ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องย่อในพระธรรมบท (ปาปวรรค)  (อ่าน 4132 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: เรื่องย่อในพระธรรมบท (ปาปวรรค)
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: สิงหาคม 24, 2011, 05:26:59 pm »

เรื่องชน 3 กลุ่ม

เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภชน 3 คน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ เป็นต้น

เรื่อง มีอยู่ว่า มีภิกษุ 3 กลุ่มมีประสบการณ์ไปพบเห็นที่แตกต่างกัน คือ ภิกษุกลุ่มที่หนึ่ง จะเดินทางมาเข้าเฝ้าพระศาสดา ในระหว่างทางได้ไปแวะพักอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ขณะที่พวกชาวบ้านกำลังตระเตรียมปรุงอาหารบิณฑบาตถวายพระสงฆ์อยู่นั้น มีบ้านหลังหนึ่งเกิดไฟไหม้ และมีเสวียนไฟ(ลักษณะเป็นวงกลม) ปลิวขึ้นสู่ท้องฟ้า และมีอีกาตัวหนึ่งบินสอดคอเข้าไปในวงเสวียนไฟตกลงมาตายที่กลางหมู่บ้าน ภิกษุทั้งหลายเห็นอีกาบินสอดคอเข้าไปในเสวียนตกลงมาตายเช่นนั้น ก็กล่าวว่า จะมีก็แต่พระศาสดาเท่านั้นที่จะทรงทราบกรรมชั่วที่ส่งผลให้อีกาตัวนี้ ต้องมาประสบชะตากรรมเสียชีวิตอย่างสยดสยองครั้งนี้

ภิกษุกลุ่มที่สอง โดยสารเรือจะไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อเรือลำนั้นเดินทางมาถึงกลางมหาสมุทร เกิดการหยุดนิ่งอยู่กับที่ พวกผู้โดยสารมากับเรือต่างปรึกษาหารือกันถึงสาเหตุที่ทำให้เรือหยุด เห็นว่าในเรือน่าจะมีคนกาลกิณี จึงได้ทำสลากแจกให้แต่ละคนจับเพื่อค้นหาคนกาลกิณีคนนั้น ปรากฏว่าสลากคนกาลกิณีนั้น ภรรยาของนายเรือจับได้ถึงสามครั้ง นายเรือจึงกล่าวขึ้นว่า คนทั้งหลายจะมาตายเพราะหญิงกาลกัญณีคนนี้ไม่ได้ จึงจับภรรยาของนายเรือ ใช้กระสอบทรายมัดที่คอแล้วผลักตัวลงไปในน้ำทะเล เมื่อหญิงภรรยาของนายเรือถูกจับถ่วงน้ำไปแล้ว เรือก็สามารถเคลื่อนตัวได้อย่างปาฏิหาริย์ เมื่อภิกษุเหล่านั้นเดินทางถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ก็ขึ้นฝั่งจะเดินทางต่อไปเฝ้าพระศาสดา พระกลุ่มนี้ตั้งใจว่าจะทูลถามว่า หญิงผู้นี้ทำกรรมชั่วอะไรไว้ จึงเป็นผู้โชคร้ายถูกถ่วงน้ำจนเสียชีวิต

ภิกษุ กลุ่มที่สามก็จะเดินทางมาเฝ้าพระศาสดาเหมือนกัน แต่ในระหว่างทางได้เข้าไปสอบถามที่พระภิกษุวัดแห่งหนึ่งว่าพอจะมีที่พักค้าง แรมสักคืนในบริเวณใกล้เคียงหรือไม่ เมื่อได้รับแจ้งว่ามีถ้ำแห่งหนึ่งพอจะพักค้างแรมได้ จึงได้เดินทางไปพัก ณ ที่นั้น แต่พอถึงช่วงกลางดึกก็มีหินใหญ่ก้อนหนึ่งกลิ้งมาปิดที่ปากถ้ำ ในตอนเช้าพวกภิกษุจากวัดที่อยู่ใกล้ๆเดินทางมาที่ถ้ำ เมื่อเห็นหินใหญ่กลิ้งมาปิดอยู่ที่ปากถ้ำเช่นนั้น ก็ได้ไปตระเวนขอแรงชาวบ้านจากเจ็ดหมู่บ้านให้มาช่วยกันผลักหินก้อนนั้น แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยเหตุนี้พระภิกษุ 7 รูปจึงถูกขังอยู่ในถ้ำโดยไม่ได้ฉันอาหารเป็นเวลา 7 วัน พอถึงวันที่ 7 หินใหญ่ที่ปิดปากถ้ำก็เคลื่อนตัวออกมาเองราวปาฏิหาริย์ ภิกษุกลุ่มนี้ก็ตั้งใจว่า เมื่อเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาแล้วก็จะทูลถามว่าเป็นวิบากกรรมชั่วอะไรที่ทำให้ พวกท่านต้องถูกขังอยู่ในถ้ำนานถึง 7 วันเช่นนี้

