หลวงปู่บอกว่าผ่านทุกข์ให้ได้
อยู่มาวันหนึ่ง หลวงปู่บัวพูดว่า ทูล เคยนั่งสมาธิ ผ่านทุกข์ หรือเปล่า ตอบท่านไปว่า ขอโอกาส กระผมไม่เคยผ่านเลย ท่านพูดว่า ในคืนนี้ผ่านทุกข์ให้ได้นะ อย่าให้แพ้ผู้หญิงเขา จึงถามหลวงปู่ต่อไปว่า ผู้หญิงที่เขาผ่านทุกข์ได้เป็นใครหลวงปู่ ท่านบอกว่า แม่สายบัวไงล่ะ เขามีความอดทนเป็นอย่างมากทีเดียว ในวันนั้น ข้าพเจ้าได้ไปถามแม่สายบัวดูว่าอุบายผ่านทุกข์ทำอย่างไร แม่สายบัวอธิบายให้ฟังว่า นี่ครูบา การจะผ่านทุกข์ไปได้นั้น เป็นสิ่งที่ยากมาก ต้องเป็นผู้มีขันติ
อดทนจริง ๆ จึงจะผ่านได้ หลวงปู่บอกให้ดิฉันผ่านทุกข์ครั้งแรกเกือบจะเอาตัวไม่รอด แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยน้ำตา คิดว่าชีวิตคงจะสิ้นสุดกันเพียงเท่านี้ ฉันเองเคยคลอดลูกมาแล้ว ๖ คน ความทุกข์ทรมานในการเจ็บปวดนั้น ทุกข์มากทีเดียว ถึงขนาดนั้นน้ำตาก็ไม่เคยออก แต่เมื่อมานั่งภาวนาเพื่อผ่านทุกข์ในคืนแรก ความทุกข์นั้นร้ายแรงกว่าการคลอดลูกจนน้ำตาไหล แต่เมื่อผ่านได้ครั้งหนึ่งแล้ว เกิดมีกำลังใจเชื่อมั่นในตัวเอง ครั้งต่อไปก็ผ่านทุกข์ได้ง่ายขึ้น เมื่อได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็คิดขึ้นได้ว่า เขาเป็นผู้หญิงแท้ ๆ ทำไมจึงมีความกล้าหาญถึงขนาดนั้น นี่เราเป็นผู้ชายเต็มตัว ทำไมถึงจะยอมแพ้ต่อผู้หญิงเขา เราเป็นพระกรรมฐานองค์หนึ่ง ทำไมจะผ่านทุกข์ไม่ได้ ในบ่ายวันนั้น ก็รีบเดินจงกรมแต่หัวค่ำ เมื่อได้เวลาแล้วก็ขึ้นมากุฏิ เตรียมสถานที่ภาวนาให้เรียบร้อย หลังจากไหว้พระเสร็จแล้วก็ได้ตั้งสัจจะอธิษฐานว่า ในคืนนี้ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิในอิริยาบถเดียว จนถึงสว่างของวันใหม่ จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ชีวิตจะสิ้นสุดในคืนนี้ ก็พร้อมที่จะเสียสละ จากนั้นก็เริ่มทำสมาธิต่อไป แต่ก็เข้าใจในตัวเองดีว่า คืนวันนี้ใจมีความสงบยากมาก เป็นในลักษณะที่
แข็งกระด้างไม่ยอมสงบเลย จะเป็นเพราะมีความตั้งใจไว้สูงมาก หรือกิเลสมารเข้ามาต่อต้านในการทำสมาธิในครั้งนี้ก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม จะนั่งสมาธิผ่านทุกข์ในคืนนี้ให้ได้ เมื่อทำสมาธิไปประมาณ ๓ ทุ่ม ความเจ็บปวดตามขาทั้งสองก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงชั่วโมงที่ ๔ ความเจ็บปวดก็รุนแรงขึ้นอย่างเต็มที่ แต่ก็ต้องกัดฟันอดทนต่อสู้กันต่อไป
