ผู้เขียน หัวข้อ: อัตโนประวัติ หลวงพ่อทูล ขิปฺปญฺโญ  (อ่าน 4110 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ เลดี้เบื๊อก

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • *
  • กระทู้: 165
  • พลังกัลยาณมิตร 119
    • ดูรายละเอียด
Re: อัตโนประวัติ หลวงพ่อทูล ขิปฺปญฺโญ
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: กันยายน 08, 2011, 02:46:29 pm »
เสือโคร่งใหญ่ให้กำลังใจ

   เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้ไปทำกระต๊อบเป็นซุ้มใบไม้อยู่ข้างนอกถ้ำ  ที่นั่นเป็นลานหินที่เรียบราบ  มีทรายอ่อน ๆ เหมาะสำหรับการเดินจงกรมมากทีเดียว  เมื่ออยู่ภาวนาที่นี่ได้ประมาณ ๑๐ วัน  ในวันหนึ่ง เวลาประมาณ ๕ โมงเย็น  มีนายพรานป่า ๓ คน หาบสัมภาระลงมาจากเขาใหญ่  เข้ามาหาแล้วพูดออกมาอย่างรีบร้อนลุกลี้ลุกลนเหมือนคนหนีภัยว่า  ครูบา ๆ รีบเก็บของเร็วเข้า  ก่อนที่มันจะมืดค่ำ  จึงถามเขาว่ามีเรื่องอะไรที่จะให้อาตมาเก็บของ  นายพรานพูดว่า วันนี้เสือโคร่งใหญ่ตัวเก่ามาที่นี่อีกแล้ว  เสือตัวนี้เคยกินคนแถบภูฟ้าภูหลวงมาแล้วหลายคน  ถ้าเห็นคน มันจะกินทั้งหมดไม่ไว้หน้าเลย  เสือตัวนี้เคยมาที่นี่ปีละครั้ง  ได้พบเห็นรอยใหม่ ๆ ในวันนี้เอง  ถ้ามันมาในถิ่นนี้ ก็จะมาร้องเล่นที่กองทรายที่ครูบาอยู่นี่ทุกปี  หมู่ผมจึงจะมารับเอาครูบาหนีจากที่นี่ไปก่อน เมื่อมันหนีไปจึงกลับคืนมาใหม่อีกก็ได้  ภายใน ๕ วันนี้ มันก็จะหนีจากถิ่นนี้ไป  ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจพูดกับนายพรานป่าไปว่า อาตมาไม่หนี  มันจะมาที่นี่ก็ให้มา  มันจะกินก็ยอมให้มันกิน  เมื่อได้ทำกรรมต่อกันเอาไว้ ก็ให้มันกินเป็นอาหารเสีย ให้สิ้นเวรสิ้นกรรมต่อกันไป  นายพรานก็ไม่ยอมฟังเสียงที่เราพูดแต่อย่างใด  พากันเข้ามาเก็บเอาบาตร เก็บเอากลดจะพาหนีไปให้ได้  เขาพูดว่า ถึงยังไง ก็ต้องให้ชีวิตปลอดภัยไว้ก่อนเถอะครูบา  ข้าพเจ้าก็ทำท่าดุว่า อาตมาไม่ใช่พระกรรมฐานผู้กลัวตาย  ถ้ากลัวตายจะมาอยู่ในที่นี่ทำไม  เสือโคร่งจะกินอาตมาในคืนนี้ก็ให้มันกิน
ไปซิ  เอาเถอะนะ ถ้ากรรมเวรไม่เคยกระทำต่อกันมา  เสือก็ไม่ทำอะไรให้แก่อาตมาแต่อย่างใด  เมื่อนายพรานอ้อนวอนข้าพเจ้าไม่สำเร็จก็พากันกลับไป
   พอตกค่ำตะวันลับแสง ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางใจ  เริ่มจะกลัวเสือขึ้นมา  บรรยากาศในป่าใหญ่ก็ดูเหมือนผิดปกติทั้งหมด  แสงเดือนที่เคยมีแสงสว่างเจิดจ้าเหมือนกับว่าเป็นแสงมืดสลัวไป  สัตว์ป่านานาชนิดที่เคยร้องประสานเสียงกัน  แต่ในวันนั้น สงบเงียบเหมือนไม่มีสัตว์ในถิ่นนั้นเลย  เมื่อตกค่ำเข้าจริง ๆ สิ่งที่ทำให้เราเพลิดเพลินเจริญใจ ก็ทำให้เราเกิดความวิตกกังวล  มองไปเห็นก้อนหินและพุ่มไม้ก็เข้าใจว่าเป็นเสือไปทั้งหมด  หูได้ยินเสียงใบไม้กิ่งไม้หักหล่น ก็นึกว่าเสือเข้ามาหาตัวเอง  เพราะนายพรานเขาบอกว่า เวลาประมาณไม่เกิน ๓ ทุ่ม เสือตัวนี้จะมาวิ่งเล่นร้องคำรามอยู่ในที่แห่งนี้  นี่เวลาก็ประมาณ ๒ ทุ่มแล้ว  ความกลัวและความกล้ารู้สึกว่ามีเท่า ๆ กัน  สัญญาเก่าอีกอย่างหนึ่งในสมัยเป็นเด็ก  ผู้เฒ่าเล่าให้ฟังว่า เมื่อเวลาเสือโคร่งใหญ่จะออกไปหากินในทางทิศไหน ก็จะมีลมพัดผ่านไปล่วงหน้า  เพื่อเป็นสัญญาเตือนสัตว์ทั้งหลายให้รู้ตัวเอาไว้  สัตว์ที่ยังไม่ถึงแก่ความตายก็จะได้กลิ่นเสือ แล้วหาที่หลบซ่อนตัวในที่ต่าง ๆ ให้ปลอดภัย  สัตว์ตัวไหนจะเป็นอาหารเสือ สัตว์ตัวนั้นก็จะไม่ได้กลิ่นเสือเลย  นี่เป็นอาถรรพ์ลางบอกเหตุให้แก่สัตว์ทั้งหลาย  ในขณะที่ข้าพเจ้าเดินจงกรมอยู่  ก็ปรากฏว่า มีลมพัดผ่านเบา ๆ เรี่ยราดมาตามใบหญ้า  ก็เกิดสัญญาความจำ คำพูดของผู้เฒ่าเข้ามาฝังใจว่า  เสือใหญ่ตัวนี้กำลังเดินเข้ามายังสถานที่เราอยู่นี้แล้ว  เมื่อเสือเห็นเรา ก็จะกระโจนกัดกินเป็นอาหารทันที  ถ้าคิดว่าจะหนีไปจากที่นี่ ก็คิดละอายตัวเองว่า  ทำไมพระกรรมฐานจึงขี้ขลาดกลัวตายไม่ละอายหมู่เทวดาบ้างหรือไง  เราเป็นพระผู้อุทิศตัวไว้แล้วในพระพุทธศาสนา  ชีวิตจะเป็นอย่างไร กรรมเป็นผู้ตัดสินให้เอง  เมื่อเรามาถึงจุดนี้แล้ว จะถดถอยตัวออกไปไม่ได้เลย  จะเป็นตายร้ายดีอย่าไร ก็ขอมอบกายถวายชีวิตนี้เพื่อบูชาคุณพระพุทธเจ้า บูชาคุณพระธรรม และบูชาคุณพระอริยสงฆ์  จึงได้อธิษฐานว่า ถ้าหากเราเคยได้ทำกรรมเวรกับเสือตัวนี้มาแล้ว ก็ให้เสือกินเราเป็นอาหารไปเสีย  และให้หมดกรรมหมดเวรต่อกันไป  ถ้าไม่เคยทำกรรมต่อกันเอาไว้ ก็ขออย่าให้เสือตัวนี้ทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เลย  ดังคำว่า ธมฺโมหเว รกฺขติ ธมฺมจาริ  ธรรมย่อมตามรักษาผู้ประพฤติธรรม  ปฏิบัติธรรมกรรมยังไม่ถึงที่สุดย่อมผ่านพ้นไปได้  เมื่อมีปัญญาคิดได้อย่างนี้แล้ว  จึงเกิดกำลังใจขึ้นมาและมีความกล้าหาญภายในใจอย่างเข้มแข็ง  พร้อมที่จะเผชิญเสือโคร่งตัวนี้ได้อย่างมั่นใจ