ภิกษุทั้งสามกลุ่ม ได้เดินทางมาพบกันระหว่างทาง จึงเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาพร้อมกัน ภิกษุแต่ละกลุ่มก็ได้กราบทูลถึงสิ่งที่กลุ่มตนได้ประสบพบเห็นมา และพระศาสดาได้ตรัสตอบคำถามของพระภิกษุทั้งสามกลุ่มดังนี้

พระศาสดา ตรัสตอบคำถามของพระภิกษุกลุ่มแรกว่า “ ภิกษุทั้งหลาย กานั้นได้เสวยกรรมที่ตนทำแล้วนั่นแหละโดยแท้ เรื่องมีอยู่ว่า ชาวนาผู้หนึ่งในกรุงพาราณสี ฝึกโคของตนอยู่ แต่ไม่อาจฝึกได้ ด้วยว่าโคของเขาเดินไปได้หน่อยเดียวก็นอน แม้เขาจะตีให้ลุกขึ้น ให้เดินไปได้หน่อยเดียวก็ล้มตัวลงนอนเหมือนอย่างเดิม ชาวนานั้น แม้พยายามแล้วก็ไม่สามารถฝึกโคได้สำเร็จ จึงมีความโกรธ กล่าวกับมันว่า อยากนอนนัก ก็นอนอยู่ที่นี่ ไม่ต้องไปไหนอีก ว่าแล้วก็เอาฟ่อนฟางมามัดที่คอโคแล้วจุดไฟเผา โคถูกไฟคลอกตาย ภิกษุทั้งหลาย กรรมอันเป็นบาปนั้น ชาวนานั้นกระทำแล้วในครั้งนั้น ทำให้เขาหมกไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เพราะวิบากของกรรมอันเป็นบาปนั้น เกิดแล้วในกำเนิดกา 7 ครั้ง ถูกไฟไหม้ตายในอากาศอย่างนี้แหละ ด้วยเศษวิบากกรรม"

พระศาสดาตรัสตอบปัญหาของพระภิกษุกลุ่มที่ สองว่า “ภิกษุทั้งหลาย ครั้งหนึ่งมีหญิงผู้หนึ่ง เลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง นางพาสุนัขตัวนี้ไปไหนมาไหนด้วย จนพวกเด็กๆเห็นพากันล้อเลียน นางทั้งโกรธและรู้สึกอับอายมากจึงได้วางแผนฆ่าสุนัขนั้น นางได้เอาหม้อมาใส่ทรายจนเต็มแล้วผูกหม้อทรายนั้นที่คอของสุนัขแล้วถ่วง สุนัขนั้นลงในน้ำ จนสุนัขนั้นจมน้ำตาย จากผลของกรรมชั่วครั้งนั้น นางตกนรกอยู่เป็นเวลานาน ในร้อยชาติสุดท้าย นางถูกมัดถ่วงด้วยกระสอบทรายที่คอก่อนจะถูกผลักลงน้ำจนเสียชีวิต

พระ ศาสดาตรัสตอบปัญหาของพระภิกษุกลุ่มที่สามว่า “ภิกษุทั้งหลาย ครั้งหนึ่งเด็กเลี้ยงโค 7 คนเห็นเหี้ยตัวหนึ่งเดินเข้าไปในช่องจอมปลวก จึงช่วยกันปิดทางออกทั้ง 7 ช่องของจอมปลวกด้วยกิ่งไม้และก้อนดินเหนียว หลังจากปิดช่องทางไม่ให้เหี้ยออก พวกเด็กก็ต้อนโคไปเลี้ยง ณ ที่อื่น หลังจากนั้นอีกเจ็ดวัน เมื่อต้อนโคกลับมาที่เดิมจึงนึกขึ้นมาได้ และได้ไปช่วยกันเปิดช่องจอมปลวกให้เหี้ยนั้นออกมา ก็เพราะวิบากกรรมครั้งนั้น ทำให้ทั้ง 7 คนถูกขังอยู่ในถ้ำนานถึง 7 วันโดยไม่ได้รับประทานอาหารแบบนี้ ในช่วง 14 ชาติสุดท้าย