ในช่วงที่เกิดความทุกข์อยู่นั้น มากำหนดรู้ทุกข์ที่เกิดขึ้นโดยอาการเพ่งดู เมื่อเพ่งดูเท่าไร เหมือนกับว่าเพิ่มความทุกข์มากขึ้นเท่านั้น แทบจะทนนั่งต่อไปไม่ได้เลย แต่ก็นึกถึงคำสั่งของหลวงปู่บัวขึ้นมาว่า นี่เราได้รับโอวาทจากหลวงปู่บัวมาแล้ว ท่านว่าให้เราผ่านทุกข์ให้ได้ ตัวเองก็รับคำท่านมาแล้วมิใช่หรือ ถ้าตัวเองยอมแพ้ในครั้งนี้แล้ว ครั้งต่อไปก็จะแพ้กันไปตลอด ความชนะจะมีมาจากที่ไหน เมื่อหลวงปู่ถามว่าผ่านทุกข์ได้ไหม ตัวเองจะเอาความพ่ายแพ้ไปตอบท่าน แล้วท่านจะคิดว่าอย่างไรกับเรา และเราจะเข้าหน้าท่านติดหรือไม่ ท่านคงจะคิดในใจว่า พระกรรมฐานขี้โง่ ไม่มีความอดทน ไม่มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ เป็นพระกรรมฐานที่ไม่มีความ
จริงจังในตัวเอง จะขาดความเชื่อถือจากท่านเป็นอย่างมากทีเดียว ขณะนี้ หลวงปู่ได้ตั้งความหวังไว้กับเราว่า ทูล รีบเร่งภาวนาปฏิบัติให้ผ่านทุกข์ไปให้ได้ เมื่อผ่านไปได้ครั้งหนึ่งแล้ว ต่อไปก็จะผ่านทุกข์ได้อย่างง่ายทีเดียว และจะได้เป็นกำลังแก่พระพุทธศาสนา จะได้เป็นที่พึ่งให้แก่หมู่คณะต่อไป นี่ทูล หลวงปู่ตั้งความหวังไว้กับตัวเองอย่างนี้ ตัวเราจะทำให้หลวงปู่ผิดหวังได้หรือ ท่านคงมองการณ์ไกลไว้แล้วว่า เราจะเป็นผู้หนักแน่นในการปฏิบัติธรรม เราก็อย่าทำตัวเป็นผู้เหลวไหลไร้ความสามารถเลย หลวงปู่เอง ก่อนท่านจะได้มาเป็นผู้นำของหมู่คณะได้ ท่านก็ต้องได้ผ่านการปฏิบัติมาแล้วอย่างโชกโชน มีความอดทนหนักแน่นเข้มแข็งในการปฏิบัติมาแล้ว ผลที่ได้รับก็คือ เป็นผู้รู้จริงเห็นจริงในสัจธรรม ท่านจึงได้นำเอาอุบายการปฏิบัติของท่านมาสอนเรา เราเองต้องเอาตัวอย่างของท่านมาปฏิบัติ ให้มีความเข็มแข็งเหมือนท่านซิ ถ้าตัวเองยอมแพ้ในครั้งนี้ ถึงจะอยู่ที่ใด ก็จะรู้ตัวเองอยู่เสมอว่า นี่คือหน้าพระกรรมฐานขี้แพ้ จะไม่เกิดความละอายแต่กิเลสบ้างหรือไง เมื่อตัวเองได้ตั้งสัจจะอธิษฐานอย่างนี้แล้วยอมแพ้ จะทำให้ตัวเองไม่เกิดความเชื่อถือใน
ตัวเองเลย มีแต่จะกลายเป็นผู้ล้มเหลวเลวทราม ไม่มีความมั่นใจในตัวเองตลอดไป จะเป็นผู้มีนิสัยขี้ขลาด หลอกลวง พึ่งตัวเองไม่ได้จนตลอดวันตาย เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วจะถอนกลับไม่ได้แล้ว เป็นอย่างไรก็เป็นกัน ขาจะปวดก็ให้มันปวดไป จะขาดออกเป็นท่อน ๆ ก็ให้มันขาดไป ใจเราก็จะเป็นเพียงรับรู้ให้เท่านั้น เมื่อใช้ปัญญาอบรมใจให้เกิดความเข้มแข็งกล้าหาญได้แล้ว ความปวดนั้น ก็ค่อย ๆ ลดลง ๆ ความเหน็บชาในขาก็ปรากฏขึ้นแทน แล้วนั่งอยู่ในความเหน็บชานี้ต่อไปนานประมาณ ๔ ทุ่ม จากนั้น อาการอย่างอื่นก็ปรากฏขึ้นมาแทน