   อย่างไรก็ตาม เราจะนั่งสมาธิภาวนาอยู่ที่นี่ก่อนเสือจะมาถึง  ที่นี่มีช่องทางเดียวที่เสือตัวนี้ขึ้นลงไปมาเป็นประจำ  ถ้าเราจะนั่งหันหน้าไปที่ช่องทางที่เสือจะมา ก็คิดว่าจะอดลืมตาดูไม่ได้  ถ้าจะนั่งหันข้างออก ก็จะอดชำเลืองตาไปดูไม่ได้เช่นกัน  จึงตัดสินใจนั่งหันหลังให้กับช่องทางที่เสือจะขึ้นมาเสีย  เมื่อมันขึ้นมาเห็นเรา จะได้กระโดดคาบคอเอาไปกินเป็นอาหารทันที
   ในขณะนั่งสมาธิอยู่นั้น ได้ตั้งใจไว้ว่า  การนั่งสมาธิครั้งนี้ อาจจะได้นั่งเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตก็เป็นได้  เมื่ออธิษฐานจิตเรียบร้อยแล้วก็ตั้งใจนึกคำบริกรรมต่อไป  เมื่อจิตมีความสงบพอ
สมควร  ก็หยุดคำบริกรรมเอาไว้  แล้วกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเอาไว้ไม่ให้เผลอ  เมื่อกำหนดดูลมหายใจในความรู้สึกว่า มีความละเอียดเต็มที่  สติกับผู้รู้มีความสัมพันธ์กันอย่างสนิทละเอียด จนถึงขั้นมีความละเอียดเต็มที่  จากนั้น จิตก็ลงสู่ความสงบอย่างเต็มภูมิ  เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิ เวลาก็ประมาณตี ๒  คิดว่าเสือโคร่งใหญ่คงไม่มาที่นี่แล้ว  จากนั้น ก็ไปภาวนาอยู่ในกลด  ใช้ปัญญาพิจารณาในสัจธรรมให้ต่อเนื่องกัน  เมื่อสว่างแล้ว เพื่อความมั่นใจ จึงได้เดินไปดูในช่องทางที่เสือเคยขึ้นมา  พุทโธ่เอ๋ย รอยเสือโคร่งใหญ่ตัวนั้น ห่างจากตัวเราเพียง ๓ เมตรเท่านั้น  คิดว่าเสือตัวนี้คงยืนดูตัวเราในขณะที่เราทำสมาธิอยู่นั่นเอง  จากนั้น ก็เกิดความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมากว่า  ชีวิตนี้เราจะไม่ตายเนื่องจากเสือกินแน่นอน  และเชื่อมั่นอย่างสนิทใจว่า พระธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมอย่างฝังใจ  จากนั้น ก็ออกบิณฑบาตตามปกติ  ขณะที่ออกเดินบิณฑบาต ก็ไปพบกับนายพรานกลุ่มเดิมเดินมาอย่างรีบร้อน  มีอาวุธครบมือ  เมื่อเห็นหน้าข้าพเจ้า เขาพูดว่า แหม กระผมนอนไม่หลับทั้งคืน  คิดเป็นห่วงครูบามาก  คิดว่าเสือโคร่งคาบเอาครูบาไปกินแล้ว  หมู่ผมจึงพากันตามขึ้นมาดู
   นายพรานพูดว่า เมื่อคืนนี้ เสือโคร่งใหญ่ตัวนั้น  ได้เข้าไปเอาควายในหมู่บ้านมากินอยู่ที่ดานอีสุกนี้เอง  ที่นั่นห่างจากที่ข้าพเจ้าอยู่ประมาณ ๑๕ เส้นเท่านั้น  จึงได้บอกกับนายพรานไปว่า  เมื่อคืนนี้ เห็นรอยเสือเข้ามาหาเช่นกัน  จากนั้น ก็ลงไปบิณฑบาต  ส่วนนายพรานก็กลับบ้านไป  ต่อมา หลังจากออกพรรษาแล้ว  ข้าพเจ้าก็ลาหมู่คณะไปธุดงค์ในที่ต่าง ๆ  ส่วนใหญ่จะไปตาม
บ้านนอกที่ห่างไกลความเจริญ  ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่น  ไม่หวั่นกลัวต่อความตายแต่อย่างใด
   ในคืนหนึ่ง ขณะที่ภาวนาจนจิตมีความสงบได้ที่แล้ว  เกิดนิมิตขึ้นมา ปรากฏเห็นภูเขาสูงต่อหน้า  เป็นหน้าผาสูงชันจนมองสุดสายตา  ความยาวก็ประมาณ ๑ กิโลเมตร  มีฝูงชนเป็นจำนวนมากกำลังปีนป่ายอยู่หน้าผานั้น  แล้วมีเสียงประกาศมาว่า  ใครมีความสามารถปีนป่ายขึ้นไปตามหน้าผานี้ได้  ผู้นั้นจะข้ามกระแสของโลกนี้ไป  คนทั้งหลายเมื่อได้ยินเสียงประกาศนี้ ก็พากันกระโดดปีนป่ายตามหน้าผานั้นเป็นทิวแถว  กระโดดขึ้นทีไรก็ตกลงมาอยู่ที่เดิม  ไม่เห็นใครปีนป่ายขึ้นไปได้สักคนเดียว  ในขณะนั้น ตัวข้าพเจ้ามีความมั่นใจเต็มที่ว่า เรามีความสามารถปีนป่ายขึ้นไปตามหน้าผานี้ได้อย่างแน่นอน  จากนั้น ก็เดินออกไป  เมื่อผ่านฝูงชนเข้าไปถึงหน้าผาแล้ว  ก็ยกมืออธิษฐานว่า ถ้าข้าพเจ้าจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ในชาตินี้แล้ว  ขอให้ข้าพเจ้าปีนป่ายขึ้นไปตาม
หน้าผาให้ถึงที่สุดเถิด  เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้วก็กระโดดขึ้นเต็มกำลัง  พอมือและเท้าแตะหน้าผาเท่านั้น  ปรากฏว่า มือและเท้าเกาะหน้าผาได้อย่างเหนียวแน่น  จากนั้น ก็วิ่งขึ้นไปตามหน้าผานั้นอย่างรวดเร็ว  เมื่อถึงที่สุดของหน้าผาแล้ว ตาก็มองลงมาข้างล่าง  เห็นฝูงชนทั้งหลายร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า ช่วยด้วย ๆ บางคนก็ยกมืออนุโมทนาสาธุการ
   เมื่อขึ้นไปถึงสถานที่นั้นแล้ว พบว่าเป็นลานหินที่เรียบราบ  แล้วมีเสียงประกาศขึ้นมาว่า  ให้ท่านเดินตามทางเล็ก ๆ นี้ขึ้นไป แล้วจะถึงชั้นที่สอง  และเดินต่อไปอีกจะถึงชั้นที่สาม  เดินขึ้นต่อไปอีกจะถึงชั้นที่สี่  เมื่อถึงชั้นที่สี่นี้แล้ว จะไม่ได้ลงมาเกิดในโลกมนุษย์นี้อีก  จากนั้น ข้าพเจ้าเดินตามเส้นทางเล็กนี้ขึ้นไปถึงชั้นที่สอง  แล้วเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงชั้นที่สาม  เมื่อขึ้นไปถึงชั้นที่สามแล้ว พบปราสาทชั้นเดียวสวยงามมากอยู่ติดกับริมทางพอดี  เมื่อไปถึงที่นี้ ก็มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งออกจากปราสาทมาต้อนรับ  ผู้หญิงคนนั้นมีความสวยงามมาก  อายุก็อยู่ในวัยสาวเต็มที่  กิริยา
