ผู้เขียน หัวข้อ: หญิงผู้มีชัยต่อความตาย  (อ่าน 1242 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ แปดคิว

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 797
  • พลังกัลยาณมิตร 389
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.blogger.com/home
หญิงผู้มีชัยต่อความตาย
« เมื่อ: สิงหาคม 18, 2011, 10:05:30 pm »
 อยาก ขอบคุณความเจ็บป่วยที่ทำให้หันมาสนใจธรรมะ
> > ได้หันมาดูแลตัวเอง จนทุกวันนี้รู้สึกสุขใจ มีเวลาให้คนในครอบครัว
> > หากไม่เจ็บป่วยอย่างนี้ก็คงจมหรือหมดเวลาทั้งชีวิตไปกับการงานและกิจกรรมโลก
> > ๆ และคงตายไปโดยไม่ได้ตระเตรียมอะไรเลย”
> > • ”อยากขอบคุณพระพุทธเจ้าที่ให้ธรรมะแก่เรา ธรรมะสอนไว้หมดจริง ๆ

>
> > พี่แดง ...หญิงผู้มีชัยต่อความตาย
>
> > "เรือที่จอดเทียบท่าอยู่นั้น เรายังมิอาจรู้ได้ว่าเป็นเรือที่ดีจริงหรือไม่
> > ต่อเมื่อมันถูกนำออกทะเล ว่าสามารถฝ่าคลื่นลมมรสุมโดยไม่สะทกสะท้าน
> > นั้นแหละ จึงจะบอกได้ว่าเป็นเรือที่ดีจริง
> > บุคคล ที่ยังไม่เจอสิ่งกระทบที่หนักหนาสาหัจสากรรจ์ ดังเช่น
>
> > การที่ต้องเผชิญกับโรคร้าย ความตาย และความพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก
> > เป็นต้น เราก็ยังไม่อาจบอกได้ว่าเป็นคนที่ปล่อยวางได้จริง
> > ต่อ เมื่อ พิสูจน์ตนเองว่าสามารถฝ่าคลื่นลมมรสุมหนักของชีวิตได้โดยไม่สะทกสะท้าน
> > นั้นแหละ จึงจะบอกได้ว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งจริง ปล่อยวางได้จริง"
>
> > พี่ แดง ...ผู้จัดการร้านกรอบรูปนำเข้าขนาดใหญ่ อายุราว ๕๐ ปีเศษ
> > มีสามีเป็นนักธุรกิจ และลูกเล็ก ๆ ๑ คน
> > ซึ่งเพิ่งจะเตรียมตัวเข้าเรียนในชั้นประถม
> > เมื่อ เธอรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย (ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๒)
> > เธอได้พูดกับคุณเอก (หนึ่งในกลุ่มเพื่อนธรรมเพื่อนทำ)
> > ซึ่งรู้จักกันเพราะมีออฟฟิสอยู่ใกล้ ๆ กัน ว่า
>
> > "ทำไมต้องเป็นฉัน...ฉันก็เป็นคนดีมาตลอด", “ฉันห่วงลูกมากๆ”
> > และเมื่อความทุกข์โหมกระหน่ำใส่เธอมากเข้า เธอก็พูดด้วยความท้อใจว่า
> > "อยากให้มันตายๆ ไปเลย จะได้จบ"
>
> > คุณเอกเลยพูดให้สติเธอไปว่า "ตาย แล้วมันไม่จบอย่างที่พี่คิดนะซิ
> > มันก็ต้องไปเกิดๆ ตายๆ ต่อไปอีกไม่รู้จักจบจักสิ้น
> > แถมไม่มีอะไรการันตีได้ว่า เราจะไม่ไปเกิดเป็นหมูหมากาไก่
> > ก็ยิ่งทุกข์กันเข้าไปใหญ่"
>
> > เธอเล่าภายหลังว่าประโยคที่ทำให้เธอคลิ๊กก็คือประโยคที่ว่า
> > "ตายแล้วมันไม่จบอย่างที่พี่คิดนะซิ"
>