นั่นคือ ปรากฏความร้อนขึ้นมาที่ขา ความร้อนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งนั่งนานเท่าไร ความร้อนก็ยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ครั้งนี้ ได้เผชิญศึกหนักอีกรูปแบบหนึ่ง ถึงความปวดตามขาไม่มีก็ตาม แต่ความร้อนในขาทั้งสองเหมือนกับถูกไฟเผาอยู่ตลอดเวลา ขาทั้งสองข้างเหมือนอยู่ในกองไฟไหม้เกรียมไปหมด เมื่อความร้อนถึงที่สุดเต็มที่แล้ว เกิดความคิดขึ้นว่า ตัวเองจะอดทนนั่งต่อไปอีกได้ไหมหนอ แต่เมื่อคิดย้อนหลังไปถึงความปวดขาที่ผ่านมา ตัวเองก็ได้ผ่านมาแล้ว เมื่อมีความร้อนอย่างนี้เกิดขึ้นมาอีก เราก็ต้องอดทนต่อสู้ให้เต็มที่ สัจจะอธิษฐานที่เราตั้งไว้แล้วนั้น จะต้องเป็นสัจจะของลูกผู้ชาย เป็นสัจจะของพระกรรมฐานอย่างเต็มตัว ตั้งลงไปอย่างไรต้อง
หนักแน่นในที่นั้น จะไม่หลอกลวงตัวเองแต่อย่างใด ถึงจะมีความร้อนลุกเป็นไฟเผาร่างกายให้ย่อยยับไปก็ตาม เราก็จะไม่ลุกออกจากที่นี่เป็นเด็ดขาด ชีวิตจะหมดไปเพราะความร้อนนี้ก็ยอม ในช่วงนี้ ต้องใช้อุบายปัญญาสอนใจอยู่เสมอว่า ความร้อนที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นแผนการของกิเลสแน่นอน เพราะกิเลสใช้กลอุบายต่อต้านเราเต็มที่ เมื่อกี้นี้มันใช้ความทุกข์ ความเจ็บปวด มาเป็นอุบายขัดขวาง แต่ก็สู้สติปัญญาเราไม่ได้ บัดนี้ กลับมาใช้อุบายวิธีความร้อน เพื่อให้เราได้ถอนออกจากการปฏิบัติอีก นี่เรารู้กลอุบายของตัวกิเลสแล้วว่า เป็นตัวขัดขวางไม่ให้เราหลุดออกไปจากวัฏสงสาร มีแต่จะผลักดันให้เราลอยตามกระแสโลก ดังที่เคยเป็นมา กิเลสก็จะพาเราไปในทางที่ต่ำต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด แต่ก่อนมาใจขาดปัญญาความฉลาดรอบรู้ จึงได้ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาตลอดมา แต่บัดนี้ใจเรามีสติปัญญาเป็นที่อบรมสั่งสอน ใจจึงได้รู้เห็นตามความเป็นจริง ทุกสิ่งที่กิเลสตัณหาจะนำมาเป็นอุบายหลอกใจอีกไม่ได้แล้ว ถึงจะเอาความร้อนมาบังคับให้เราเสียสัจจะนี้ เราก็จะไม่หลงกลของกิเลสตัณหาอีกต่อไป เพราะใจได้ฝึกฝนอบรมจากสติปัญญามาแล้วเป็นอย่างดี มีความรอบรู้ในเหตุผลกลลวงของกิเลสตัณหาที่จะพาให้เราเกิดตายในวัฏสงสารไม่มีที่สิ้นสุด พระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้า
ทั้งหลายที่หลุดพ้นไปแล้วนั้น ล้วนแล้วแต่มีความกล้าหาญอดทน นี่เราผู้กำลังเดินตามรอยของท่านก็ต้องเป็นผู้กล้าหาญเช่นกัน ขณะนั้น เวลาประมาณ ๖ ทุ่ม ความร้อนที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงก็ค่อย ๆ อ่อนลง ๆ ในที่สุด ความร้อนทั้งหมดก็หายไป สภาพความรู้สึกก็กลับคืนสู่ปกติ คิดว่าจะไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก แต่ก็ไม่ประมาทในตัวเอง จึงใช้สติปัญญาอบรมใจไว้ตลอดเวลา