ท่าทางให้ความเป็นกันเองทั้งหมด  การนอบน้อมกราบไหว้มีความอ่อนช้อยสวยงาม  แล้วพูดออกมาว่า พระคุณเจ้าเดินทางมาเหนื่อย  ขอนิมนต์พระคุณเจ้าเข้าพักผ่อนในปราสาทหลังนี้ก่อน  ฉันน้ำให้มีความสบายใจก่อนเจ้าค่ะ  ขอนิมนต์พระคุณเจ้าได้พักอยู่ที่นี่นาน ๆ  ชั้นที่สี่อยู่ใกล้นิดเดียว  ขึ้นไปเวลาไหนก็ได้  ข้าพเจ้าได้พูดไปว่า  ไม่หรอก อาตมาต้องการจะไปให้ถึงชั้นที่สี่ในขณะนี้เอง  ขอบใจนะ อาตมาจะไม่พักที่นี่  จากนั้น ก็ออกเดินทางต่อไป  ชั้นที่สี่นี้มีความสูงชันอยู่มาก  แต่เส้นทางเดินราบเรียบขึ้นไปเป็นอย่างดี  เมื่อเดินขึ้นไปตามเส้นทางนี้  ถึงจะเป็นภูเขาสูงชัน ก็เดินขึ้นไปอย่างสะดวกสบาย  ไม่มีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแต่อย่างใด  เมื่อขึ้นไปถึงชั้นที่สี่แล้ว สภาพรอบด้านมีการเปลี่ยนไป  มองไปที่ไหนไม่เห็นอะไรเลย  มีแต่ความเวิ้งว้างไปเสียทั้งหมด  จากนั้น จิตก็ได้ถอนออกจากสมาธิมา  เหมือนกับว่าอยู่ในเหตุการณ์จริง  จากนั้น ก็มาใช้ปัญญาพิจารณาในนิมิตที่เกิดขึ้นว่ามีความหมายไปในทางใดและหมายถึงอะไร  ก็ใช้ปัญญาพิจารณาได้ความขึ้นมาอย่างชัดเจน  เพราะเรื่องนิมิตนั้นเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติส่วนตัวทั้งหมด  เป็นนิมิตหมายไปในทาง
ที่ดี จึงทำให้มีกำลังใจภาวนาปฏิบัติอย่างเต็มที่  พรรษานี้ ตั้งใจเอาไว้ว่าจะมาจำพรรษาที่วัดป่าหนองแซง  อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี

ออฟไลน์ เลดี้เบื๊อก

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • *
  • กระทู้: 165
  • พลังกัลยาณมิตร 119
    • ดูรายละเอียด
Re: อัตโนประวัติ หลวงพ่อทูล ขิปฺปญฺโญ
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: กันยายน 08, 2011, 02:50:22 pm »
พรรษาที่ ๓  พ.ศ. ๒๕๐๖

   เมื่อออกจากภาวนาปฏิบัติในสถานที่ต่าง ๆ มาแล้ว  ในช่วงฤดูกาลเข้าพรรษาก็เข้ามาอยู่วัดป่าหนองแซง กับ หลวงปู่บัว สิริปุณโณ  เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖  ปีนั้น มีพระอาจารย์สิงห์ทองเป็นพระเถระผู้ใหญ่จำพรรษาอยู่ด้วย  จะขอเล่าประวัติของหลวงปู่บัวให้ท่านรู้ไว้สักเล็กน้อย  หลวงปู่บัวท่านเป็นพระมหาเถระผู้ใหญ่  เดิมท่านอยู่จังหวัดร้อยเอ็ด  ท่านไม่ได้รับการศึกษาเลย  อ่านหนังสือไม่ได้ เขียนไม่เป็น  ท่านมีนิสัยชอบภาวนาปฏิบัติธรรมมาแต่วัยหนุ่ม  จากนั้น ก็ได้แต่งงานไปตามประเพณีนิยม  แต่ท่านก็ภาวนาปฏิบัติธรรมมิได้ขาด  ส่วนมากท่านหนักไปในวิธีทำสมาธิเป็นหลักแล้วใช้ปัญญาพิจารณาทีหลัง  ดำรงชีพอยู่เป็นฆราวาสจนถึงอายุ ๕๐ ปี  ท่านก็ได้ออกบวชเป็นตาปะขาว  ติดตามครูอาจารย์ไปหลายที่หลายแห่ง  ท่านมีนิสัยที่อ่อนน้อมถ่อมตัว ปรนนิบัติครูบาอาจารย์ด้วยความเคารพ  การขานนาคก็ว่าตามครูอาจารย์ด้วยปากเปล่า  กว่าจะท่องคำขานนาคได้ก็ใช้เวลาถึง ๓ ปี จึงได้บวชเป็นพระ  ท่านมีความตั้งใจในการภาวนาปฏิบัติอย่างจริงจัง  ได้ฟังธรรมจากหลวงปู่มั่นเป็นประจำ  เมื่อฟังธรรมมาแล้ว ก็พิจารณาในธรรมนั้นด้วยเหตุด้วยผล  ผู้ไม่มีความรู้ทางปริยัติมาก่อน  ภารภาวนาปฏิบัติย่อมรู้เห็นในสัจธรรมได้ง่าย  ต่างกันกับผู้เรียนหนังสือที่มีความรู้มากทีเดียว  เพราะปัญญาที่ใช้กับการพิจารณานั้น เป็นปัญญาที่ฝึกฝนออกมาจากใจล้วน ๆ  ไม่มีคำว่าปริยัติเข้ามาเจือปนแต่อย่างใด  ไม่เกิดความสงสัยลังเลในหมวดธรรมต่าง ๆ ว่าพิจารณาไปอย่างนี้ถูกกับธรรมหมวดใด  ไม่ได้เกิดความกังวล  ท่านได้เข้าใจในเรื่องของสัจธรรมดี  มีปัญญาพิจารณาเรื่องของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีความคล่องตัวมาก  จะพิจารณาเรื่องอสุภะ หรือพิจารณาเรื่องความตายและสัจธรรมทั้งหลาย  เป็นปัจจัตตังเฉพาะตัวท่านเอง  นี่เป็นประวัติย่อ ๆ ของหลวงปู่บัว
   กลับมาดูประวัติส่วนตัวบ้าง  นิสัยส่วนตัวแล้ว เป็นผู้ไม่ชอบฟังเทศน์มาก  มีคติส่วนตัวว่าถ้าฟังเทศน์มากไป ความรู้ที่ได้จากการฟังเทศน์ก็จะจดจำมากเกินไป  ตัวเองจะไม่ได้ใช้ปัญญาคิดหาเหตุผลด้วยตนเอง  ถึงท่านจะอธิบายธรรมะไปอย่างยืดยาว  เราก็ตั้งใจฟังด้วยความเคารพ  แต่พยายามจดจำเอาธรรมะของท่านเป็นบางอุบายเท่านั้น  ที่เห็นว่าอุบายธรรมนั้นเข้ากันได้กับนิสัยตัวเอง  แล้วนำเอาอุบายธรรมะนั้นไปใช้ปัญญาพิจารณาด้วยตนเอง  ไม่จำเป็นจะไปเลียนแบบตามประโยคที่ท่านอธิบายไปทั้งหมด  นั้นเป็นสำนวนโวหารปฏิภาณของท่าน  ส่วนโวหารปฏิภาณของเรา เราต้องใช้สติปัญญาความสามารถจากตัวเราเอง  ปัญญาเรามีความฉลาดเฉียบแหลมมากน้อยแค่ไหน ก็จะเป็นปัญญาความสามารถเราทั้งหมด  จึงเป็นปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาโดยตรง  ถ้าไปเลียนแบบจากผู้อื่นมากเกินไป  ก็จะเป็นปัญญาในสัญญาทางปริยัติไปเสียทั้งหมด  ผลของการปฏิบัติก็จะออกมาไม่หนักแน่นพอ  เหมือนกับสิ่งของที่เราสร้างขึ้นมาด้วยกำลังหยาดเหงื่อของเรา  ในความรู้สึกในส่วนลึกของหัวใจแล้ว ย่อมเอาใจใส่รักษาเป็นพิเศษ  ส่วนสิ่งของที่ขอจากคนอื่นมาได้ หรือยืมจากผู้อื่นมา  การเก็บรักษา การดูแลใช้งาน ความเอาใจใส่นั้นน้อยมาก  หรือเหมือนกันกับลูกที่เกิดจากก้อนเลือดของเราโดยตรง กับลูกที่ขอมาจากคนอื่น  ความรัก ความสนิท ความเอาใจใส่ จะมีความต่างกันแน่นอน  นี้ฉันใด ปัญญาที่เราฝึกฝนอบรมจากความโง่จนมีความรู้ฉลาดในเหตุในผล  มีความฉลาดรอบรู้ที่เกิดจากความสามารถของเรา  ความเชื่อมั่นในตัวเองจะมีความภูมิใจสูงมากทีเดียว  เราสามารถแก้ปัญหาในส่วนตัวเราได้  จึงว่าตนแลเป็นที่พึ่งของตนได้อย่างมั่นคง  ถ้าหากความรู้ความคิดที่ไปเลียนแบบจากผู้อื่นมากไป  การใช้ปัญญาพิจารณาในหมวดธรรมต่าง ๆ ก็รู้เพียงเป็นหลักการเท่านั้น  แต่บางปัญหา การศึกษาเรายังเรียนไม่ถึง  เราก็จะงงเป็นไก่ตาแตกอยู่นั่นเอง
