วิถีธรรม > แนวทางปฏิบัติธรรม
พระอภิธรรมสังคิณีมาติกาบรรยาย : หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
ฐิตา:
๓๕. มะหัคคะตา ธัมมา
ในบทที่ ๓๕ นั้น พระบาลีว่า มะหัคคะตา ธัมมา แปลว่า ธรรมทั้งหลายอันเลิศใหญ่ โดยความอธิบายว่า ธรรมที่พระองค์ทรงตรัสเทศนาเป็นอุเทสวารนั้นชื่อว่าธรรมอันเลิศ ครั้นพระองค์ทรงจำแนกออกไปให้มากเป็นนิเทศวารนั้น ชื่อว่า ธรรมอันมาก เพราะฉะนั้นจึงได้แปลว่า ธรรมทั้งหลายอันเลิศใหญ่ฉะนี้ เพราะเหตุว่าพระองค์ทรงอธิบายให้มากออกไปตามวิสัยของบุคคลผู้มีปฏิสัมภิทาญาณ เช่น อย่างพระสารีบุตรได้ฟังแต่พระคาถาบทหนึ่งว่า เย ธัมมา เหตุปัปภะวา เท่านี้ ก็ได้ตรัสรู้แทงตลอดไปได้ถึง ๑,๐๐๐ นัย แลทะลุไปในพระอริยสัจทั้ง ๔ ฉะนี้ เพราะสติปัญญาของท่านมาก เป็นวิสัยของพระอัครสาวกเบื้องขวา เพราะฉะนั้นจึงจะสามารถจะตรัสรู้แทงตลอดถึงมหัคคตธรรมนั้นได้ มหัคคตธรรมกับปริตตธรรมเป็นของคู่กัน เพราะมีธรรมน้อยก่อนแล้วบังเกิดธรรมมาก เช่นพระจุลบันถกได้เรียนคาถาว่า ระโช หะระณัง ระชัง หะระติ และพระสารีบุตรได้ฟังคาถาว่า เย ธัมมา เหตุปัปภะวา เท่านี้ แล้วก็สามารถตรัสรู้แทงตลอดไปในธรรมที่มากนั้นได้ เพราะฉะนั้นจึงสมกับพระบาลีว่า มะหัคคะตา ธัมมา ฉะนี้ฯ
ฐิตา:
๓๖. อัปปะมาณารัมมะณา ธัมมา
ในบทที่ ๓๖ นั้น พระบาลีว่า อัปปะมาณารัมมะณา ธัมมา แปลว่า ธรรมทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นไม่มีประมาณ ญาณปัญญาที่พระองค์ทรงตรัสรู้ธรรมนั้นก็ไม่มีประมาณ เมื่อจะมีอุปมาเหมือนอย่างพระพุทธเจ้า แลพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลายที่ล่วงไปแล้วนั้น แลยังจะมาในเบื้องหน้านั้นก็ประมาณไม่ได้ ฉันใดก็ดี ธรรมที่แสดงมาทั้งนี้ก็มีอุปไมยเหมือนกันฉะนั้น ที่ท่านประมาณไว้ว่าแปดหมื่นสี่พันพระรรมขันธ์ดังนี้ ก็ประมาณได้โดยสังขิตนัย เพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลายที่ได้แสดงมา ตั้งแต่กุสลาเป็นต้นเหล่านี้ เมื่อจะแจกออกไปแต่บทใดบทหนึ่ง ก็ไม่มีที่จะจบลงไปได้ ที่ได้แสดงมาทั้งนี้แต่โดยสังขิตนัย พอควรแก่ความเข้าใจ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะทรงตรัสเทศนาเป็นอุเทสวารแต่โดยย่อ ๆ ฉะนี้ ก็กำหนดได้ถึงสี่หมื่นสองพันพระธรรมขันธ์ เพราะฉะนั้นจึงสมกับพระบาลีว่า อัปปะมาณารัมมะณา ธัมมา ฉะนี้ฯ
ฐิตา:
๓๗. ปะริตตารัมมะณา ธัมมา
ในบทที่ ๓๗ นั้น พระบาลีว่า ปะริตตารัมมะณา ธัมมา แปลว่า ธรรมทั้งหลายมีอารมณ์น้อย โดยความอธิบายว่า ธรรมทั้งหลายกระทำความยินดีให้น้อยลง หรือกระทำความยินดีให้หมดไป ไม่มีอารมณ์คือว่าอารมณ์ฟุ้งซ่านดังนี้
พระสกาวาทีฯ จึงถามขึ้นว่า ธรรมทั้งหลายอย่างไรที่ว่ากระทำให้อารมณ์น้อยลง ไม่กระทำให้อารมณ์ฟุ้งซ่านไป ขอท่านจงได้แสดงเพื่อให้เกิดความเลื่อมใสต่อไป ณ กาลบัดนี้
พระปรวาทีฯ จึงวิสัชนาว่า มรณธรรรมนี้แลเป็นธรรมที่ยังอารมณ์ให้น้อยลง แลไม่กระทำอารมณ์ให้ฟุ้งซ่านไป อารมณ์จะฟุ้งซ่านไปก็เพราะเหตุที่ได้เห็นรูป ฟังเสียง เป็นต้น เพราะฉะนั้นอารมณ์จึงฟุ้งซ่านไป เมื่อบุคคลผู้ใดมีธรรมเป็นอารมณ์อยู่ในสันดานแล้ว บุคคลผู้นั้นก็มีความยินดีน้อย จัดได้ชื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแลมีอารมณ์อันน้อยลง เป็นผู้ไม่ประมาทมัวเมาไปในอารมณ์ต่าง ๆ ฉะนี้ ดังมีในพระอัปปมาทธรรมที่พระองค์ทรงตรัสถามภิกขุบริษัทว่า ท่านทั้งหลายคิดถึงมรณธรรมวันละเท่าใด ภิกขุองค์หนึ่งจึงทูลว่า ข้าพระองค์คิดถึงความตายในเวลาเมื่อไปบิณฑบาตว่า เรายังไม่ทันจะกลับจากบิณฑบาต ก็จะตายเสียในระหว่างที่เดินไปบิณฑบาตฉะนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะก็ทรงตรัสติเตียนว่า ยังมีความประมาทอยู่ ฉะนี้