จากนั้น เหตุการณ์อีกรูปแบบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา นั่นคือ ความรู้สึกหนาวเย็น ความหนาวเย็นนี้ มีลักษณะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับร่างกายเป็นก้อนน้ำแข็งไปทั้งตัว ความทุกข์ทรมานในความหนาวเย็นนี้ แทบจะเอาตัวไปไม่รอดเช่นกัน แต่ก็อดทนต่อสู้ในความหนาวเย็นนั้นอย่าง
กล้าหาญ โดยใช้อุบายปัญญาปลอบใจตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า นี่ทูล ในช่วงที่ผ่านมาก็เกิดความเจ็บปวดตามขาจนแทบว่าขาจะหลุดออกไป แต่เราก็ใช้ความอดทนจนผ่านพ้นมาได้ เมื่อเกิดความร้อนขึ้นมาเหมือนกับนั่งอยู่ในกองไฟ เราก็ใช้สติปัญญาพิจารณาพร้อมทั้งความอดทน จนสามารถผ่านพ้นจากความร้อนอันนั้นมาได้อีก แต่ขณะนี้ เกิดความหนาวเย็นขึ้นมา ทำไมเราจะผ่านไม่ได้ ในขณะที่นั่งอยู่นั้น ความหนาวเย็นได้เกิดขึ้นเต็มที่ ถึงกับนั่งสั่นไปทั้งตัว จึงต้องใช้อุบายปัญญาปลอบใจตัวเองอีกว่า นี่ทูล ตัวเองได้ตกนรกมาแล้ว ความปวดก็เป็นนรกขุมหนึ่ง ความร้อนก็เป็นนรกขุมหนึ่ง ขณะนี้ กำลังตกอยู่ในนรกขุมหนาวเย็น ในขณะที่มีชีวิตอยู่ ยังได้เสวยทุกขเวทนาถึงเพียงนี้ หากตัวเองได้ไปตกขุมนรกจริง ก็จะต้องมีความทุกข์กว่านี้หลายร้อยเท่า จะไม่กลัวต่อความทุกข์ที่มีอยู่ข้างหน้าหรือ นรกที่จะมีอีกในข้างหน้านั้นเย็นมากกว่านี้นัก
เมื่อตัวเองยังมีความพอใจหลงใหลในกามคุณอยู่ ผลที่ได้รับคือ ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ก็จะมีผลให้ตัวเองได้รับอยู่ตลอดไป ไฉนจึงไม่กลัวในความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นบ้าง เพราะความทุกข์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เป็นผลที่เกิดขึ้นจากกามคุณทั้งนั้น โดยหารู้ไม่ว่า กามคุณเปรียบเหมือนน้ำตาลเคลือบยาพิษ เมื่อน้ำตาลละลายไป ยาพิษก็ออกฤทธิ์ขึ้นมา ทำให้มีการเจ็บปวดร้อนหนาว ดังที่ได้รับในปัจจุบันนี้ นี่คือวิบากกรรมของชาติภพที่ตัวเองได้รับ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจาก อัตตา ที่ยึดถือว่าเป็นตัวตน เมื่อตนมีอยู่ที่ไหน ความทุกข์ก็ต้องมีอยู่ที่นั่น แต่ก็ต้องอดทนต่อไป ไหน ๆ ก็เกิดขึ้นมาแล้ว แต่ให้ตั้งใจไว้ว่า ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากชาติภพนี้เป็นชาติสุดท้ายก็แล้วกัน ฉะนั้น ตัวเองต้องใช้อุบายปัญญาอบรมสั่งสอนใจตัวเองให้เกิดความกลัว ให้เกิดความเบื่อหน่ายในชาติภพและสรรพทุกข์ทั้งหลาย อย่าให้กิเลสตัณหาชักจูงให้เกิดความ