   เหมือนกันกับพระโปฐิละ แบกตำราพระไตรปิฎกศึกษามาอย่างโชกโชน  ธรรมหมวดไหนมีความหมายอย่างไรรู้ไปหมด  การแสดงธรรมออกมาในหมวดไหน ก็ทำให้คนอื่นเข้าใจได้  แต่ความรู้ของพระโปฐิละที่เลียนแบบจากผู้อื่นมานั้นแก้ปัญหาให้ตัวเองไม่ได้เลย  เพราะพระโปฐิละไม่มีปัญญาความฉลาดเฉียบแหลมในตัวเอง  ในคำว่าความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด ก็เป็นในลักษณะนี้ หรือเรียกว่าผู้แบกคัมภีร์เปล่า  เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านประวัติของพระโปฐิละนี้แล้ว  จึงเป็นคติเตือนตัวเองได้เป็นอย่างดี  ฉะนั้น การฟังเทศน์เพื่อหาเอาความรู้จากครูอาจารย์นั้น  ถ้าหากปัญญาอยู่ในตัวมีความฉลาดอยู่บ้าง ก็พอจะเลือกเฟ้นเอาธรรมะมาปฏิบัติได้  ถ้ามีปัญญาทรามก็จะเป็นเหมือนกับพระโปฐิละนั่นเอง  การพูดออกมาอย่างนี้มิได้เกิดความประมาทในปริยัติ  มีความเคารพในปริยัติอย่างเหนือเกล้าจริง ๆ  การศึกษาในธรรมะก็ศึกษาเป็นพิเศษ  เมื่อศึกษามาแล้ว ก็ต้องมาเลือกอีกครั้งหนึ่ง  ว่าธรรมหมวดไหนพอจะนำมาแก้ปัญหาของตัวเองได้  ก็เอาธรรมหมวดนั้นมาปฏิบัติให้มาก  เหมือนผู้รู้จักในอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของตัวเอง  ย่อมจะสังเกตในตัวเองได้ว่า ป่วยเป็นโรคอะไร  ควรจะกินยาอะไร  โรคจึงจะหาย  ก็เลือกเอายาอย่างนั้นมากินโดยตรง  เมื่อยาถูกกับโรค โรคก็จะบรรเทาและหายไปในที่สุด  มิใช่ว่าตำรายาทุกอย่างรู้ไปทั้งหมด  แต่เมื่อตัวเองมีการเจ็บป่วยขึ้นมา กลับไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้  นี้ฉันใด ความรู้ที่เรียนมาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงหลักการที่กว้างขวางมาก  แต่ยากที่จะเลือกเฟ้นเอาข้อธรรมหมวด
นั้น ๆ มาแก้กิเลสตัณหาของตัวเองได้เพราะขาดความฉลาดทางปัญญานั่นเอง  จำเป็นก็ต้อง
ลูบคลำในตำราตลอดไป  ในคำโบราณพูดไว้ว่า บอดชอบอวดฉลาด  นี้มีมูลความจริงอยู่มาก
ทีเดียว  ตัวท่านอาจจะได้สัมผัสมาแล้ว
   ข้าพเจ้าเองชอบอุบายธรรมะของหลวงปู่บัวมากทีเดียว  ท่านชอบให้อุบายแก่พระเณร
สั้น ๆ  ต้องการให้พระเณรฝึกปัญญาด้วยตนเอง  ท่านชอบให้เป็นผู้ช่างคิดในเหตุผล  ฝึกตนให้เป็นนักสังเกต  ฝึกการดำริพิจารณาด้วยปัญญาอยู่เสมอ  ในวันหนึ่ง หลังจากที่สรงน้ำท่านเสร็จแล้ว  ขึ้นไปกราบคอยรับฟังอุบายธรรมะจากหลวงปู่  หลวงปู่ให้ข้อธรรมะบทหนึ่งว่า  หมามันมีอารมณ์ชอบเที่ยวตามกาลเวลาก็ไม่ถือว่าเลวมาก  แต่ใจคนเรายิ่งเลวกว่าหมาเพราะไม่มีกาลเวลา  แหม พอได้ฟังอุบายธรรมเพียงเท่านี้ จึงกระตุกถูกเส้นของพระกรรมฐานจริง ๆ  จากนั้นก็กราบลาลงกุฏิไป  ทุกองค์มองหน้ากันแทบไม่ติด  ไม่รู้ว่าธรรมะข้อนี้โดนหัวใจของใครบ้าง  แต่ผู้เขียนนี้โดยเข้าอย่างจังเชียวแหละ  ก็ให้เกิดความสำนึกในตัวเองมากขึ้น  อย่าให้มันเลยเถิดเกินหมาไป  ให้มีความละอายต่อหมาเอาไว้บ้าง  ทุกครั้งเมื่อท่านพูดออกมา ไม่ว่าอยู่ในสถานที่ไหน จะเป็นอุบายธรรมออกมาให้ได้ใช้ปัญญาคิดพิจารณาอยู่เสมอ  อีกครั้งหนึ่ง พระสององค์มีทิฏฐิไม่ตรงกัน  เกิดความขัดแย้งกันเรื่องอะไรไม่ทราบ  เมื่อสรงน้ำท่านเสร็จแล้ว ก็พากันขึ้นไปกราบคอยฟังโอวาทจากหลวงปู่  วันนั้น หลวงปู่พูดว่า เอ.. เมื่อคืนนี้ เห็นหมาสองตัวแยกเขี้ยวใส่กัน  เท่านั้น ท่านก็หยุดไม่พูดอะไรอีก  จากนั้น ก็พากันกราบหลวงปู่แล้วก็ลงจากกุฏิมา  แล้วก็กระซิบกระซาบกันว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือ  เมื่อสอบถามกันไปมาก็รู้ว่ามีพระสององค์ขัดแย้งกันจริง ๆ  พระสององค์นั้นรู้สึกว่ามีความละอายต่อหมู่คณะอยู่มากทีเดียว  องค์อื่นที่ยังไม่มีเรื่องอะไรต่อกัน ก็พยายามรักษาในคำพูดของตัวเองเป็นอย่างดี  จะไม่ให้มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นแก่ตัวเอง
