ความตาย วาทะโดยหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
"ความตายเป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุดของมนุษย์" ไม่มีใครปฏิเสธคำกล่าวนี้
"กมฺมุนา วตฺตติ โลโก - โลกหมุนไป ตามกฏของกรรม" เรื่องของโลกเป็นเช่นใด เรื่องของชีวิตก็เป็นเช่นกัน
แม้ว่า ความตายเป็นสิ่งสามัญที่ไม่อาจหลีกพ้นได้
เช่นเดียวกับหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ หรือ พระพรหมมังคลาจารย์
ที่ดับขันธ์จากเราไปแล้ว
ท่านมีทัศนะต่อความตายในการเทศนาธรรมตามวาระต่างๆหลายต่อหลายครั้ง
"ผู้จัดการปริทรรศน์"นำมาถ่ายทอดเพื่อเป็นอนุสติและรำลึก
ต่อการจากไปของพระที่แท้ของแผ่นดิน
******
ความตายมันเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะเกิดมีแก่ทุกชีวิต
อันนี้คนเราไม่ค่อยได้คิด เรื่องความตายไม่ค่อยคิด เพราะคนเราไม่ค่อยคิด
เพราะคนเรามีความต้องการที่จะอยู่มาก ทุกคนเหมือนต้องการที่จะอยู่ทั้งนั้น
ไม่มีใครอยากตาย แต่ว่าก็ไม่ได้ว่าไม่ให้อยู่ อยู่ไปตามเรื่อง
แต่เราจะต้องคิดไว้บ้างว่าเราจะอยู่ค้ำฟ้าไม่ได้ ชีวิต เป็นของไม่เที่ยง
มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่งมันต้องถึงจุดจบเป็นธรรมดา
อันนี้เป็นเรื่องที่ควรจะได้คิด ปกติคนเราไม่ค่อยจะได้คิดถึงเรื่องนี้
เพราะไม่ได้คิดถึงเรื่อง ความตาย นี้แหละ
จึงทำให้คนเกิดความประมาทมัวเมาในทรัพย์สมบัติ
มัวเมาในความเป็นใหญ่ในอำนาจวาสนา ในเรื่องอะไรต่างๆ
อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตทั้งนั้น แล้วเกิดความวุ่นวายขึ้นในภายหลัง
เพราะไม่ได้นึกถึงเรื่องเกี่ยวกับความตายไว้บ้าง ถ้าหากว่าได้เอาความตาย
ที่เราได้เป็นข่าวมาเป็นเครื่องเตือนใจเราว่า
แกเองนี่แหละสุดท้ายชีวิตมันก็จบลงกันที่ตรงนี้ แม้จะมีอำนาจสักเท่าใด
ยิ่งใหญ่สักเท่าใด ใครๆ เขาก็จะเคารพบูชาสักเท่าใด
ก็ต้องถึงจุดจบคือถึงแก่ความตาย เป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น
เมื่อเราคิดอย่างนั้นเราก็ควรจะถามตัวเราเอง
พิจารณาถึงสังขารร่างกายของเราเอง ว่ามันก็จะต้องเป็นอย่างนั้น
เป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าความตายกับความเกิดนั้น
เป็นของคู่กัน มาด้วยกันไปด้วยกันอยู่ตลอดเวลา
แล้ววันหนึ่งมันจะปรากฏแก่ตาของเราเอง ว่ามันเป็นอย่างนั้น
การนึกคิดในเรื่องความตายนี้ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เรียกว่าอัปมงคลอะไร แต่เป็นเรื่องเป็นมงคล
เป็นเหตุให้คนมีความก้าวหน้าในชีวิต ในการงานด้วยประการต่างๆ
เพราะเราได้นึกถึงเรื่องความตายไว้บ้าง คนที่นึกถึงความตายนั้น
จะเป็นคนที่ขยันขันแข็งเอางานเอาการ เพราะรู้ว่าชีวิตนี้มันน้อย มันสั้น
เราควรจะรีบทำให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ ถ้านึกถูกต้อง
แต่บางคนมานึกถึงความตายไม่ถูกเป้าหมาย คือพอไปเห็นคนอื่นตาย
หรือใครตายแล้วใจอ่อนไป กลัวต่อความตาย มืออ่อนตีนอ่อน แล้วก็นึกว่า
จะทำไปทำไปทำไม ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ไปนึกอย่างนั้น อันนี้ไม่ถูกเรื่อง
ไม่ตรงตามจุดหมายของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าสอนให้คิดถึงความตายนั้น ก็เพื่อให้รู้ว่าเราจะต้องตาย
เราหนีจากความตายไปไม่พ้น และเมื่อรู้ว่าเราจะต้องตาย
หนีจากความตายไปไม่พ้นแล้ว เราควรจะได้ใช้ชีวิตเท่าที่เหลืออยู่นี้
ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการประกอบหน้าที่ที่เราจะต้องกระทำ
