วิถีธรรม > แนวทางปฏิบัติธรรม
สาระน่ารู้เกี่ยวกับพระอภิธรรม เรียบเรียงโดย นายวิศิษฐ์ ชัยสุวรรณ
ฐิตา:
พระอภิธัมมัตถสังคหะคืออะไร ?
ต่อมาประมาณปี พ.ศ. ๙๐๐ มีพระเถระผู้ทรงความรู้ในพระไตรปิฎก ท่านหนึ่งมีนามว่า พระอนุรุทธเถระ (พระอนุรุทธาจารย์) ท่านเป็นชาวกาวิลกัญจิ แขวงเมืองมัทราช ภาคใต้ของประเทศอินเดีย ท่านได้มาศึกษาพระอภิธรรมอยู่ที่สำนักวัดตุมูลโสมาราม เมืองอนุราชบุรี ประเทศลังกา จนมีความแตกฉานและได้รับยกย่องว่าเป็นปราชญ์ทางพระอภิธรรมท่านหนึ่ง ต่อมาท่านได้รับอาราธนาจากนัมพะอุบาสกผู้เป็นทายกให้ช่วยเรียบเรียงพระอภิธรรมปิฎกซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ละเอียดลึกซึ้งมากนั้น ให้สั้นและง่ายเพื่อสะดวกแก่การศึกษาและจดจำ ด้วยความมุ่งหมายที่จะให้เป็นประโยชน์แก่นักศึกษาพระอภิธรรมทั้งหลายในอนาคต พระอนุรุทธาจารย์จึงได้อาศัยพระบาลี อรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกา มาเป็นหลักในการเรียบเรียงพระอภิธรรมฉบับย่อและเรียกชื่อคัมภีร์นี้ว่า พระอภิธัมมัตถสังคหะ
ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง อภิธัมมัตถสังคหะ แยกออกเป็น อภิ + ธรรม + อัตถะ + สัง + คหะ
อภิ = อันประเสริฐยิ่ง
ธรรมะ = สภาพที่ทรงไว้ไม่มีการผิดแปลกแปรผัน
อัตถะ = เนื้อความ
สัง = โดยย่อ
คหะ = รวบรวม
ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง อภิธัมมัตถสังคหะ จึงหมายถึง คัมภีร์ซึ่งรวบรวมเนื้อความของพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ ไว้โดยย่อ อันเปรียบเสมือนแบบเรียนเร็วพระอภิธรรมแบ่งเป็น ๙ ปริจเฉท (๙ ตอน) แต่ละปริจเฉทมี เนื้อหาโดยสรุปดังนี้
ปริจเฉทที่ ๑ จิตตสังคหวิภาค
แสดงเรื่อง ธรรมชาติของจิต ประเภทของจิต ทั้งโดยย่อและโดยพิสดาร ทำให้เข้าใจถึงจิตประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกุศลจิต อกุศลจิต วิบากจิต กิริยาจิต มหัคคตจิต และโลกุตตรจิต
ปริจเฉทที่ ๒ เจตสิกสังคหวิภาค
แสดงเรื่องเจตสิก คือ ธรรมชาติที่ประกอบกับจิตเพื่อปรุงแต่งจิตมีทั้งหมด ๕๒ ลักษณะ แบ่งเป็น เจตสิกที่ประกอบกับจิตได้ทุกประเภททั้งเจตสิกฝ่ายกุศล และเจตสิกฝ่ายอกุศล
ปริจเฉทที่ ๓ ปกิณณกสังคหวิภาค
แสดงการนำจิตและเจตสิกมาสัมพันธ์กับธรรม ๖ หมวด ได้แก่ ความรู้สึกของจิต (เวทนา) เหตุแห่งความดีความชั่ว (เหตุ) หน้าที่ของจิต (กิจ) ทางรับรู้ของจิต (ทวาร) สิ่งที่จิตรู้ (อารมณ์) และที่ตั้ง ที่อาศัยของจิต (วัตถุ)
ปริจเฉทที่ ๔ วิถีสังคหวิภาค
แสดงวิถีจิต อันได้แก่กระบวนการทำงานของจิตที่เกิดทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เมื่อได้ศึกษาปริจเฉทนี้แล้วจะทำให้รู้กระบวนการทำงานของจิตทุกประเภท บุญบาปไม่ได้เกิด ที่ไหน เกิดที่วิถีจิตนี้เอง ก่อนที่จะเกิดจิตบุญหรือจิตบาป มีจิตขณะหนึ่งเกิดก่อน คอยเปิดประตูให้เกิด จิตบุญหรือจิตบาปจิตดวงนี้เกี่ยวข้องกับการวางใจอย่างแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) หรือการวางใจ อย่างไม่แยบคาย (อโยนิโสมนสิการ) หากเราได้เข้าใจก็จะมีประโยชน์ในการป้องกันมิให้จิตบาป เกิดขึ้นได้