   ในวันลงปาฏิโมกข์ต่อมา  หลังจากสวดปาฏิโมกข์เสร็จแล้ว หลวงปู่บัวก็ได้พูดให้สติแก่พระเณรว่า  ในวัดนี้ต้องการความสงบ  ใครจะมาถกเถียงกันในวัดนี้ไม่ได้  ต่อไปถ้าใครมาขัดแย้งกันในเรื่องใดก็ตาม จะให้ออกจากวัดนี้ทันที  ในช่วงนั้นอยู่ในระหว่างเข้าพรรษาด้วย  แต่ก็โชคดีไม่มีพระองค์ใดฝืนคำเตือนของหลวงปู่  ทุกองค์มีความตั้งใจภาวนาปฏิบัติอย่างเต็มที่  ในคืนหนึ่ง ข้าพเจ้านิมิตเห็นหลวงปู่บัวเข้ามาหาแล้วพูดว่า  ท่านทูล ลงมานี่ จะพาไปเที่ยว  เมื่อข้าพเจ้าลงมาแล้ว ก็เดินตามหลังหลวงปู่ไป  ในขณะนั้น มีลำธารใหญ่ขวางหน้าอยู่  ลำธารนั้นกว้างประมาณ ๘ เมตร  มีฝั่งที่สูงชันมาก  ลึกก็ประมาณ ๘ เมตร  มีน้ำไหลเชี่ยวมาก  มองดูจนสุดสายตา  เห็นคนล่องลอยมาตามกระแสน้ำนั้นเป็นจำนวนมาก  มีทั้งคนเฒ่าคนแก่หญิงชาย  ถูกกระแสน้ำพัดไหลมาเป็นแพ  ดูแล้วทุกคนมีความกลัวตายเป็นอย่างมากทีเดียว  ทุกคนหวังเอาตัวรอดในชีวิตเพื่อไม่ให้ตัวเองตาย  ใครยังมีกำลังดีอยู่ก็กอดเอาผู้มีกำลังน้อยลอยเป็นเรือพาไป  ผู้ที่มีกำลังเท่าเทียมกันก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันไปมา เพื่อตัวเองจะได้อยู่ข้างบน  ไม่ว่าหญิงกอดชาย หรือว่าชายกอดหญิงมั่วกันไปหมด  บางคนก็ร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น  หลาย ๆ คนพากันปีนป่ายเข้าหาฝั่งเพื่อหาทางขึ้น  แต่เกาะฝั่งไว้ไม่อยู่เลยหลุดลอยไป  บางคนก็เป็นศพลอยมาน่าอนาถใจ  มีทั้งผู้ใหญ่และเด็กถูกกระแสน้ำพัดไป ไม่รู้ว่ากระแสน้ำจะสิ้นสุดกันที่ไหน  ต้นทางของน้ำและคนที่ตกลงไปในน้ำนั้น ไม่รู้ว่ามาจากไหน  มองไปจนสุดสายตาก็ไม่เห็นที่มาของน้ำและฝูงชนนี้เลย
   ในลำธารนั้นมีไม้ไผ่ลำเดียว ใหญ่ขนาดแขนพาดเอาไว้  หลวงปู่บัวท่านก็เดินไปตามไม้ไผ่นั้นแล้วข้ามไปได้  จากนั้น หลวงปู่ก็หันหน้ากลับคืนมาแล้วกวักมือเรียกว่า ให้รีบข้ามตามผมมาเดี๋ยวนี้  ก็คิดในใจว่า เมื่อหลวงปู่ข้ามไปได้ ทำไมเราจะข้ามไปไม่ได้  จากนั้น ก็ตั้งใจเดินไปตาม
ลำไผ่นั้น  ลำไผ่นั้นวางเฉย ๆ แทนที่จะกระดกไปมา  ในขณะที่เดินตามลำไผ่นั้น  ไม้ไผ่มีความ
แข็งแรงมาก ไม่มีความอ่อนแต่อย่างใด  การเดินไปมีความทรงตัวดีมาก  ไม่มีการเอนเอียงแต่
อย่างใด  ในที่สุด ก็ข้ามไปได้อย่างปลอดภัย  เมื่อถึงฝั่งนั้นแล้ว หลวงปู่ถามว่าเห็นอะไรในลำธารนั้นไหม  ก็ตอบหลวงปู่ไปว่า เห็นครับ  หลวงปู่พูดต่อไปว่า โลกนี้มันเป็นอยู่อย่างนี้  จากนั้น จิตก็ถอนออกจากสมาธิ  เมื่อจิตได้ถอนออกจากสมาธิมาแล้ว  ได้เรียบเรียงดูเหตุการณ์ของนิมิตที่เกิดขึ้น  แล้วใช้ปัญญาพิจารณาดูในความหมายในภาพนิมิตนั้นให้ชัดเจน  ก็รู้เห็นความเป็นจริงในหมู่มนุษยโลกทั้งหลายว่า  ความจริงนี้มีมาแล้วในอดีตกาลยาวนานไม่มีที่กำหนด  เมื่อทุกคนเกิดขึ้นมาในโลกนี้แล้ว  ผู้จะไม่ตกอยู่ในกระแสโลกอย่างนี้มีน้อยมาก  จะมีเฉพาะพระอริยเจ้าเท่านั้น
   นอกนั้น ถึงจะมีบุญกุศลอย่างไร  ก็เพียงไปพักแรมอยู่ในเทวโลกหรือพรหมโลกชั่วคราวเท่านั้น  เมื่อหมดบุญกุศลแล้วก็ลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีกตามเดิม  ความหลงใหลในราคะตัณหาก็จะพาให้ตกต่ำทำกรรมชั่วได้  ใจที่มีราคะตัณหาครอบงำมากเท่าไร  การตกไปในกระแสโลกก็ยิ่งลึกลงไปเท่านั้น  ไม่รู้ว่าจะโผล่หัวยกตัวขึ้นจากกระแสโลกเมื่อไร  เมื่อตัวเองยังมีความพอใจยินดีว่าโลกนี้เป็นสถานที่น่าอยู่ ก็ให้รู้ตัวเองเสียว่า กำลังผูกมัดตัวเองให้ติดอยู่กับโลกนี้ต่อไป  เราเองเคยลอยตามกระแสของโลกนี้มาแล้วยาวนาน  ความสุขความทุกข์ที่มีอยู่ในโลกนี้ ตัวเองก็เคยได้สัมผัสมาแล้ว  ตัวเองยังจะมีความยินดีผูกพันอยู่กับโลกนี้ต้อไปอีกหรือ  ดูซิ ที่มีฝูงชนลอยตามกระแสน้ำนี้ไปเป็นจำนวนมาก  ไม่รู้ว่าจะมีที่สิ้นสุดกันตรงไหน  ตราบใดที่ยังมีกระแสของกิเลสตัณหาฝังอยู่ในใจ  การลอยไปตามกระแสโลกก็จะหาที่สิ้นสุดไม่ได้เลย  โลกนี้มีดีอะไร  ทำไมเราจึงมาหลงติดอยู่กับโลกนี้  ดูซิว่าความสุขของโลกที่แท้จริงมีอยู่
ที่ไหน  ความเข้าใจว่ากามคุณพาให้เกิดความสุขนั้น  มันเป็นเพียงน้ำตาลอาบยาพิษเอาไว้เท่านั้น  สักวันหนึ่ง เมื่อน้ำตาลละลายตัวไป  ยาพิษก็จะแสดงฤทธิ์ขึ้นมาทันที  ครั้งนี้แหละ น้ำตาจะได้เช็ดหัวเข่า  ดังคำว่า ปิยโต ชายเต โสโก  ความโศกเกิดขึ้นจากความรักมิใช่หรือ  ความทุกข์ย่อมเกิดขึ้นจากความยินดี  ความโศก ความทุกข์ เป็นผลเนื่องจากตัณหามิใช่หรือ  ฉะนั้น ความอยากในตัณหาที่มีอยู่ในกามคุณมันจะสิ้นสุดลงไปได้เมื่อไร  สิ้นสุดไม่ได้เพราะเป็นรากแก้วของวัฏสงสาร  เมื่อตัณหากับกามคุณมีความสัมพันธ์กันอยู่  ตัวเองก็จะได้ลอยตามกระแสของโลกนี้ตลอดไป  ดังคำว่า นตฺถิ ตณฺหา สมา นที  แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี  ทำไมตัวเองจึงไม่เห็นทุกข์เห็นโทษเห็นภัยอันมีอยู่ในโลกนี้เล่า  จะเอาอะไรในโลกนี้มาเป็นสมบัติส่วนตัวที่แน่นอนไม่ได้  ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้เอง จะเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์  จะหาความสุขที่แท้จริงไม่พบจนตลอดวันตาย   
   การเกิดนิมิตขึ้นในครั้งนี้ เป็นอุบายที่ดีในการใช้ปัญญาพิจารณาเป็นอย่างมาก  เมื่อหากท่านได้พบนิมิตเป็นอย่างนี้  ไม่ทราบว่าท่านจะมีปัญญาพิจารณาได้หรือเปล่า  ถ้าปัญญาไม่ถึงจะเกิดนิมิตขึ้นในลักษณะอย่างไร  ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย  จะนำมาเป็นอุบายในการปฏิบัติก็