ภิกขุองค์หนึ่งจึงทูลว่า ข้าพระองค์คิดถึงมรณธรรมในเวลาเมื่อจะฉันจังหันว่า เรายังไม่ทันจะกลืนอาหารลงไปในลำคอ ก็จะตายเสียในระหว่างกลางที่จะกลืนคำอาหารลงไปดังนี้ สมเด็จพระพุทธองค์ก็ทรงตรัสติเตียนว่า ยังมีความประมาทมากอยู่ ฉะนี้ ภิกขุองค์หนึ่งจึงทูลว่า ข้าพระองค์คิดถึงมรณธรรมตามลมอัสสาสะปัสสาวะว่า เราหายใจออกไปแล้วไม่หายใจกลับเข้ามาก็จะตายเสียในระหว่างลมอัสสาวะปัสสาวะนั้น ดังนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะก็ทรงตรัสสรรเสริญว่า ดูก่อนภิกขุผู้เห็นภัยในชาติ ถ้าท่านปรารถนาจะยังความยินดีให้น้อยลง ก็จงมนสิการกำหนดถึงมรณธรรมตามลมอัสสาสะปัสสานะนี้เถิด ก็จะบังเกิดความสังเวช สลดใจได้ศรัทธาความเชื่อมั่นในพระคุณรัตนะทั้ง ๓ ประการ อันเป็นเครื่องป้องกันสรรพภัยทั้งปวง อันจะเกิดมีมาถึงแก่ท่านทั้งหลาย ทั้งภายในแลภายนอก
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายผู้เห็นภัยในชาติ เมื่อพระโยคาวจรเจ้าทั้งหลายองค์ใดมาระลึกถึงมรณธรรมอยู่เป็นนิตย์อย่างนี้แล้ว พระโยคาวจรเจ้าองค์นั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท และกระทำอารมณ์ให้น้อยลง ดังนี้ เพราะฉะนั้นจึงสมกับพระบาลีว่า ปะริตตารัมมะณา ธัมมา ฉะนี้
ดอกโศก:
อนุโมทนาค่ะ
:13:
ฐิตา:
๓๘. มะหัคคะตารัมมะณา ธัมมา
ในบทที่ ๓๘ นั้น โดยพระบาลีว่า มะหัคคะตารัมมะณา ธัมมา แปลว่า ธรรมทั้งหลายมีอารมณ์มาก ยังอารมณ์ให้ฟุ้งซ่านมากดังนี้ โดยความอธิบายว่า ความยินดีในรูปก็มีมาก ความยินดีในเสียงก็มีมาก ความยินดีในกลิ่นก็มีมาก ความยินดีในรสก็มีมาก ความยินดีในสัมผัสก็มีมาก ความยินดีในธรรมก็มีมาก เมื่อบุคคลผู้ใดมีความยินดีมากในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เหล่านี้แล้ว บุคคลนั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้มีอารมณ์มากฉะนี้
พระสกวาทีฯ จึงถามขึ้นว่า บุคคลมีความยินดีมากในกามคุณทั้ง ๕ จะมีโทษอย่างไร จะได้แก่บุคคลผู้ใด?
พระปรวาทีฯ จึงวิสัชนาว่า บุคคลมากไปด้วยกามคุณทั้ง ๕ นั้น ย่อมมีโทษเมื่อภายหลัง ดังมีบุคคลเป็นนิทัศนอุทาหรณ์ว่า พระบรมโพธิสัตว์ของเราได้เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสักกมันธาตุราช ในกาลครั้งนั้นมีความปรารถนาจะเรียนวิชาให้สำเร็จ ด้วยหวังพระทัยว่าจะหานางแก้ว ครั้นได้นางแก้วตามความประสงค์แล้ว ก็ปรารถนาเป้นพระบรมจักรพรรดิราชสืบต่อไป ครั้นได้เป็นพระบรมจักรพรรดิราชดังความประสงค์แล้ว ก็ปรารถนาเป็นใหญ่กว่ามนุษย์ในทวีปทั้งสี่สืบต่อไป ครั้นได้เป็นใหญ่กว่ามนุษย์ในทวีปทั้งสี่สมความประสงค์แล้ว ก็ปรารถนาเป็นใหญ่กว่าเทวดาต่อไป ครั้นได้เป็นใหญ่กว่าเทวดาสำเร็จดังความประสงค์แล้ว ก็ปรารถนาเป็นใหญ่กว่าพระอินทร์ต่อไป แต่ไม่สมความประสงค์ กลับตกลงมาจากสวรรค์ดังนี้ เพราะฉะนั้นจึงสมกับพระบาลีว่า มะหัคคะตารัมมะณา ธัมมา
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version