เรื่องย่อในพระธรรมบท (สหัสสวรรค) เรื่องของบุรุษผู้ฆ่าโจรมีเคราแดงเมื่อพระศาสดา ประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภบุรุษผู้ฆ่าโจรมีเคราแดง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า สหสฺสมปิ เจ วาจา เป็นต้น
นายตัมพทาฐิกโจรฆาตกะ(ผู้ฆ่าโจรมีเคราแดง) รับราชการเป็นเพชฌฆาต
ประหารชีวิตนักโทษมาเป็นเวลา 55 ปี ต่อมาได้เกษียณอายุราชการ วันหนึ่งหลังจากสั่งคนให้ตระเตรียมข้าวยาคูไว้ที่บ้านแล้ว เขาก็ได้ไปอาบน้ำชำระกายที่แม่น้ำก่อนที่จะกลับมารับประทานข้าวยาคูที่ตระเตรียมไว้เป็นการพิเศษนั้น ขณะที่เขากำลังจะรับประทานข้าวยาคูอยู่นั้น พระสารีบุตรซึ่งเพิ่งจะออกจากสมาบัติก็ได้มายืนอยู่ที่ประตูบ้านของเขาเพื่อบิณฑบาต นายตัมพทาฐิกะพอเห็นพระเถระมายืนอยู่ก็มีจิตเลื่อมใสมีความคิดว่า “
เรากระทำโจรกรรมมานาน เราฆ่ามนุษย์เสียเป็นอันมาก บัดนี้ ในเรือนของเราตกแต่งยาคูเจือน้ำนมไว้ และพระเถระก็มายืนอยู่ที่ประตูเรือนของเรา ควรที่เราจะถวายไทยธรรมแก่พระผู้เป็นเจ้า” เมื่อคิดดังนี้แล้วก็ได้นิมนต์พระเถระเข้าไปไปนั่งในเรือนของตนแล้วนำข้าวยาคูมาถวายโดยความเคารพ
หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว พระเถระได้แสดงธรรมแก่นายตัมพทาฐิกะ แต่เขาไม่สามารถส่งจิตของตนไปตามกระแสธรรมเทศนาของพระเถระได้
เพราะว่าเขามัวแต่นึกถึงชีวิตในอดีตของตนที่เคยเป็นเพชฌฆาตมา เมื่อพระเถระทราบความในข้อนี้จึงใช้วิธีลวงเขาโดยถามเขาว่าเขาฆ่าพวกโจร
เพราะต้องการอยากจะฆ่าหรือว่า
ถูกคนอื่นให้กระทำเช่นนั้น
นายตัมพทาฐิกะตอบว่าเขา
ได้รับคำสั่งจากพระราชาให้ฆ่าพวกโจร
โดยที่เขาไม่ต้องการฆ่าแต่อย่างใด พระเถระจึงได้ตั้งคำถามต่อไปว่า “อุบาสก
เมื่อเป็นเช่นนั้น อกุศลจะมีแก่ท่านอย่างไรเล่า” นายตัมพทฐิกะ
จึงสรุปเอาเองว่า เมื่อเขาไม่ต้องรับผิดชอบต่ออกุศลกรรมนั้น “
อกุศลไม่มีแก่เรา” จากนั้นเขาก็ได้ทำจิตให้สงบแล้วขอให้พระเถระแสดงธรรมโปรด เมื่อเขาฟังธรรมด้วยความตั้งใจ
ก็เข้าใกล้กระแสโสดาปัตติมรรค เมื่อพระเถระแสดงธรรมจบแล้วก็ได้เดินทางกลับโดยนายตัมพทาฐิกะตามไปส่ง ในตอนเดินทางกลับมาบ้านนั้นเขาก็ได้ถูกแม่โคนม(ที่ถูกนางยักษิณีตนหนึ่งเข้าสิง)ขวิดตาย
ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า “บุรุษฆ่าโจร กระทำกรรมหยาบช้าสิ้น 55 ปี พ้นจากกรรมนั้นในวันนี้แล ถวายภิกษาแก่พระเถระก็ในวันนี้เหมือนกัน กระทำกาละก็ในวันนี้เหมือนกัน เขาบังเกิดในที่ไหนหนอ”
พระศาสดาได้ตรัสบอกแก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นว่า แม้ว่านายตัมพทาฐิกะจะประกอบอกุศลกรรมมาตลอดชีวิต แต่เพราะรู้แจ้งธรรมหลังจากฟังธรรมจากพระสารีบุตรเถระแล้วได้
บรรลุอนุโลมญาณก่อนจะเสียชีวิต จึงไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต พระภิกษุเหล่านั้นต่างเกิดความสงสัยว่าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจง
อย่าถือประมาณแห่งธรรมที่เราแสดงแล้วว่าน้อยหรือมาก เพราะว่า
แม้วาจาคำเดียวที่อาศัยประโยชน์ ประเสริฐโดยแท้”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัส
พระธรรมบท พระคาถาที่ 100 ว่าสหสฺสมปิ เจ วาจา
อนตฺถปทสญฺหิตา
เอกํ อตฺถปทํ เสยฺโย
ยํ สุตวา อุปสมฺมติฯ
(อ่านว่า)
สหัดสะมะปิ เจ วาจา
อะนัดถะปะทะสันหิตา
เอกัง อัดถะปะทัง เสยโย
ยัง สุดตะวา อุปะสัมมะติ.
(แปลว่า)
วาจาแม้ตั้งพัน
แต่ไม่ประกอบด้วยบทที่มีประโยชน์
สู้บทที่ประกอบด้วยประโยชน์เพียงบทเดียวที่คนฟังแล้วสงบ ไม่ได้.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.