> > จาก คำพูดนี้เอง จึงเป็นจุดเริ่มที่ทำให้พี่แดงสนใจศึกษาธรรมะ
> > โดยมีคุณเอกเป็นเพื่อนกัลยาณมิตร
>
> > เธอได้รับความซาบซึ้งในธรรมะของพระพุทธองค์เป็นลำดับ ๆ
> > ผ่านพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อชา สุภัทโท และพระอาจารย์ชยสาโร
> > (ศิษย์ต่างชาติของหลวงพ่อชา) จากซีดีที่คุณเอกนำมามอบให้
> > รวมทั้งการสนทนาธรรมกับคุณเอกอยู่เนือง ๆ
> > เพียง ไม่กี่เดือนที่พี่แดงปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง
>
> > ความแข็งแกร่งในจิตใจของเธอเริ่มฉายแววออกมาอย่างเด่นชัด
> > เธอบอกว่าเมื่อมาถึงตรงนี้ เธอไม่ได้คิดจะต่อสู้กับมะเร็ง
> > หากแต่ยอมรับมันและขออยู่ร่วมกับโรคร้ายนี้ฉันท์มิตร
>
> > เมื่อเธอศึกษาและปฏิบัติธรรมมากเข้า ๆ เธอก็ยิ่งเห็นคุณค่าของธรรมะ
> > และเห็นคุณค่าของเวลาที่ยังเหลืออยู่
>
>
> > ดังนั้้น เธอจึงปฏิบัติธรรมชนิดไม่คิดถึงเรื่องเวล่ำเวลา รู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อไร
> > ไม่ว่ากี่โมง นั่นถือเป็นเวลาแห่งการปฏิบัติธรรม ตื่นก็ตื่นกับพุทโธ
> > หลับก็หลับไปกับพุทโธ
>
> > พี่แดงยังคงทำงานและกิจวัตรในแต่ละวันตามปรกติเหมือนสมัยที่ยังไม่ป่วย
> > แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ
> > เธอกลับมีสีหน้าและน้ำเสียงที่แช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ
> สวนทางกับการที่ร่างกายเธอต้องถูกโรคมะเร็งเบียดเบียนหนักขึ้นทุกวัน ๆ
>
> > เธอพูดบ่อยครั้งขึ้นถึงความเป็นธรรมชาติธรรมดาของทุกสิ่งทุกอย่าง
> > โดยเฉพาะอย่างยิ่งความตายที่เธอกำลังเผชิญ
> > นี้กระมังที่เป็นวิหารธรรมหรือเครื่องอยู่ของเธอนับจากที่เธอได้เข้ามาประพฤติธรรม
> >
> ในการศึกษาและปฏิบัติธรรมของเธอนั้น เธอต้องใช้กำลังใจมากกว่าคนทั่วไป
> > เพราะสามีของเธอก็เหมือนกับคนอื่นๆ
> > ทั่วไปที่เห็นว่าการปฏิบัติธรรมยังมิใช่สาระสำคัญของชีวิต
> >
> เธอต้องสู้อดทนอดกลั้น
> > และเอาตัวเองเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าธรรมะมีคุณค่าจริง กระทั่งในที่สุด
> > สามีเธอเอ่ยปากออกมาเองว่าหากเขาเป็นโรคร้ายอย่างเธอ
> > ก็คงไม่สามารถเป็นอยู่อย่างแช่มชื่นเบิกบานหรือปล่อยวางอย่างเธอได้
> > นี้จึงเป็นจุดที่เธอถือเป็นโอกาสชี้ให้สามีตระหนักว่าที่เธอเป็นอยู่ได้เช่น
> > นี้ก็เพราะธรรมะ
> >
> เมื่อ ย่างเข้าปีที่ ๒ ที่เธอป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
> > (เธอปฏิบัติธรรมมาได้ราว ๑ ปี)
> > ซึ่งเลยเวลาที่คุณหมอขีดเส้นไว้นานหลายเดือน
> > ...อาการของโรคนั้นเพียบเต็มที่