ไม่ได้  ฉะนั้น จงสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นกับตัวเองให้ได้  เพื่อจะได้เป็นอุบายสอนใจตัวเอง  ใจเราถ้าขาดปัญญาอบรมสั่งสอนในทางที่ดีแล้ว  เหมือนใจที่หมดคุณค่าไปเลย  ขณะนี้ใจเราถูกกิเลสตัณหาชักจูงไปในทางที่ต่ำอยู่ตลอดเวลา  ความคิดความเห็นของใจก็ได้เอนเอียงไปตามกิเลสตัณหาอยู่มาก  จนเป็นนิสัยคุ้นเคยในสิ่งที่ต่ำทรามมาแล้วจนลืมตัว  เราจะปล่อยให้ใจเป็นไปในความเห็นผิดอย่างนี้ตลอดไปหรือ  ทำไมเราจึงไม่สร้างปัญญาขึ้นมาอบรมใจให้รู้ตัวเอาไว้บ้าง  ถ้าปัญญาให้ข้อมูลที่เป็นจริงกับใจอยู่บ่อย ๆ  ใจก็จะค่อยเกิดความฉลาดรอบรู้ตามความเป็นจริงได้  เพราะสรรพสังขารทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้  ย่อมมีมูลความจริงอยู่ในตัวของมันเอง ดังคำว่า สัพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา  สรรพสังขารทั้งหลายย่อมมีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  ถ้ามีสติปัญญาที่ฉลาดเฉียบแหลม ก็มีความสามารถรู้เห็นตามหลักความเป็นจริงได้  ถ้าไม่มีความฉลาดทางปัญญา ถึงครูอาจารย์จะอธิบายธรรมให้ฟัง  ก็ยังเกิดความลังเลสงสัยภายในใจอยู่นั่นเอง  ถึงตัวเราพิจารณาด้วยปัญญาอยู่บ้าง ก็เกิดความไม่แน่ใจในตัวเองว่าผิดหรือถูก  ไม่สามารถตัดสินใจในความรู้เห็นเฉพาะตัวได้เลย  หลวงปู่บัวท่านมีนิสัยไม่พูดมาก แต่ก็ให้อุบายธรรมในวิธีต่าง ๆ  เพื่อให้พระเณรได้ใช้ปัญญาพิจารณาด้วยตัวเอง  ถ้าผู้มีปัญญาที่ฉลาดก็สามารถนำเอาอุบายธรรมของหลวงปู่มาเป็นอุบายสอนตัวเองได้เป็นอย่างดีทีเดียว

ออฟไลน์ เลดี้เบื๊อก

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • *
  • กระทู้: 165
  • พลังกัลยาณมิตร 119
    • ดูรายละเอียด
Re: อัตโนประวัติ หลวงพ่อทูล ขิปฺปญฺโญ
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: กันยายน 08, 2011, 02:56:26 pm »
หลวงปู่บอกว่าผ่านทุกข์ให้ได้

   อยู่มาวันหนึ่ง หลวงปู่บัวพูดว่า ทูล เคยนั่งสมาธิ ผ่านทุกข์ หรือเปล่า  ตอบท่านไปว่า ขอโอกาส  กระผมไม่เคยผ่านเลย  ท่านพูดว่า ในคืนนี้ผ่านทุกข์ให้ได้นะ อย่าให้แพ้ผู้หญิงเขา  จึงถามหลวงปู่ต่อไปว่า ผู้หญิงที่เขาผ่านทุกข์ได้เป็นใครหลวงปู่  ท่านบอกว่า แม่สายบัวไงล่ะ  เขามีความอดทนเป็นอย่างมากทีเดียว  ในวันนั้น ข้าพเจ้าได้ไปถามแม่สายบัวดูว่าอุบายผ่านทุกข์ทำอย่างไร  แม่สายบัวอธิบายให้ฟังว่า  นี่ครูบา การจะผ่านทุกข์ไปได้นั้น เป็นสิ่งที่ยากมาก  ต้องเป็นผู้มีขันติ
อดทนจริง ๆ จึงจะผ่านได้  หลวงปู่บอกให้ดิฉันผ่านทุกข์ครั้งแรกเกือบจะเอาตัวไม่รอด  แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยน้ำตา  คิดว่าชีวิตคงจะสิ้นสุดกันเพียงเท่านี้  ฉันเองเคยคลอดลูกมาแล้ว ๖ คน  ความทุกข์ทรมานในการเจ็บปวดนั้น ทุกข์มากทีเดียว  ถึงขนาดนั้นน้ำตาก็ไม่เคยออก  แต่เมื่อมานั่งภาวนาเพื่อผ่านทุกข์ในคืนแรก  ความทุกข์นั้นร้ายแรงกว่าการคลอดลูกจนน้ำตาไหล  แต่เมื่อผ่านได้ครั้งหนึ่งแล้ว  เกิดมีกำลังใจเชื่อมั่นในตัวเอง  ครั้งต่อไปก็ผ่านทุกข์ได้ง่ายขึ้น  เมื่อได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็คิดขึ้นได้ว่า  เขาเป็นผู้หญิงแท้ ๆ  ทำไมจึงมีความกล้าหาญถึงขนาดนั้น  นี่เราเป็นผู้ชายเต็มตัว ทำไมถึงจะยอมแพ้ต่อผู้หญิงเขา  เราเป็นพระกรรมฐานองค์หนึ่ง  ทำไมจะผ่านทุกข์ไม่ได้  ในบ่ายวันนั้น ก็รีบเดินจงกรมแต่หัวค่ำ  เมื่อได้เวลาแล้วก็ขึ้นมากุฏิ  เตรียมสถานที่ภาวนาให้เรียบร้อย  หลังจากไหว้พระเสร็จแล้วก็ได้ตั้งสัจจะอธิษฐานว่า  ในคืนนี้ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิในอิริยาบถเดียว จนถึงสว่างของวันใหม่  จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร  ชีวิตจะสิ้นสุดในคืนนี้ ก็พร้อมที่จะเสียสละ  จากนั้นก็เริ่มทำสมาธิต่อไป  แต่ก็เข้าใจในตัวเองดีว่า คืนวันนี้ใจมีความสงบยากมาก  เป็นในลักษณะที่
แข็งกระด้างไม่ยอมสงบเลย  จะเป็นเพราะมีความตั้งใจไว้สูงมาก หรือกิเลสมารเข้ามาต่อต้านในการทำสมาธิในครั้งนี้ก็เป็นได้  แต่ถึงอย่างไรก็ตาม จะนั่งสมาธิผ่านทุกข์ในคืนนี้ให้ได้  เมื่อทำสมาธิไปประมาณ ๓ ทุ่ม  ความเจ็บปวดตามขาทั้งสองก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ  จนถึงชั่วโมงที่ ๔ ความเจ็บปวดก็รุนแรงขึ้นอย่างเต็มที่  แต่ก็ต้องกัดฟันอดทนต่อสู้กันต่อไป
   ในช่วงที่เกิดความทุกข์อยู่นั้น  มากำหนดรู้ทุกข์ที่เกิดขึ้นโดยอาการเพ่งดู  เมื่อเพ่งดูเท่าไร เหมือนกับว่าเพิ่มความทุกข์มากขึ้นเท่านั้น  แทบจะทนนั่งต่อไปไม่ได้เลย  แต่ก็นึกถึงคำสั่งของหลวงปู่บัวขึ้นมาว่า  นี่เราได้รับโอวาทจากหลวงปู่บัวมาแล้ว  ท่านว่าให้เราผ่านทุกข์ให้ได้  ตัวเองก็รับคำท่านมาแล้วมิใช่หรือ  ถ้าตัวเองยอมแพ้ในครั้งนี้แล้ว  ครั้งต่อไปก็จะแพ้กันไปตลอด  ความชนะจะมีมาจากที่ไหน  เมื่อหลวงปู่ถามว่าผ่านทุกข์ได้ไหม  ตัวเองจะเอาความพ่ายแพ้ไปตอบท่าน  แล้วท่านจะคิดว่าอย่างไรกับเรา  และเราจะเข้าหน้าท่านติดหรือไม่  ท่านคงจะคิดในใจว่า พระกรรมฐานขี้โง่  ไม่มีความอดทน  ไม่มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ  เป็นพระกรรมฐานที่ไม่มีความ