ปริจเฉทที่ ๕ วิถีมุตตสังคหวิภาค
แสดงถึงการทำงานของจิตขณะใกล้ตาย ขณะตาย (จุติ) และขณะเกิดใหม่ (ปฏิสนธิ) กล่าวถึงเหตุแห่งการตาย การเกิดของสัตว์ในภพภูมิต่าง ๆ โดยแบ่งได้ถึง ๓๑ ภพภูมิ (มนุษยภูมิเป็นเพียง ๑ ใน ๓๑ ภูมิ) ขณะเวลาใกล้จะตายภาวะจิตเป็นอย่างไร ควรเตรียมใจอย่างไรจึงจะไปเกิดในภพภูมิที่ดี พระพุทธองค์ทรงอธิบายไว้อย่างชัดเจนว่าตายแล้วต้องเกิดทันทีไม่ใช่ตายแล้ววิญญาณ (จิต) ต้องเร่ร่อนเพื่อไปหาที่เกิดใหม่ และยังได้อธิบายเรื่องของกรรม ลำดับแห่งการให้ผลของกรรมไว้อย่างละเอียดลึกซึ้งอีกด้วย)
ปริจเฉทที่ ๖ รูปสังคหวิภาค และนิพพาน
เมื่อได้ศึกษาทำความเข้าใจเรื่องจิต และเจตสิก อันเป็นนามธรรมมาแล้ว ในปริจเฉทที่ ๖ นี้ พระอนุรุทธาจารย์ ได้แสดงองค์ประกอบที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย นั่นก็คือเรื่องของรูปร่างกาย (รูปธรรม) โดยแบ่งรายละเอียดออกเป็นรูปต่าง ๆ ได้ ๒๘ ชนิด และอธิบายถึง สมุฎฐาน (เหตุ) ในการเกิดรูปต่าง ๆ ไว้อย่างละเอียดพิสดาร
ในตอนท้ายได้กล่าวถึง เรื่องพระนิพพาน ว่ามีสภาวะอย่างไร อันจะทำให้เข้าใจเรื่องของ พระนิพพานได้อย่างถูกต้องชัดเจน
ปริจเฉทที่ ๗ สมุจจยสังคหวิภาค
เมื่อได้ศึกษาปรมัตตธรรม ๔ อันได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน มาจากปริจเฉทที่ ๑ ถึง ๖ แล้ว ในปริจเฉทนี้จะแสดงธรรมที่เป็นฝ่ายกุศลซึ่งให้ผลเป็นความสุข และธรรมที่ฝ่ายอกุศลซึ่งให้ผลเป็นความทุกข์ ในสภาวะความเป็นจริงแล้วกุศลจิต (จิตบุญ) และอกุศลจิต (จิตบาป) จะเกิดสลับสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา ส่วนจะเกิดจิตชนิดไหนมากน้อยเพียงใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับคุณธรรมและจริยธรรม ของแต่ละบุคคล คนเราทั่วไปมักไม่เข้าใจและไม่รู้จักกับกุศลและอกุศลเหล่านี้ จึงทำให้ชีวิตตกอยู่ใน วัฏฏทุกข์ไม่รู้จักจบสิ้น ในปริจเฉทที่ ๗ นี้ได้แสดงธรรมที่ควรรู้ที่สำคัญ ๆ ได้แก่ อุปาทานขันธ์ (ขันธ์ที่ถูกอุปาทานยึดมั่นอย่างเหนียวแน่น), อายตนะ ๑๒ (สิ่งเชื่อมต่อเพื่อให้รู้อารมณ์), ธาตุ ๑๘ (ธรรมชาติ ที่ทรงไว้ซึ่งสภาพของตน), อริยสัจ ๔ (ความจริงของพระอริยะ) และโพธิปักขิยธรรม (ธรรมที่เกื้อกูล การตรัสรู้, ธรรมที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรค) มี ๓๗ ประการ คือ สติปัฎฐาน ๔, สัมมัปปธาน ๔, อิทธิบาท ๔, อินทรีย์ ๕, พละ ๕, โพชฌงค์ ๗, และมรรคมีองค์ ๘
ปริจเฉทที่ ๘ ปัจจยสังคหวิภาค