> > แต่คุณหมอที่ดูแลอาการป่วยของเธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจึงยังสามารถเดินเหิรไป
> > ไหนมาไหนได้ อีกทั้งยังพูดคุยเป็นปรกติ ทั้ง ๆ ที่ควรจะมีอาการตัวเหลือง
> > และนอนซม เพราะความที่ตับของเธอดำหมดแล้ว
>
> > คุณ หมอไม่รู้ว่าเธอทำตัวอย่างไร วางใจอย่างไร หรือได้ยาวิเศษที่ไหนมา
> > ถึงได้สามารถรักษาสุขภาพจนอยู่มาได้ขนาดนี้
> > ซึ่งจากผลทางกายภาพที่คุณหมอมองเห็น
> > ทำให้คุณหมอพูดด้วยความมั่นใจว่าแนวปฏิบัติที่เธอทำอยู่
> > (ซึ่งคุณหมอก็ไม่รู้ชัดนักว่าคืออะไร) นั้นถูกต้องแล้ว ให้เธอทำต่อไป
> > ก่อน ที่เธอจะลาโลกนี้ไปไม่กี่เดือน คุณเอกได้ชวนผมไปนั่งสนทนากับเธอ
> > และสิ่งที่ผมจะถ่ายทอดต่อไปนี้
> > คือสาระสำคัญที่ได้จากการพูดคุยซักถามเธอเพื่อให้รู้ถึงธรรมโอสถหรือยาวิเศษ
> > ที่ช่วยรักษาโรคทุกข์ให้กับเธอ
> > ชนิดที่ผมและเพื่อนในกลุ่มเพื่อนธรรมเพื่อนทำต้องยอมรับและถือเธอเป็นแบบ
> > อย่างของนักปฏิบัติตัวจริง ชนิดที่แม้เรา ๆ ซึ่งเข้าวัดมานานกว่าเธอมาก
> > ก็ยังต้องเขินอายต่อความจริงจังในการปฏิบัติธรรมของเธอ
> > (โปรดอดใจรออ่านบทสัมภาษณ์พี่แดงในกระทู้ต่อไปนะครับ)
> >
> > บัดนี้ ซึ่งล่วงเลยวันที่สัมภาษณ์พี่แดงมาได้ไม่ถึงปี
> > พี่แดงก็จากไปอย่างผู้องอาจจริง ๆ แม้ในวันท้าย ๆ
> > จะมีเลือดออกมาทั้งทางปากและจมูก แต่เธอก็ยังคงรักษาอาการอันสงบระงับไว้
> > โดยปราศจากการใช้มอร์ฟีนกระทั่งวินาทีสุดท้าย
> > ...ช่างงดงามและเป็นแบบอย่างของนักปฏิบัติผู้มีชัยต่อความตายจริง ๆ
>
>
> > พี่แดงจากไปด้วยอาการอันสงบ เมื่อวันพฤหัสที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๔
> > รวมสิริอายุ ๕๐ ปี รวมระยะเวลาที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งราว ๓ ปีเศษ
> > และปฏิบัติธรรมได้ราว ๒ ปี
> > กราบอนุโมทนา ต่อบุญกุศลที่พี่แดงบำเพ็ญมาดีแล้ว
> > และขออนุญาตดวงจิตพี่แดงที่จะนำบทสัมภาษณ์มาเผยแพร่เพื่อเป็นแบบอย่างและ
> > กำลังใจแก่นักปฏิบัติผู้มุ่งหวังความพ้นทุกข์ทุก ๆ คน
> >
> > ผมได้สรุปคำสัมภาษณ์ไว้ทั้งสิ้นจำนวน ๑๐ ข้อ โดยจะทยอยลงเผยแพร่เป็นลำดับดังนี้
> >>
> > ๑. เมื่อรู้ตัวว่าต้องเผชิญหน้าต่อความตาย ซวนเซเพราะโรคร้าย
> > แล้วตั้งหลักใจขึ้นได้เพราะวางใจไว้อย่างไร
> >
> > ”อันดับแรกเราต้องยอมรับความจริงให้ได้ก่อน...มันเป็นธรรมชาติ ใบไม้
> > แม้ยังเขียว แต่หากมีหนอนกัดกินก็ร่วงได้
> > เกิดเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ก็ยังต้องตายเลย
> > เกิดเป็นกบเป็นเขียดอยู่ในรูก็ตาย อยู่ในอวกาศก็ตาย ทุกชีวิตต้องตายหมด”