ภิกษุทั้ง หลายกราบทูลถามพระศาสดาว่า “ผู้ซึ่งเหาะไปในอากาศก็ดี แล่นไปสู่มหาสมุทรก็ดี เข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขาก็ดี จะไม่ทำให้สามารถรอดพ้นจากกรรมได้ ใช่หรือไม่ พระเจ้าข้า” พระศาสดาตรัสว่า “อย่างนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย ไม่ว่าจะไปอยู่ในอากาศ หรือไปอยู่ที่ใดก็ตาม ไม่มีที่ไหนๆที่บุคคลไปอยู่แล้ว จะรอดพ้นจากกรรมชั่วได้

น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ
น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวิสฺส
น วิชฺชเต โส ชคติปฺปเทโส
ยตฺรฏฺฐิโต มุจเจยฺย ปาปกมฺมา.

(อ่านว่า)
นะ อันตะลิกเข นะ สมุดทะมัดเช
นะ ปับพะตานัง วิวะรัง ปะวิดสะ
นะ วิดชะเต โส ชะคะติบปะเทโส
ยัดตะรัดถิโต มุดเจยยะ ปาปะกัมมา.

(แปลว่า)
คนที่ทำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศ
ก็ไม่พึงพ้นจากความชั่วได้
หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร
ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
หนีเข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขา
ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
เพราะเขาอยู่แล้วในประเทศแห่งแผ่นดินใด
พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
ประเทศแห่งแผ่นดินนั้น หามีอยู่ไม่.


เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ภิกษุเหล่านั้น บรรลุอริยผลทั้งหลาย
มีโสดาปัตติผลเป็นต้น พระธรรมเทศนามีประโยชน์แม้แก่มหาชนผู้มาประชุมกัน.

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: เรื่องย่อในพระธรรมบท (ปาปวรรค)
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: สิงหาคม 24, 2011, 05:55:31 pm »



เรื่องสุปปพุทธศากยะ

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในนิโครธาราม ทรงปรารภเจ้าศากยะทรงนามว่าสุปปพุทธะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ เป็นต้น

พระเจ้าสุปปพุทธะเป็นพระราชบิดาของเจ้าชายเทวทัต และเป็นสัสสุระ(พ่อตา)ของเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งต่อมาก็คือพระโคดมพุทธเจ้านั่นเอง ท้าวเธอผูกอาฆาตในพระศาสดาด้วยเหตุ 2 ประการ คือ 1. พระสมณโคดมนี้ทิ้งลูกสาวของเรา(คือพระนางยโสธรา) ออกบวช และ 2. ให้ลูกชายของเรา(คือเจ้าชายเทวทัต) บวชแล้วตั้งตัวเป็นศัตรูกับลูกชายของเรา อยู่มาวันหนึ่ง ทรงดำริว่า จะไม่ให้พระสมณโคดมไปฉันยังสถานที่นิมนต์ จึงไปนั่งเสวยน้ำจัณฑ์(สุรา)ปิดหนทางที่จะเสด็จไป เมื่อพระศาสดาเสด็จมาพร้อมหมู่ภิกษุสงฆ์ พระเจ้าสุปปพุทธปฏิเสธที่จะหลีกทางให้ และได้รับสั่งกับมหาดเล็กให้ไปบอกพระสมณโคดมว่า พระสมณโคดมไม่ใหญ่กว่าเรา เราจักไม่ให้ทางแก่พระสมณโคดม พระศาสดาเมื่อทรงพบว่าหนทางเสด็จถูกปิดกั้นไว้เช่นนั้น พระองค์พร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์ก็ได้เสด็จกลับ พระเจ้าสุปปพุทธะได้ส่งสายลับ(จารบุรุษ)ติดตามพระศาสดาไปเพื่อสืบทราบว่าได้ ตรัสว่าอย่างไรบ้างแล้วกลับมารายงานให้ทรงทราบ