จริงจังในตัวเอง  จะขาดความเชื่อถือจากท่านเป็นอย่างมากทีเดียว  ขณะนี้ หลวงปู่ได้ตั้งความหวังไว้กับเราว่า  ทูล รีบเร่งภาวนาปฏิบัติให้ผ่านทุกข์ไปให้ได้  เมื่อผ่านไปได้ครั้งหนึ่งแล้ว ต่อไปก็จะผ่านทุกข์ได้อย่างง่ายทีเดียว  และจะได้เป็นกำลังแก่พระพุทธศาสนา  จะได้เป็นที่พึ่งให้แก่หมู่คณะต่อไป  นี่ทูล หลวงปู่ตั้งความหวังไว้กับตัวเองอย่างนี้  ตัวเราจะทำให้หลวงปู่ผิดหวังได้หรือ  ท่านคงมองการณ์ไกลไว้แล้วว่า  เราจะเป็นผู้หนักแน่นในการปฏิบัติธรรม  เราก็อย่าทำตัวเป็นผู้เหลวไหลไร้ความสามารถเลย  หลวงปู่เอง ก่อนท่านจะได้มาเป็นผู้นำของหมู่คณะได้  ท่านก็ต้องได้ผ่านการปฏิบัติมาแล้วอย่างโชกโชน  มีความอดทนหนักแน่นเข้มแข็งในการปฏิบัติมาแล้ว  ผลที่ได้รับก็คือ เป็นผู้รู้จริงเห็นจริงในสัจธรรม  ท่านจึงได้นำเอาอุบายการปฏิบัติของท่านมาสอนเรา  เราเองต้องเอาตัวอย่างของท่านมาปฏิบัติ  ให้มีความเข็มแข็งเหมือนท่านซิ  ถ้าตัวเองยอมแพ้ในครั้งนี้  ถึงจะอยู่ที่ใด ก็จะรู้ตัวเองอยู่เสมอว่า  นี่คือหน้าพระกรรมฐานขี้แพ้  จะไม่เกิดความละอายแต่กิเลสบ้างหรือไง  เมื่อตัวเองได้ตั้งสัจจะอธิษฐานอย่างนี้แล้วยอมแพ้  จะทำให้ตัวเองไม่เกิดความเชื่อถือใน
ตัวเองเลย  มีแต่จะกลายเป็นผู้ล้มเหลวเลวทราม  ไม่มีความมั่นใจในตัวเองตลอดไป  จะเป็นผู้มีนิสัยขี้ขลาด หลอกลวง พึ่งตัวเองไม่ได้จนตลอดวันตาย  เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วจะถอนกลับไม่ได้แล้ว  เป็นอย่างไรก็เป็นกัน  ขาจะปวดก็ให้มันปวดไป  จะขาดออกเป็นท่อน ๆ ก็ให้มันขาดไป  ใจเราก็จะเป็นเพียงรับรู้ให้เท่านั้น  เมื่อใช้ปัญญาอบรมใจให้เกิดความเข้มแข็งกล้าหาญได้แล้ว  ความปวดนั้น ก็ค่อย ๆ ลดลง ๆ  ความเหน็บชาในขาก็ปรากฏขึ้นแทน  แล้วนั่งอยู่ในความเหน็บชานี้ต่อไปนานประมาณ ๔ ทุ่ม  จากนั้น อาการอย่างอื่นก็ปรากฏขึ้นมาแทน
   นั่นคือ ปรากฏความร้อนขึ้นมาที่ขา  ความร้อนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ยิ่งนั่งนานเท่าไร ความร้อนก็ยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น  ครั้งนี้ ได้เผชิญศึกหนักอีกรูปแบบหนึ่ง  ถึงความปวดตามขาไม่มีก็ตาม  แต่ความร้อนในขาทั้งสองเหมือนกับถูกไฟเผาอยู่ตลอดเวลา  ขาทั้งสองข้างเหมือนอยู่ในกองไฟไหม้เกรียมไปหมด  เมื่อความร้อนถึงที่สุดเต็มที่แล้ว เกิดความคิดขึ้นว่า ตัวเองจะอดทนนั่งต่อไปอีกได้ไหมหนอ  แต่เมื่อคิดย้อนหลังไปถึงความปวดขาที่ผ่านมา  ตัวเองก็ได้ผ่านมาแล้ว  เมื่อมีความร้อนอย่างนี้เกิดขึ้นมาอีก  เราก็ต้องอดทนต่อสู้ให้เต็มที่  สัจจะอธิษฐานที่เราตั้งไว้แล้วนั้น  จะต้องเป็นสัจจะของลูกผู้ชาย  เป็นสัจจะของพระกรรมฐานอย่างเต็มตัว  ตั้งลงไปอย่างไรต้อง
หนักแน่นในที่นั้น  จะไม่หลอกลวงตัวเองแต่อย่างใด  ถึงจะมีความร้อนลุกเป็นไฟเผาร่างกายให้ย่อยยับไปก็ตาม  เราก็จะไม่ลุกออกจากที่นี่เป็นเด็ดขาด  ชีวิตจะหมดไปเพราะความร้อนนี้ก็ยอม  ในช่วงนี้ ต้องใช้อุบายปัญญาสอนใจอยู่เสมอว่า  ความร้อนที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นแผนการของกิเลสแน่นอน  เพราะกิเลสใช้กลอุบายต่อต้านเราเต็มที่  เมื่อกี้นี้มันใช้ความทุกข์ ความเจ็บปวด มาเป็นอุบายขัดขวาง  แต่ก็สู้สติปัญญาเราไม่ได้  บัดนี้ กลับมาใช้อุบายวิธีความร้อน เพื่อให้เราได้ถอนออกจากการปฏิบัติอีก  นี่เรารู้กลอุบายของตัวกิเลสแล้วว่า  เป็นตัวขัดขวางไม่ให้เราหลุดออกไปจากวัฏสงสาร  มีแต่จะผลักดันให้เราลอยตามกระแสโลก ดังที่เคยเป็นมา  กิเลสก็จะพาเราไปในทางที่ต่ำต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด แต่ก่อนมาใจขาดปัญญาความฉลาดรอบรู้ จึงได้ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาตลอดมา  แต่บัดนี้ใจเรามีสติปัญญาเป็นที่อบรมสั่งสอน  ใจจึงได้รู้เห็นตามความเป็นจริง  ทุกสิ่งที่กิเลสตัณหาจะนำมาเป็นอุบายหลอกใจอีกไม่ได้แล้ว  ถึงจะเอาความร้อนมาบังคับให้เราเสียสัจจะนี้  เราก็จะไม่หลงกลของกิเลสตัณหาอีกต่อไป  เพราะใจได้ฝึกฝนอบรมจากสติปัญญามาแล้วเป็นอย่างดี  มีความรอบรู้ในเหตุผลกลลวงของกิเลสตัณหาที่จะพาให้เราเกิดตายในวัฏสงสารไม่มีที่สิ้นสุด  พระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้า
ทั้งหลายที่หลุดพ้นไปแล้วนั้น  ล้วนแล้วแต่มีความกล้าหาญอดทน  นี่เราผู้กำลังเดินตามรอยของท่านก็ต้องเป็นผู้กล้าหาญเช่นกัน  ขณะนั้น เวลาประมาณ ๖ ทุ่ม  ความร้อนที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงก็ค่อย ๆ อ่อนลง ๆ  ในที่สุด ความร้อนทั้งหมดก็หายไป  สภาพความรู้สึกก็กลับคืนสู่ปกติ  คิดว่าจะไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก  แต่ก็ไม่ประมาทในตัวเอง  จึงใช้สติปัญญาอบรมใจไว้ตลอดเวลา