ในปริจเฉทนี้ ท่านได้แสดงเรื่องปฎิจจสมุปบาท (เหตุและผลที่ทำให้มีการเวียนว่ายตายเกิด ในสังสารวัฎฎ์) และปัจจัยสนับสนุน ๒๔ ปัจจัย ในตอนท้ายยังได้แสดงความหมายของบัญญัติธรรม ซึ่งเป็นธรรมที่ไม่ใช่เป็นความจริงแท้ แต่เป็นจริงตามสมมุติ (สมมุติสัจจะหรือสมมุตโวหาร) ตามกติกาของชาวโลก
ปริจเฉทที่ ๙ กัมมัฎฐานสังคหวิภาค
ในปริจเฉทนี้ ท่านกล่าวถึงความแตกต่างของสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้เห็นว่าสมถกรรมฐานหรือการทำสมาธินั้นเป็นการปฏิบัติเพื่อให้จิตเกิดความสงบ และเกิดอภิญญา (เกิดอิทธิฤทธิ์ต่าง) เท่านั้น ซึ่งไม่ใช่จุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา เพราะผลของการทำสมาธิ หรือสมถกรรมฐานนั้นเป็นการข่มกิเลสไว้ชั่วขณะเท่านั้น ไม่สามารถทำลายกิเลสได้ ถึงแม้จะเจริญ สมถกรรมฐานถึงขั้นอรูปฌานจนได้เสวยสุขอยู่ในอรูปพรหมภูมิเป็นเวลาอันยาวนาน แต่ในที่สุดก็ ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบจักสิ้น
จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้งในสภาวธรรมตามความเป็นจริงว่า จิต + เจตสิก และรูป ซึ่งเป็นองค์ประกอบของชีวิตต่างก็มี การเกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไป - เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไป ต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา เป็นสภาพที่ไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตนอะไรของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งในสภาวธรรมตามความเป็นจริงเช่นนี้ เมื่อมีกำลังแก่กล้าก็จะสามารถประหาณกิเลสและเข้าถึงพระนิพพานได้ในที่สุด
ฐิตา:
การสวดพระอภิธรรมในงานศพ
ทุกท่านคงจะพบคำว่า สวดพระอภิธรรม หรือ ตั้งศพสวดพระอภิธรรม ในบัตรเชิญหรือในหน้าหนังสือพิมพ์เพื่อเชิญไปร่วมงานบำเพ็ญกุศลแด่ท่านผู้วายชนม์อยู่บ่อย ๆ ที่ว่า สวดพระอภิธรรม นั้น เมื่อท่านอ่านมาถึงตรงนี้ย่อมทราบดีแล้วว่าหมายถึงอะไร
ตามหลักฐานของท่านผู้รู้กล่าวว่ามีการนำเอาพระอภิธรรมมาสวดในพิธีศพของพุทธศาสนิกชนชาวไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาและท่านได้ให้ความเห็นไว้ว่าการบำเพ็ญกุศลในงานศพเพื่ออุทิศให้ ผู้วายชนม์นั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก ความกตัญญูต่อผู้วายชนม์ซึ่งจากไปไม่มีวันกลับ การที่ พุทธศาสนิกชนชาวไทยนำเอาคัมภีร์พระอภิธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องกับประเพณีนี้นั้นตามข้อสันนิษฐาน คงจะเกิดจากเหตุผลประการต่าง ๆ ดังนี้
