว่าเสียดายอย่างล้ำลึกก่อนหันกลับมายังผู้ที่อยู่ในเงามืด ซึ่งไม่มีสำเนียงตอบใดๆ ด้วยว่าไม่อยู่ในฐานะที่จะออกความเห็นใดๆทั้งสิ้น
“ใกล้เวลาแล้วใช่มั้ยแสนเมือง ทุกอย่างเรียบร้อยนะ”
“พระเจ้าข้า” เจ้าของนามแสนเมืองก้าวออกมาจากเงามืดค้อมตัวลงรับคำอย่างนอบน้อม ใบหน้าของชายร่างสูงผอมเกร็งที่โผล่พ้นเงามืดออกมานั้นดูซีดเซียวราวกับไร้แล้วซึ่งชีวิตสีผิวขาวปนเขียวเหมือน... เหมือนผีตายซาก เฉยเมย มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ฉายแววแห่งความรันทดเจ็บปวดทรมานล้ำลึก
“สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมมิใช่รึแสนเมือง ข้า...หรือใครก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้” สรรพนามและสุรเสียงกร้าวทรงไว้ด้วยอำนาจน่าสพึงกลัวราวกับมิใช่บุคคลเดียวกับที่ตรัสกับหญิงสาวผู้เพิ่งขับรถจากไป..........
“พระเจ้าข้า”
แก้วจ๋าหน้าร้อน:
พี่ปา ร้อยเรียงได้สวยงามมากครับ ภาษาไทยนี่ระดับราชบัณฑิตหรือผู้เชี่ยวชาญเลยก็ว่าได้ มิธรรมดาจริงๆครับ
ขอบคุณครับพี่ปา
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version