ขณะที่พระศาสดา เสด็จกลับนั้น ได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า “เจ้าสุปปะพุทธะนั้นไม่ให้ทางแก่พระพุทธเจ้าเช่นเรา ทำกรรมหนักแล้ว ในวันที่ 7 แต่วันนี้ ท้าวเธอถูกแผ่นดินสูบ ณ ที่ใกล้เชิงบันได ในภายใต้ปราสาท

เมื่อจารบุรุษสายลับผู้นั้นนำความมากราบทูลให้ทราบ พระเจ้าสุปปพุทธะตรัสว่า พระองค์จะไม่เสด็จไปที่ตรงเชิงบันได เมื่อไม่ไปตรงนั้นพระองค์ก็จะไม่ถูกธรณีสูบที่ตรงจุดนั้น และก็จะพิสูจน์ว่าดำรัสของพระสมณโคดมผิดพลาด ท้าวเธอได้รับสั่งให้พวกมหาดเล็กขนเครื่องใช้สอยของพระองค์ทั้งหมดไปไว้บน ปราสาท 7 ชั้น ให้ชักบันได ปิดประตู วางคนแข็งแรงประจำไว้ที่ประตู ๆ ละ 2 คน ตรัสว่า หากพระองค์หลงลืมเสด็จดำเนินไปทางนั้น ก็ให้คอยดึงพระองค์เอาไว้

พระ ศาสดาทรงสดับการดำเนินการของพระเจ้าสุปปพุทธะแล้ว ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เจ้าสุปปพุทธะ ไม่ว่าจะนั่งอยู่ในปราสาท จะเหาะขึ้นไปสู่เวหาหาวไปนั่งในอากาศ จะไปมหาสมุทรด้วยเรือ จะเข้าไปอยู่ในซอกเขา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผิดพลาดไม่จริงเป็นอันไม่มี ท้าวเธอจะถูกธรณีสูบในสถานที่เราพูดไว้นั่นแหละ

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ
น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวิสฺส
น วิชฺชเต โส ชคติปฺปเทโส
ยตฺรฏฺฐิตํ นปฺปสเหยฺย มจฺจุ.

(อ่านว่า)
นะ อันตะลิกเข นะ สมุดทะมัดเช
นะ ปับพะตานัง วิวะรัง ปะวิดสะ
นะ วิดชะเต โส ชะคะติบปะเทโส
ยัดตะรัดถิตัง นับปะสะเหยยะ มัดจุ.

(แปลว่า)
ไม่ว่าผู้นั้นจะนั่งอยู่ในกลางหาว
ไม่ว่าจะเข้าไปสู่ท่ามกลางสมุทร
ไม่ว่าจะเข้าไปสู่ซอกเขา
ส่วนของแผ่นดิน
ที่ความตายไม่พึงครอบงำผู้สถิตอยู่
ย่อมไม่มี


เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ครั้น ถึงวันที่ 7 ในเวลาเดียวกับที่เจ้าสุปปพุทธะปิดหนทางภิกษาจารของพระศาสดา ม้ามงคลของเจ้าสุปปพุทธะในภายใต้ปราสาทเกิดคึกคะนองโดยไม่ทราบสาเหตุ ส่งเสียงร้องและใช้เท้าดีดฝาโรงม้าเสียงดังโครมคราม เจ้าสุปปพุทธะสดับเสียงคึกคะนองของม้ามงคลนั้นแล้ว มีพระประสงค์จะไปจับม้านั้น ได้เสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับ บ่ายพระพักตร์มาทางประตู ฉับพลันนั้นเองประตูทั้งหลายก็เปิดเอง บันไดที่ถูกยกขึ้นไว้ก็กลับมาพาดอยู่ในที่เดิม คนแข็งแรงที่จัดไว้ดูแลที่ประตู จับท้าวเธอที่พระศอ แล้วผลักจนพระพักตร์ขะมำลงไปเบื้องล่าง เมื่อท้าวเธอก้าวไปประทับยืนอยู่ที่เชิงบันได ตรงที่ภายใต้ปราสาท แผ่นดินตรงนั้นก็แยกตัวสูบท้าวเธอไปบังเกิดในอเวจีนรก.


นำมาแบ่งปันโดย :
baby@home :http://agaligohome.com/index.php?topic=4631.0
Pics by : Google
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต * อกาลิโกโฮม
สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 28, 2012, 11:31:56 pm โดย ฐิตา »