ประการแรก เป็นเพราะ พระอภิธรรม ไม่กล่าวถึงสัตว์ ไม่กล่าวถึงบุคคล ไม่มีตัวตน เรา เขา แต่ทรงจำแนกธรรมออกเป็นกุศล อกุศล และอัพยากฤต (ธรรมที่ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล) ทรงกระจายสรีระกายซึ่งเป็นกลุ่มก้อนออกเป็นขันธ์ ๕ บ้าง อายตนะ ๑๒ บ้าง ธาตุ ๑๘ บ้าง อินทรีย์ ๒๒ บ้าง อัน เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยซึ่งต้องมีการเสื่อมสลายไปตามสภาวะมิสามารถตั้งอยู่ได้ตลอดไป การได้ฟังพระอภิธรรมจะทำให้ผู้ฟังน้อมนำมาเปรียบเทียบกับการจากไปของผู้วายชนม์ ทำให้เห็นสัจจธรรมที่ แท้จริงของชีวิต ท่านโบราณบัณฑิตคงจะเห็นว่าในงานเช่นนี้เป็นโอกาสอันดีที่ท่านผู้ฟังและท่านผู้ ร่วมบำเพ็ญกุศลในงานศพจะสามารถพิจารณาเห็นความจริงของชีวิตได้โดยง่าย จึงได้นำเอาพระอภิธรรมมาแสดงให้ฟัง
อีกประการหนึ่ง เพราะเห็นว่าในการตอบแทนพระคุณพุทธมารดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ท่านได้เสด็จขึ้นไปทรงแสดงพระอภิธรรมเทศนาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพุทธมารดาซึ่ง สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ดังนั้น เมื่อบุพพการีอันได้แก่ มารดา บิดา ถึงแก่กรรมลง ท่านผู้เป็นบัณฑิตจึงได้นำเอาพระอภิธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องในการบำเพ็ญกุศลให้แก่ผู้วายชนม์ โดยถือว่าเป็นการสนองพระคุณมารดา บิดา ตามแบบอย่างพระจริยวัตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมา แม้ว่าท่านผู้วายชนม์จะมิใช่มารดาบิดาก็ตาม แต่การนำเอาพระอภิธรรมมาแสดงในงานศพก็ถือเป็นประเพณีไปแล้ว
ประการสุดท้าย เพราะเชื่อว่า พระอภิธรรมเป็นคำสอนขั้นสูงที่มีเนื้อหาละเอียดลึกซึ้ง เกี่ยวกับปรมัตถธรรม ๔ ประการ หากนำมาแสดงในงานบำเพ็ญกุศลให้แก่ผู้วายชนม์แล้ว ผู้วายชนม์จะได้บุญมากการสวดพระอภิธรรมก็คือการนำเอาคำบาลีขึ้นต้นสั้น ๆ ในแต่ละคัมภีร์ของพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์มาเรียงต่อกัน การสวดพระอภิธรรมนี้บางทีเรียกว่า สวดมาติกา ถ้าเป็นงานพระศพบุคคลสำคัญในราชวงศ์เรียกว่า พิธีสดับปกรณ์ ซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า สัตตปกรณ์ อันหมายถึง พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ นั่นเอง (สัตต = เจ็ด ปกรณ์ = คัมภีร์ ตำรา)
ต่อมาภายหลังมีผู้รู้ได้นำเอาคาถาในพระอภิธัมมัตถสังคหะ ของพระอนุรุทธาจารย์มาสวดเป็นทำนอง สรภัญญะ (คือการสวดเป็นจังหวะสั้น ยาว) เรียกว่า สวดสังคหะ โดยนำเอาคำบาลีในตอนต้นและตอนท้ายของแต่ละปริจเฉท ซึ่งมีทั้งหมด ๙ ปริจเฉทมาเรียงต่อกันเป็นบทสวด
ฐิตา:
ประโยชน์จากการศึกษาพระอภิธรรม
ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษาพระอภิธรรมมีอยู่มากมายหลายประการ แต่ที่สำคัญมี โดยสังเขปดังนี้
๑. การศึกษาพระอภิธรรมจะทำให้เข้าถึงแก่นของพระพุทธศาสนา เพราะพระอภิธรรมเกิดจากพระสัพพัญญุตญาณของพระพุทธองค์ การเข้าถึงพระอภิธรรมจึงเท่ากับเข้าถึงพระปัญญาคุณของ พระพุทธองค์อย่างแท้จริง
