วิถีธรรม > แนวทางปฏิบัติธรรม
พระอภิธรรมสังคิณีมาติกาบรรยาย : หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
ฐิตา:
๔๙. อุปปันนา ธัมมา
เบื้องหน้าแต่นี้จะได้วิสัชนาในติกมาติกาบทที่ ๔๙ สืบต่อไป โดยนัยพระบาลีว่า อุปปันนา ธัมมา แปลว่า ธรรมทั้งหลายบังเกิดขึ้นแล้ว โดยความอธิบายว่า ธรรมทั้งหลายที่เป็นสมมติกิจหรือวิมุตติกิจ ถ้าบังเกิดขึ้นแล้วก็เรียกว่าชื่ออุปันนา ธัมมา ทั้งสิ้น
พระสกวาทีฯ จึงถามขึ้นว่า อย่างไรจึงเรียกว่าสมมติธรรม อย่างไรจึงเรียกว่าวิมุตติ?
พระปรวาทีฯ จึงวิสัชนาว่า ธรรมเหล่าใดที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ธรรมเหล่านั้นชื่อว่าเป็นธรรมสมมติทั้งสิ้น ธรรมเหล่าใดที่เป็นพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ธรรมเหล่านั้นชื่อว่าเป็นวิมุตติทั้งสิ้น หรืออีกนัยหนึ่ง โลกเรียกว่า สมมติ พระนิพพานเรียกว่าวิมุตติ ฉะนี้
พระสกาวาทีฯ จึงถามขึ้นว่า สมมตินั้นบังเกิดขึ้นแก่ใคร วิมุตตินั้นบังเกิดขึ้นแก่ใคร?
พระปรวาทีฯ จึงวิสัชนาว่า สมมตินั้นก็เกิดขึ้นแก่นันทมาณพที่ไปกระทำสมัครสังวาสกับนางอุบลวรรณาเถรี จนธรณีสูบเอาไปดังนี้ จึงชื่อว่าสมมติบังเกิดขึ้นแล้ว วิมุตตินั้นก็บังเกิดขึ้นแก่พระยสกุลบุตรเมื่อเวลาไปดูอาการฟ้อนรำแล้วเกิดความเบื่อหน่าย ฉะนั้น แสดงมาทั้งนี้โดยย่อ ๆ พอให้สมกับพระบาลีว่า อุปปันนา ธัมมา ฉะนี้ฯ
ฐิตา:
๕๐. อะนุปปันนา ธัมมา
ในบทที่ ๕๐ นั้นมีพระบาลีว่า อะนุปปันนา ธัมมา แปลว่า ธรรมทั้งหลายไม่บังเกิดขึ้นแล้ว โดยความอธิบายว่า บุคคลที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรม แล้วธรรมที่จะนำความสุขมาให้นั้น ก็ไม่บังเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้นั้น ครั้นดับขันธ์ลงก็คงไปบังเกิดในนรก เช่นอย่างนายจุนทสุกรเป็นต้น ฉะนั้นอีกนัยหนึ่งโดยพุทธประสงค์ว่า อนันตริยกรรม ๕ และ นิวรณธรรม ๕ อย่างนี้ ถ้ามีอยู่ในบุคคลผู้ใดแล้ว มรรคผลธรรมวิเศษสิ่งใด ก็ไม่บังเกิดแก่บุคคลผู้นั้น จัดเป็นสัคคาวรณ์ มรรคาวรณ์ไปดังนี้ เพราะฉะนั้นจึงสมกับพระบาลีว่า อะนุปปันนา ธัมมา ดังนี้
ฐิตา:
๕๑. อุปปาทิโน ธัมมา
ในบทที่ ๕๑ นั้น โดยนัยพระบาลีว่า อุปปาทิโน ธัมมา แปลว่าธรรมทั้งหลายอันบังเกิดขึ้นแล้ว โดยความอธิบายว่า อุปปาทินธรรม นี้ เป็นธรรมของพระอริยเจ้า เมื่อบังเกิดในบุคคลผู้ใด ก็ยังบุคคลผู้นั้นให้เป็นพระอริยเจ้า ธรรมของพระอริยเจ้านั้นก็คือ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ธรรมทั้ง ๙ เหล่านี้ ถ้าบังเกิดขึ้นแล้วก็เป็นของแท้ของจริง และเป็นของไม่เสื่อมสิ้นไป อีกนัยหนึ่งท่านประสงค์ว่าพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้วนั้น ก็เรียกชื่อว่า อุปปาทิโน ธัมมา สุดแต่เป็นธรรมบังเกิดขึ้นแล้ว ก็จัดได้ชื่อว่า อุปปาทินธรรมทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจึงสมกับพระบาลีว่า อุปปาทิโน ธัมมา ฉะนี้ แก้ไขมาในติกมาติกาบทที่ ๕๑ โดยสังขิตกถาเพียงเท่านี้ฯ
ฐิตา:
๕๒. อะตีตา ธัมมา
ในลำดับนี้จะได้วิสัชนาในติกมาติกาบทที่ ๕๒ สืบต่อไป โดยนัยพระบาลีว่า อะตีตา ธัมมา แปลว่า ธรรมทั้งหลายที่ล่วงไปแล้ว ที่จัดเป็นกุสลา กุศลก็ดี หรือร่างกายที่จัดเป็นธาตุทั้ง ๔ หรือจัดเป็นอายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ ที่เกิดขึ้นแล้ว และดับสูญไปนั้นก็ดี เรียกชื่อว่า อะตีตา ธัมมา ทั้งสิ้น
ฐิตา:
๕๓. อะนาคะตา ธัมมา
ในบทที่ ๕๓ นั้น พระบาลีว่า อะนาคะตา ธัมมา แปลว่า ธรรมทั้งหลายที่ยังมาไม่ถึง โดยความอธิบายว่า บุญก็ดี บาปก็ดี ที่บุคคลได้กระทำโดยกายวาจาใจแล้วแลยังไม่เห็นผลนั้น ก็ชื่อว่าอนาคตธรรม หรืออีกนัยหนึ่งว่า สัตว์ที่บังเกิดแล้วและยังไม่ถึงแก่ความตายนั้น ก็เรียกชื่อว่าอนาคตธรรม หรืออีกประการหนึ่ง บุคคลที่สร้างบารมียังไม่เต็มที่และมรรคผลธรรมวิเศษก็ยังไม่เกิดมีนั้น ก็เรียกชื่อว่าอนาคตธรรมเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงสมกับพระบาลีว่า อะนาคะตา ธัมมา ฉะนี้ฯ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version