> >
> >>> ๒. อะไรที่ช่วยเราในยามเจ็บไข้เช่นนี้
> >
> >> * ”ธรรมะ ... ธรรมะและเรื่องใจต้องมาก่อน
> > ธรรมะสอนให้เรารู้จักว่า หน้าที่ของเราคือการดูแลจิตใจ
> > ส่วนร่างกายนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอที่จะเยียวยา
> > * “ธรรมะ ช่วยให้ใจเราดี เมื่อใจเราดี เรานอนหลับได้ รับประทานได้
> > ร่างกายก็พลอยดีขึ้น ใจไม่ดี ทานก็ไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ
> > ร่างกายก็ทรุดโทรม”
> > * “ข้อ ปฏิบัติหลักในยามนี้คือ ไหว้พระ ทำสมาธิ คิดในสิ่งที่ดี
> > พูดในสิ่งที่ดี ๆ ทำในสิ่งที่ดี ๆ ...ตื่นก็ตื่นกับพุทโธ
> > หลับก็หลับไปกับพุทโธ”
> > * “ธรรมะนอกจากช่วยเยียวยาใจได้แล้วยังล้ำมาที่ร่างกาย
> > คือช่วยให้สุขภาพกายดีขึ้นหรือทรุดโทรมช้าลงได้อีกด้วย”
> >
> >> * ”เวลา เข้าไปในห้องพยาบาล ไม่ว่าลูกเรา สามีเรา หรือญาติคนไหน ๆ
>
> > ก็ตามเราเข้าไปในห้องไม่ได้ สิ่งเดียวที่ตามเราเข้าไปได้คือ พุทโธๆ
> > ...นี่ขนาดยังไม่ตาย ยังไม่มีใครตามเราเข้าไปได้ ยิ่งเวลาตาย
> > ไม่มีใครไปกับเราหรือช่วยอะไรเราได้จริง ๆ ทุกคนส่งเราได้แค่กองฟอน
> > ที่ช่วยได้มีแต่พระ มีแต่ธรรมะเท่านั้น”
>
> > ๓. ประคองใจคนใกล้ตัวอย่างไรไม่ให้ทุกข์เพราะการเจ็บไข้ของเรา
> >
> > ”ความตายมันเป็นธรรมชาติธรรมดาที่เกิดกับทุกคน ...ตอนนี้ฉันยังไม่ตาย
> > จะร้องไห้ไปทำไม ฉันเป็นคนป่วยฉันยังไม่ทุกข์ ยังไม่ร้องไห้เลย
> > ดูอย่างภูเขาสิมันยังสึกกร่อนได้เลย
> > ความเสื่อมสิ้นไปของทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเรื่องธรรมชาติ”
> > (ต่อฉบับหน้า)
>
> > บทสัมภาษณ์พี่แดง หญิงผู้ป่วยเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย
> > (ต่อจากตอนที่ ๒)
>
> > ๔. ห่วงลูกห่วงสามีไหม
>
> > ”ทางใครทางมัน ...ตอนนี้ก็ทำหน้าที่ในฐานะแม่ ฐานะภรรยา แต่สุดท้ายแล้วก็
> > “ทางใครทางมัน”
> > แม้ จะห่วงความเป็นไปของลูกมาก ก็ต้องทำใจ
> > และยอมรับความจริงว่าสังขารมันไปไม่ไหวแล้ว สิ่งที่ควรทำในฐานะแม่
> > ฐานะภรรยา ก็ได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว ทุกคนย่อมมีกรรมเป็นของ ๆ ตน
> > ไม่ว่าจะมีอุปสรรคมากบ้าง น้อยบ้าง ชีวิตก็ต้องดำเนินไป แม้ว่าจะไม่มีแม่
> > ไม่มีภรรยาแล้วก็ตาม”
>
> > ๕. หากย้อนเวลาไปได้ อยากทำอะไร
> >
> > ”อยากพาลูกเข้าวัดฟังธรรม ปฏิบัติธรรมะเยอะ ๆ ...ต้องระวังตัวเองให้มาก
> > ไม่ให้ไปเบียดเบียนคนอื่น”
>
> > ๖. ปฏิบัติธรรมประจำวันอย่างไร
>
> > • “ก่อน นอนจะไหว้พระ สวดมนต์ และนั่งสมาธิทุกคืน