๒. การศึกษาพระอภิธรรม ก็คือศึกษาธรรมชาติการทำงานของกายและใจซึ่งเป็นธรรมชาติ ที่มีอยู่ในตัวเราและสัตว์ทั้งหลายเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องจิต (วิญญาณ), เรื่องเจตสิก, เรื่องอำนาจจิต, เรื่องวิถีจิต, เรื่องกรรมและการส่งผลของกรรม, เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด, เรื่องสัตว์ใน ภพภูมิต่างๆ และเรื่องกลไกการทำงานของกิเลส ทำให้รู้ว่าชีวิตของเราในชาติปัจจุบันนี้มาจากไหนและ มาได้อย่างไร มีอะไรเป็นเหตุมีอะไรเป็นปัจจัย เมื่อได้คำตอบชัดเจนดีแล้วก็จะรู้ว่าตายแล้วไปไหนและ ไปได้อย่างไร อะไรเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างชาตินี้กับชาติหน้า ทำให้หมดความสงสัยแล้วเกิดอีกหรือไม่ นรก สวรรค์ มีจริงไหม ทำให้มีความเข้าใจเรื่องกรรม และการส่งผลของกรรม (วิบาก) อย่างละเอียด ลึกซึ้ง
๓. ผู้ศึกษา พระอภิธรรมจะเข้าใจเรื่องของปรมัตถธรรม หรือสภาวธรรมอันจริงแท้ตาม ธรรมชาติ ในพระอภิธรรมจะแยกสภาวะออกให้เห็นว่าทุกสิ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลอะไร ทั้งนั้น คงมีแต่สภาวธรรมคือ จิต เจตสิก รูป ที่วนเวียนอยู่ในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยอาศัยเหตุอาศัยปัจจัยอุดหนุนซึ่งกันและกัน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นใหม่แล้วก็ดับไปอีก มีสภาพเกิดดับอยู่เช่นนี้ โดยไม่รู้จักจบจักสิ้น แม้ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม สภาธรรมทั้ง ๓ นี้ก็ทำงานอยู่เช่นนี้โดยไม่มีเวลาหยุด พักเลย สภาวธรรมหรือธรรมชาติเหล่านี้มิใช่เกิดขึ้นจากพระผู้เป็นเจ้า พระพรหมพระอินทร์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ เป็นผู้บันดาลหรือเป็นผู้สร้าง แต่สภาวธรรมเหล่านี้เป็นผลอันเกิดมาจากเหตุ คือ กิเลสตัณหานั่นเองที่เป็นผู้สร้าง
๔. การศึกษาพระอภิธรรม จะทำให้เข้าใจสภาวธรรมอีกประการหนึ่ง อันเป็นจุดมุ่งหมาย สูงสุดในพระพุทธศาสนาที่ต้องการให้เข้าถึงนั่นก็คือนิพพาน นิพพาน หมายถึง ความหลุดพ้นจากกิเลสตัณหา ผู้ที่ปราศจากกิเลสตัณหาแล้วนั้น เมื่อหมดอายุขัย ก็จะไม่มีการสืบต่อของ จิต + เจตสิก และรูป อีกต่อไป ไม่มีการสืบต่อภพชาติ หยุดการเวียนว่ายตายเกิด พ้นจากทุกข์ทั้งปวงโดยสิ้นเชิง จึงกล่าวว่านิพพานเป็นธรรมชาติที่ปราศจากกิเลสตัณหา เป็นธรรมชาติที่ดับทุกข์โดยสิ้นเชิงและเป็นธรรมชาติที่ พ้นจากจิต เจตสิก รูป นิพพานมิใช่เป็นแดนสุขาวดีที่เป็นอมตะและเพียบพร้อมด้วยความสุขล้วน ๆ ตลอดนิรันดร์กาลตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ
๕. การศึกษาพระอภิธรรมจะทำให้เข้าใจคำสอนที่มีคุณค่าสูงสุดในพระพุทธศาสนา เพราะ แค่การทำทาน รักษาศีล และการทำสมาธิก็ยังมิใช่คำสอนที่มีค่าสูงสุดในพระพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นเหตุให้ต้องเกิดมารับผลของกุศลเหล่านั้นอีก ท่านเรียกว่า วัฎฎกุศล เพราะกุศลชนิดนี้ยังไม่ทำให้พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด คำสอนที่มีค่าสูงสุดในพระพุทธศาสนาคือ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวมหาสติปัฎฐาน ๔ เพื่อให้เห็นว่าทั้งนามธรรม (จิต + เจตสิก) และรูปธรรม (รูป) มีสภาพที่ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ มีการเกิดดับ เกิดดับ ตลอดเวลา หาแก่นสาร หาตัวตน หาเจ้าของไม่ได้เลย เมื่อมีปัญญาเห็นแจ้งในสภาวธรรมตามความเป็นจริงเช่นนี้แล้วก็จะนำไปสู่ การประหาณกิเลสและเข้าถึงพระนิพพานได้ในที่สุด
๖. การศึกษาพระอภิธรรม จะทำให้เข้าใจเรื่องอารมณ์ของวิปัสสนาซึ่งต้องใช้นามธรรม (จิต + เจตสิก) และรูปปรมัตถ์เป็นอารมณ์ เมื่อกำหนดรู้อารมณ์ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้ ถูกต้อง การปฏิบัติก็ย่อมได้ผลตามที่ต้องการ
๗. การศึกษาพระอภิธรรม เป็นการสั่งสมปัญญาบารมีที่ประเสริฐที่สุดไม่มีวิทยาการใด ๆ ในโลกที่ศึกษาแล้วจะทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งโลกเท่ากับการศึกษาพระอภิธรรม
๘. การศึกษาพระอภิธรรม เป็นการช่วยกันรักษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ไว้ ให้อนุชนรุ่นหลังและเป็นการช่วยสืบต่อพระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวรตลอดไป
ฐิตา:
สำนักศึกษาพระอภิธรรมในประเทศไทย
กรุงเทพมหานคร
๑. อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์
๒. วัดระฆังโฆษิตาราม
๓. วัดบวรนิเวศวิหาร
๔. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
๕. วัดบูรณศิริมาตยาราม
๖. วัดสังเวลวิศยาราม
๗. วัดธาตุทอง
๘. วัดเจริญธรรมาราม
๙. วัดศิริพงษ์ธรรมนิมิต
๑๐. วัดสุวรรณประสิทธิ์
ภาคกลาง
๑. วัดสร้อยทอง จ.นนทบุรี
๒. วัดตะวันเรื่อง ต.คลองสี่ อ. คลองหลวง จ. ปทุมธานี
๓. วัดพืชอุดม ต.พืชอุดม อ.ลำลูกกา จ. ปทุมธานี
๔. วัดจากแดง ต.ทรงคนอง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
๕. วัดเพชรสมุทร จ. สมุทรสงคราม
๖. วัดมณีสรรค์ จ.สมุทรสงคราม
๗. วัดเขาวัง ต. หน้าเมือง อ. เมือง จ. ราชบุรี
๘. วัดมหาธาตุวรวิหาร ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี
๙. วัดแหลมทอง ต.หัวโพ อ.บางแพ จ.ราชบุรี
๑๐. วัดชะอำ ต. ชะอำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
๑๑. วัดอุดมมงคล ต.ปากแพรก อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
๑๒. วัดกลาง ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
๑๓. วัดปราสาททอง จ. สุพรรณบุรี
๑๔. สำนักสงฆ์สวนธรรมจักร ต.ตลิ่งชัน อ. เมือง จ. สุพรรณบุรี
๑๕. วัดนาฬิกาวัน ต.หอรัตนชัย จ.พระนครศรีอยุธยา
๑๖. วัดมเหยงคณ์ ต. หันตรา จ.พระนครศรีอยุธยา
๑๗. วัดโกโรโกโส อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา
๑๘. วัดหาดสองแคว ต.ท่าคล้อ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี
๑๙. วัดเขาพระ ต.บ้านป่า อ.แก่งคอย จ.สระบุรี
๒๐. วัดป่าธรรมโสภณ ทะเลชุบศร อ.เมือง จ.ลพบุรี
๒๑. วัดเขาสมโภชน์ ต.บัวชุม อ.ชัยบาดาล จ. ลพบุรี
๒๒. วัดโคกโตนด ต.ห้วยเกรด อ.สวรรคบุรี จ.ชัยนาท
ภาคเหนือ
๑. วัดถ้ำพระธาตุเมืองเทพ ต. ทัพหลวง อ.บ้านไร่ จ. อุทัยธานี
๒. วัดพรหมจริยาวาส ต.ปากน้ำโพ อ.เมือง จ.นครสวรรค์
๓. วัดพระโบสถ์ ต.ดอนคา อ.ท่าตะโก จ. นครสวรรค์
๔. วัดใหม่เจริญผล ต.หนองจิก อ.คีริมาส จ.สุโขทัย
๕. วัดม่อนจำศีล ต.พระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง
๖. วัดร่ำเปิง (ตโปธาราม) ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
๗. วัดสวนดอก จ.เชียงใหม่
๘. วัดเมืองมาง ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
๑. วัดสะแกแสง ต.พะาด อ.ขามสะแกแสง จ.นครราชสีมา
๒. วัดป่านิมิตมงคล ต.แตล อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์
๓. วัดป่าสังฆพงษ์พิทักษ์ฯ ต.บ้านซบ อ.สังขะ จ.สุรินทร์
๔. วัดพรมศิลาแตล ต.แตล อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์
๕. วัดโมฬีวงษา ต.ตรวจ กิ่ง อ.ศรีณรงค์ จ.สุรินทร์
๖. วัดวารีหงษ์ทอง ต.ระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์
๗. วัดกลาง ต.นางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์
๘. วัดมหาวนาราม ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
๙. วัดกลาง ต.พิบูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี
๑๐. วัดบ้านไร่ขี อำนาจเจริญ
๑๑. วัดบ้านโคกก่อง จ.ยโสธร
๑๒. วัดอุดมไพรสณฑ์ ต.รอบเมือง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด
๑๓. วัดวิสุทธิมัคคาราม จ. อุดรธานี
๑๔. วัดพระบาทนาหงษ์ จ.หนองคาย
ภาคตะวันออก
๑. วัดเกาะแก้วคลองหลวง ต.ไร่หลักทอง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี
๒. วัดเกาะจันทร์ ต.เกาะจันทร์ กิ่ง อ.เกาะจันทร์ จ.ชลบุรี
๓. วัดเก่าโบราณ ต.เหมือง อ.เมือง จ.ชลบุรี
๔. วัดกุณฑีธาร ต.คลองกิ่ง อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี
๕. วัดเขาบ่อน้ำซับ ต.ห้างสูง อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี
๖. วัดเขาพุทธโคดม ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
๗. วัดนาพร้าวเก่า ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
๘. สำนักสงฆ์หนองลำดวน ต.ท่าบุญมี กิ่ง อ.เกาะจันทร์ จ.ชลบุรี
๙. สำนักสันตยสม จ.ชลบุรี
๑๐. วัดธรรมนิมิตต์ จ.ชลบุรี
๑๑. วัดพนมพนาวาส ต.คลองขุด อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา
๑๒. วัดสุนีย์ศรัทธาธรรม ต.พิมพา อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา
๑๓. วัดชากพรวด ต.ห้วยยาง อ.แกลง จ.ระยอง