หลงใหลในกามคุณอีกต่อไป ในขณะที่เกิดความหนาวเย็นอยู่นั้น ต้องใช้อุบายปัญญาสอนใจอยู่ตลอด ประมาณตี ๓ ความหนาวเย็นก็อ่อนลง ๆ และอ่อนลงไปเรื่อย ๆ จนความหนาวเย็นนั้นหมดไปเป็นปกติ ในช่วงนี้ เราได้ผ่านชัยชนะมาแล้ว ๓ ขั้นตอน รู้สึกว่าใจมีกำลังกล้าหาญเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมา เราก็พร้อมที่จะต่อสู้กันจนถึงที่สุด แม้กระทั่งชีวิตจะดับสูญไป ก็พร้อมที่จะเสียสละ นี่เป็นอุบายธรรมที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น
ในขณะนั้น จิตต้องการพักผ่อนในสมาธิ จึงใช้อุบายวิธีกำหนดจิตด้วยคำบริกรรมว่า พุทโธ ร่วมกันกับ อานาปานสติ คือ กำหนดลมหายใจเข้าออก จิตก็ค่อย ๆ สงบลง แล้วก็พักคำบริกรรมพุทโธเอาไว้ กำหนดเอาเพียง ผู้รู้ เอาไว้อย่างเดียว เมื่อลมหายใจหมดไป ก็มีแต่ผู้รู้เพียงอย่างเดียว ไม่มีความสุขไม่มีความทุกข์แต่อย่างใด เป็นเพียงความรู้อยู่ว่าง ๆ เป็นเอกเทศเฉพาะผู้รู้เท่านั้น จิตมีความทรงอยู่อย่างนี้ นานถึงรุ่งสว่างของวันใหม่ ขณะที่จิตกำลังจะถอนออกจากสมาธิมานั้น ปรากฏเห็นหลวงปู่ขาวมากั้นร่มขนาดใหญ่อยู่ด้านขวามือ หลวงปู่ขาวพูดว่า ลูกหล้า ตั้งใจให้เข้มแข็งนะ อย่าท้อถอย ต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญในความเพียรเต็มที่ ใช้สติปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริงอยู่เสมอ ไม่มีใครช่วยเรานะ เราคนเดียวเท่านั้นจะช่วยตัวเองได้ ต่อไปก็จะเป็นที่พึ่งแก่ตัวเองอย่างมั่นคงถาวร จากนั้น จิตก็ถอนออกจากสมาธิ ซึ่งเป็นเวลาสว่างพอดี เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว ความเวิ้งว้างภายในใจ ความเอิบอิ่มภายในใจ ความสงบภายในใจ ยังมีความตั้งมั่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะออกบิณฑบาต ฉันอาหาร ตลอดจนทำกิจวัตรต่าง ๆ ช่วยกันกับหมู่คณะ ใจก็มีความตั้งมั่นอยู่เสมอ ตกเย็นในวันนั้น ไปสรงน้ำให้หลวงปู่ตามปกติ เสร็จแล้วก็ขึ้นไปรับฟังโอวาทจากท่าน ท่านก็เตือนสติสั้น ๆ ว่า ทุกองค์ ตั้งใจภาวนานะ อย่าเห็นแก่หลับแก่นอน กินมาก นอนมาก พูดมาก เล่นมาก ไม่ดีทั้งนั้น จากนั้น ก็พากันกราบลาหลวงปู่ ข้าพเจ้ายังทำธุระอยู่ที่นั่น เมื่อพระเณรลงไปหมดแล้ว หลวงปู่บัวพูดว่า ทูล ผ่านทุกข์ได้หรือยัง ตอบท่านไปว่า ขอโอกาส ผ่านเมื่อคืนที่แล้วครับ หลวงปู่ก็ได้สอบถามอาการที่ข้าพเจ้าประสบจากการภาวนาผ่านทุกข์ในครั้งนั้น ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้เล่าถวายดังที่อธิบายผ่านมาแล้ว เมื่อหลวงปู่ได้รับฟังแล้วก็พูดขึ้นว่า จากนี้ไปให้ผ่านให้ตลอดนะ ผู้ที่ผ่านทุกข์ได้ต้องเป็นผู้มีความกล้าหาญ มีความเข้มแข็งไม่กลัวตาย ให้มีความขยันหมั่นเพียรให้มากขึ้น อย่าให้จิตเป็นหมันดื้อด้านเป็นเหล็กก้นเตา ให้ใช้อุบายปัญญาสอนใจอยู่บ่อย ๆ ใจก็จะค่อยรู้เห็นตามความเป็นจริงได้