> > แล้วลุกขึ้นมานั่งสมาธิอีกทีตอนตีสี่ตีห้า แต่บางครั้ง
> > หากตื่นขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นตีสองตีสามก็ช่าง ก็จะลุกขึ้นนั่งภาวนาเลย
> > จะไม่ปล่อยให้นอนคิด เพราะหากปล่อยให้คิดไปเรื่อย ๆ มันมีแต่จะคิดลงต่ำ
> > คิดปรุงแต่งเลยเถิดไปจนน่ากลัวชวนให้ทุกข์ใจ
> > ต้องลุกขึ้นมานั่งสมาธิทำให้จิตนิ่ง เมื่อจิตนิ่งก็จะมีความสุขสงบ”
>
> ทุกวันนี้กล้าพูดว่าแทบจะไม่ลืม “พุทโธ” และลมหายใจเลย
> > ตื่นนอนก็ตื่นพร้อมพุทโธ หลับก็หลับไปกับพุทโธ
> > จะรู้สึกเสียใจถ้าหากวันไหนลืมระลึกรู้ลมหายใจหรือลืมบริกรรมพุทโธ”
> > • ”วาง ใจเหมือนก้อนหิน ประคองใจให้สงบนิ่ง ไม่หวั่นไหว
> > คลื่นซัดก้อนหิน ก้อนหินก็ยังอยู่อย่างเดิม ...อะไรจะเกิดก็เกิด
> > ไม่เผลอให้ความอยากมีชีวิตอยู่รอดทำให้เกิดความเครียด
> > ...สุขทุกข์อยู่ที่ใจ จึงต้องทำใจให้เป็นสุข ทำใจให้ดีอยู่เสมอ”
>
>
> ๗. ประสบการณ์การปฏิบัติภาวนา
>
> > ”บาง ครั้งปฏิบัติไปจนเหมือนลมหายใจไม่มี แต่ก็อยู่ได้ ไม่ตาย
> > รวมทั้งเคยปฏิบัติจนได้ข้ามเวทนา
> > จึงเกิดความเชื่อมั่นว่ากายกับใจเป็นคนละส่วนกันจริง”
>
> > ๘. อยากบอกอะไร
> > • ”อยาก ขอบคุณความเจ็บป่วยที่ทำให้หันมาสนใจธรรมะ
> > ได้หันมาดูแลตัวเอง จนทุกวันนี้รู้สึกสุขใจ มีเวลาให้คนในครอบครัว
> > หากไม่เจ็บป่วยอย่างนี้ก็คงจมหรือหมดเวลาทั้งชีวิตไปกับการงานและกิจกรรมโลก
> > ๆ และคงตายไปโดยไม่ได้ตระเตรียมอะไรเลย”
> > • ”อยากขอบคุณพระพุทธเจ้าที่ให้ธรรมะแก่เรา ธรรมะสอนไว้หมดจริง ๆ
> > ทั้งการอยู่การกิน การดูแลรักษาใจ ฯลฯ”
> >
> > ๙. ถ้าว่าไม่กลัวตาย ถามว่ากลัวทุกขเวทนาตอนตายที่จะมาถึงหรือไม่
>
> > ”กลัว แต่จะไม่ไปเป็นทุกข์ล่วงหน้า ตอนนี้ยังไม่เกิดก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ไปกับมัน”
>
> > ๑๐. ตั้งความปรารถนาไว้อย่างไร
> > “หากยังต้องเกิดก็อยากเกิดเป็นผู้ชาย อยากเป็นพระค่ะ”
> > เป็นอันว่า สรุปบทสัมภาษณ์พี่แดง ก็ถูกนำมาลงไว้โดยครบถ้วนแล้วนะครับ
> > หวังว่าจะเกิดประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายตามสมควร
> >
>
> มีสติรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง
> ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง

 wantana bunlamai
*8q*

ก่อนเกิดใครเป็นเรา
เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร

สิ่งที่ทำอยู่คือกรรมใหม่
ผลที่ได้รับคือกรรมเก่า

ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน
มองในสิ่งที่ไม่เห็น
ทำในสื่งที่ไม่มี