ทุกคนมีหน้าที่ด้วยกันทั้งนั้น ใครมีหน้าที่อันใด
จงทำหน้าที่อันนั้นให้สมบูรณ์ให้เรียบร้อย ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
อย่างนั้นจึงจะเป็นประโยชน์แก่ชีวิตแก่ครอบครัว ตลอดถึงประเทศชาติบ้านเมือง
เพราะฉะนั้นการนึกถึงความตาย คือให้นึกว่าเราจะต้องตาย
เมื่อนึกว่าจะตายแล้วเราก็ไม่ประมาท
รีบเร่งกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต เช่นในเรื่องการงาน ในด้านวัตถุ
ที่เราพูดในภาษาธรรมะว่า ในด้านคดีโลก คดีโลกหมายความว่าในด้านวัตถุ
เช่นการแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง ประกอบการงานไปตามหน้าที่
เราก็ทำไปตามเรื่องตามหน้าที่ที่เราจะกระทำได้
แล้วก็ทำด้วยความตั้งอกตั้งใจ ทำให้เรียบร้อยทำให้ดีที่สุด
เพราะเรานึกว่าชีวิตไม่แน่ไม่เที่ยง เราอาจจะดับลงไปเมื่อใดก็ได้
******
ไม่มีสิ่งใดที่จักเกิดขึ้นและเป็นอยู่โดยมิได้อาศัยกรรม
ต้องมีกฏนี้เข้าไปแทรก แซงอยู่เสมอ และที่ทุกอย่างดำเนินไปได้เป็นปกติ
ก็เพราะยังมีกรรมของมันอยู่ ถ้าหากหมดกรรมลงเมื่อใดแล้วก็แตกสลาย
แต่การสลายตัวของสิ่งหนึ่ง ทำให้เกิดสิ่งอื่นต่อไปอีก
เช่นต้นไม้ต้นหนึ่งตายก็กลายเป็นไม้ท่อน คนเราเอาไม้ท่อนไปทำรถ ทำเรือน
ทำอะไรหลายอย่าง ถ้าวัตถุที่ถูกทำนั้นตายคือผุต่อไปอีก
ก็กลายเป็นปุ๋ยก่อให้เกิดเป็นอาหารแก่หญ้าแก่ต้นไม้ต่อไป วัตถุทั้งปวงในโลก
จึงมิได้หายไปจากโลก มันหมุนเวียนเป็นสังสารวัฏฏ์วนไปมาอยู่เสมอ
เป็นเรื่องไม่จบ แต่เป็นวงกลมที่ไม่มีการตั้งต้นและไม่มีที่สุด
เป็นแต่อาศัยเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปๆ แล้วก็เกิดขึ้นอีก เป็นวงเวียนตลอดสาย
จึงเรียกว่า เป็นไปตามอำนาจของกรรม
******
ทีนี้มนุษย์ เรานี่มักจะฝืนธรรมชาติ
ไม่คล้อยตามธรรมชาติในเรื่องธรรมชาติที่มันแน่นอนที่สุดที่จะต้องเป็น
เราก็ไปคิดว่า ขอให้ท่านมีชีวิตอยู่โลกนานๆ
แม้จะแก่ชราเท่าใดก็ไม่อยากให้ท่านจากไป ให้อยู่ได้เห็นหน้ากัน
แล้วก็รู้สึกว่าอุ่นอกอุ่นใจ มีความสบายใจ นี่คือความคิดธรรมดาสามัญทั่วไป
ในมนุษย์เราทั้งหลายเราไม่เคยคิดในแง่ความจริงในสิ่งนั้น
คือไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ที่ท่านจะไม่อยู่กับเราตลอดไป
วันหนึ่งท่านก็จะจากเราไป เพราะสังขารร่างกายนี่มันเปลี่ยนแปลง ชรา ชำรุดทรุดโทรม
ร่างกายของมนุษย์นี่เปลี่ยนแปลงทุกลมหายใจเข้าออก
หายใจเข้าก็เปลี่ยนหายใจออกก็เปลี่ยน เปลี่ยนไปสู่ความแตกดับทั้งนั้น
ไม่มีร่างกายของคนใดที่จะคงทนถาวร อยู่ได้ตลอดกาลนาน
มีความเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แล้วผลที่สุดแตกดับไป นั่นเป็นเรื่องของธรรมชาติ
แม้ไม่มีโรคภัยเข้ามาเบียดเบียน มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเรื่องอย่างนั้น
แล้วก็ต้องแตกดับไปตามเรื่องอย่างนั้น แต่ว่ามันไม่ได้เป็นเพียงเท่านั้น กฏธรรมชาติมันมีอยู่แล้ว
คือการไหลเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ว่ายังมีโรคภัยไข้เจ็บ
เข้ามาเบียดเบียนร่างกายอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าว่า โรคนิทฺธํ ร่างกายนี้ เป็นเรือนโรค
เป็นที่อาศัยของโรคนานาชนิด ซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นมันเป็นตัวจุลินทรีย์ตัวเล็กๆ
ลอยฟ่องอยู่ในอากาศ หายใจเข้าไปทางจมูกบ้าง ติดเข้าไปกับอาหารบ้าง
มาเกาะที่ร่างกายของเราแล้ว มันเจาะใชชอนเข้าไปในร่างกายไปยึดเอาร่างกายของเรา
เป็นที่อยู่อาศัย ร่างกายของมนุษย์นี่เป็นเรือนของโรคแท้ๆ
******