ในวันต่อมา ท่านอาจารย์สิงห์ทองได้พูดขึ้นว่า ใครจะไปฟังเทศน์หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล วันพรุ่งนี้ ฉันเสร็จแล้วออกเดินทางโดยไม่ต้องขึ้นรถ เมื่อได้ยินคำว่าจะไปฟังเทศน์ของหลวงปู่ขาวเท่านั้น รู้สึกว่า ใจมีความเบิกบานและเอิบอิ่มเป็นอย่างมาก เพราะคิดอยู่ในใจมาหลายวันว่า อยากไปฟังเทศน์หลวงปู่ขาวอยู่แล้ว ในวันต่อมา เมื่อฉันเสร็จแล้ว ก็พากันออกเดินทาง จากวัดป่าหนองแซง ถึงวัดถ้ำกองเพล ระยะทางประมาณ ๑๕ กิโลเมตร เมื่อไปถึงวัด ท่านอาจารย์สิงห์ทองก็พาหมู่คณะไปคารวะหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ขาวก็ให้ความเมตตาอธิบายธรรมให้ฟัง มีข้อสำคัญที่จำได้ดังนี้ นักปฏิบัติถ้าเอาความตายไว้หลัง การปฏิบัติจะไม่มีอุปสรรคแต่อย่างใด การภาวนามีแต่ความเจริญก้าวหน้าไปด้วยดี ถ้าเอาความตายไว้ข้างหน้า การภาวนาจะหดตัวอยู่ที่เดิม เพราะมีความกลัวตายเป็นเครื่องขัดขวาง จึงไม่กล้าทุ่มเทความพากเพียรลงไปอย่างเต็มที่ จะนั่งสมาธิมีการปวดแข้งปวดขานิดหน่อยก็กลัวตาย เดินจงกรมไม่กี่ชั่วโมงก็กลัวตาย อดนอนผ่อนอาหารมีอาการผ่อนเพลียนิดหน่อยก็กลัวตาย ถ้าเป็นอย่างนี้ จะเกิดความรู้จริงเห็นจริงในธรรมได้อย่างไร ฉะนั้น ทุกท่านอย่าพากันกลัวตายนะ ถ้าทำความเพียรแล้วตาย ก็ให้มันตายไปจะกลัวทำไม นักปฏิบัติถ้ายังมีความกลัวตายอยู่ ใช้ไม่ได้เลย มันต้องมีใจเข้มแข็ง
กล้าหาญ ตั้งลงไปเลยว่า ถ้ากูไม่ตาย ให้กิเลสตาย ถ้ากิเลสไม่ตาย กูยอมตาย นั่นคือ นักปฏิบัติที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญจริงจัง ถ้าตั้งใจปฏิบัติอยู่อย่างนี้บ่อย ๆ ก็จะรู้เห็นธรรมอย่างแน่นอน ฉะนั้น เราทั้งหลายอย่าเป็นผู้หลอกลวงตัวเอง ต้องทำตัวเป็นคนจริงเอาไว้ สักวันหนึ่ง ก็จะพบความจริงในสัจธรรมแน่นอน เมื่อหลวงปู่เทศน์จบแล้ว ก็พากันกราบหลวงปู่กลับวัดป่า
หนองแซงตามเดิม ในพรรษานี้ พระอาจารย์สิงห์ทองพาหมู่คณะไปฟังเทศน์ของหลวงปู่ขาวสองครั้ง ไปแต่ละครั้ง ได้อุบายธรรมจากหลวงปู่ขาวมากทีเดียว เมื่อออกพรรษารับกฐินเรียบร้อยแล้ว ก็ได้กราบหลวงปู่บัว ออกภาวนาปฏิบัติในที่ต่าง ๆ ต่อไป
http://watpabankor.com/webboard/index.php?topic=174.0