๑๔. วัดบ่อทอง ต. ชาดโดน อ.แกลง จ.ระยอง
๑๕. วัดหินโค้ง ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง
๑๖. วัดสุทธิวารี ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
ภาคใต้
๑. วัดไตรวิทยาราม ต.ถ้ำใหญ่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช
๒. วัดคุณชี ต.ตลาดเหนือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต
สำนักศึกษาพระอภิธรรมทางไปรษณีย์
๑. มูลนิธิเผยแผ่พระสัทธรรม ตู้ปณ. ๔๕ ปณจ. ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐ โทรศัพท์ : ๘๘๔ - ๕๐๙๑ - ๒
ฐิตา:
เกี่ยวกับผู้เรียบเรียง นายวิศิษฐ์ ชัยสุวรรณ
ปัจจุบันทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กับองค์กรต่าง ๆ ดังนี้
- รองประธานมูลนิธิเผยแผ่พระสัทรรม
- รองประธานมูลนิธิพระอภิธรรมทางอากาศ
- ประธานชมรมสนทนาธรรมบ้านป่าริมธาร จ.กาญจนบุรี
- ที่ปรึกษาโครงการสอนพระอภิธรรมทางไปรษณีย์ สำนักวัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร
การศึกษา
- ปริญญาโทวิศวกรรมไฟฟ้า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ปริญญาโทสาขาบริหารการเงิน สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
อาชีพปัจจุบัน
- กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเทล จำกัด (ผู้ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้า)
- อาจารย์พิเศษสาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์
บรรณานุกรม
๑. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎก
: ประวัติและความเป็นมา. กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕
๒. พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตโต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕
๓. ธนิต อยู่โพธิ์. ตำนานพระอภิธรรม. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร
: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิวพร, ๒๕๒๗.
๔. พระครูสังวรสมาธิวัตร. คู่มือการศึกษาพระอภิธรรมปิฎก. กรุงเทพมหานคร
: พิทักษ์อักษร, ๒๕๓๐
๕. วรรณสิทธิ ไวยทยะเสวี. คู่มือการศึกษาพระพุทธศาสนาพื้นฐาน. กรุงเทพมหานคร
: พัฒนาวิทย์การพิมพ์, ๒๕๓๔.
๖. มูลนิธิสำนักปฏิบัติธรรมบุณย์กัญจนาราม. พุทธศาสนาคืออะไร. ม.ป.ท. ๒๕๓๖.
๗. สรรค์ชัย พรหมฤๅษี. สภาวธรรม ๗๒. กรุงเทพมหานคร : สหธรรมิก, ๒๕๓๕.
๘. มูลนิธิว่องวานิช. คู่มือฟังสวดพระอภิธรรม. กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพ์วิญญาณ. ๒๕๓๕.
๙. วินัย อ.ศิวะกุล. "เรียนอภิธรรม ๙ ปริจเฉท". วารสารอภิธรรม
ฉบับเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๐ : หน้าที่ ๔๕ - ๕๔.
http://www.geocities.ws/gogfox/aphithum2.html
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version