   จากนั้น เหตุการณ์อีกรูปแบบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา  นั่นคือ ความรู้สึกหนาวเย็น  ความหนาวเย็นนี้  มีลักษณะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  เหมือนกับร่างกายเป็นก้อนน้ำแข็งไปทั้งตัว  ความทุกข์ทรมานในความหนาวเย็นนี้  แทบจะเอาตัวไปไม่รอดเช่นกัน  แต่ก็อดทนต่อสู้ในความหนาวเย็นนั้นอย่าง
กล้าหาญ  โดยใช้อุบายปัญญาปลอบใจตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า  นี่ทูล ในช่วงที่ผ่านมาก็เกิดความเจ็บปวดตามขาจนแทบว่าขาจะหลุดออกไป  แต่เราก็ใช้ความอดทนจนผ่านพ้นมาได้  เมื่อเกิดความร้อนขึ้นมาเหมือนกับนั่งอยู่ในกองไฟ  เราก็ใช้สติปัญญาพิจารณาพร้อมทั้งความอดทน  จนสามารถผ่านพ้นจากความร้อนอันนั้นมาได้อีก  แต่ขณะนี้ เกิดความหนาวเย็นขึ้นมา  ทำไมเราจะผ่านไม่ได้  ในขณะที่นั่งอยู่นั้น ความหนาวเย็นได้เกิดขึ้นเต็มที่  ถึงกับนั่งสั่นไปทั้งตัว  จึงต้องใช้อุบายปัญญาปลอบใจตัวเองอีกว่า  นี่ทูล ตัวเองได้ตกนรกมาแล้ว  ความปวดก็เป็นนรกขุมหนึ่ง  ความร้อนก็เป็นนรกขุมหนึ่ง  ขณะนี้ กำลังตกอยู่ในนรกขุมหนาวเย็น  ในขณะที่มีชีวิตอยู่ ยังได้เสวยทุกขเวทนาถึงเพียงนี้  หากตัวเองได้ไปตกขุมนรกจริง ก็จะต้องมีความทุกข์กว่านี้หลายร้อยเท่า  จะไม่กลัวต่อความทุกข์ที่มีอยู่ข้างหน้าหรือ  นรกที่จะมีอีกในข้างหน้านั้นเย็นมากกว่านี้นัก
   เมื่อตัวเองยังมีความพอใจหลงใหลในกามคุณอยู่  ผลที่ได้รับคือ ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ก็จะมีผลให้ตัวเองได้รับอยู่ตลอดไป  ไฉนจึงไม่กลัวในความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นบ้าง  เพราะความทุกข์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เป็นผลที่เกิดขึ้นจากกามคุณทั้งนั้น  โดยหารู้ไม่ว่า กามคุณเปรียบเหมือนน้ำตาลเคลือบยาพิษ  เมื่อน้ำตาลละลายไป ยาพิษก็ออกฤทธิ์ขึ้นมา  ทำให้มีการเจ็บปวดร้อนหนาว ดังที่ได้รับในปัจจุบันนี้  นี่คือวิบากกรรมของชาติภพที่ตัวเองได้รับ  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจาก อัตตา ที่ยึดถือว่าเป็นตัวตน  เมื่อตนมีอยู่ที่ไหน ความทุกข์ก็ต้องมีอยู่ที่นั่น  แต่ก็ต้องอดทนต่อไป  ไหน ๆ ก็เกิดขึ้นมาแล้ว  แต่ให้ตั้งใจไว้ว่า ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากชาติภพนี้เป็นชาติสุดท้ายก็แล้วกัน  ฉะนั้น ตัวเองต้องใช้อุบายปัญญาอบรมสั่งสอนใจตัวเองให้เกิดความกลัว  ให้เกิดความเบื่อหน่ายในชาติภพและสรรพทุกข์ทั้งหลาย  อย่าให้กิเลสตัณหาชักจูงให้เกิดความ
หลงใหลในกามคุณอีกต่อไป  ในขณะที่เกิดความหนาวเย็นอยู่นั้น  ต้องใช้อุบายปัญญาสอนใจอยู่ตลอด  ประมาณตี ๓ ความหนาวเย็นก็อ่อนลง ๆ และอ่อนลงไปเรื่อย ๆ จนความหนาวเย็นนั้นหมดไปเป็นปกติ  ในช่วงนี้ เราได้ผ่านชัยชนะมาแล้ว ๓ ขั้นตอน  รู้สึกว่าใจมีกำลังกล้าหาญเป็นอย่างมาก  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมา เราก็พร้อมที่จะต่อสู้กันจนถึงที่สุด  แม้กระทั่งชีวิตจะดับสูญไป  ก็พร้อมที่จะเสียสละ  นี่เป็นอุบายธรรมที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น
   ในขณะนั้น จิตต้องการพักผ่อนในสมาธิ  จึงใช้อุบายวิธีกำหนดจิตด้วยคำบริกรรมว่า พุทโธ  ร่วมกันกับ อานาปานสติ คือ กำหนดลมหายใจเข้าออก  จิตก็ค่อย ๆ สงบลง แล้วก็พักคำบริกรรมพุทโธเอาไว้  กำหนดเอาเพียง ผู้รู้ เอาไว้อย่างเดียว  เมื่อลมหายใจหมดไป ก็มีแต่ผู้รู้เพียงอย่างเดียว  ไม่มีความสุขไม่มีความทุกข์แต่อย่างใด  เป็นเพียงความรู้อยู่ว่าง ๆ เป็นเอกเทศเฉพาะผู้รู้เท่านั้น  จิตมีความทรงอยู่อย่างนี้  นานถึงรุ่งสว่างของวันใหม่  ขณะที่จิตกำลังจะถอนออกจากสมาธิมานั้น  ปรากฏเห็นหลวงปู่ขาวมากั้นร่มขนาดใหญ่อยู่ด้านขวามือ  หลวงปู่ขาวพูดว่า  ลูกหล้า ตั้งใจให้เข้มแข็งนะ  อย่าท้อถอย ต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญในความเพียรเต็มที่  ใช้สติปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริงอยู่เสมอ  ไม่มีใครช่วยเรานะ  เราคนเดียวเท่านั้นจะช่วยตัวเองได้  ต่อไปก็จะเป็นที่พึ่งแก่ตัวเองอย่างมั่นคงถาวร  จากนั้น จิตก็ถอนออกจากสมาธิ  ซึ่งเป็นเวลาสว่างพอดี  เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว  ความเวิ้งว้างภายในใจ ความเอิบอิ่มภายในใจ ความสงบภายในใจ ยังมีความตั้งมั่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะออกบิณฑบาต ฉันอาหาร ตลอดจนทำกิจวัตรต่าง ๆ ช่วยกันกับหมู่คณะ  ใจก็มีความตั้งมั่นอยู่เสมอ  ตกเย็นในวันนั้น ไปสรงน้ำให้หลวงปู่ตามปกติ  เสร็จแล้วก็ขึ้นไปรับฟังโอวาทจากท่าน  ท่านก็เตือนสติสั้น ๆ ว่า ทุกองค์ ตั้งใจภาวนานะ  อย่าเห็นแก่หลับแก่นอน กินมาก นอนมาก พูดมาก เล่นมาก ไม่ดีทั้งนั้น  จากนั้น ก็พากันกราบลาหลวงปู่  ข้าพเจ้ายังทำธุระอยู่ที่นั่น  เมื่อพระเณรลงไปหมดแล้ว  หลวงปู่บัวพูดว่า  ทูล ผ่านทุกข์ได้หรือยัง  ตอบท่านไปว่า ขอโอกาส ผ่านเมื่อคืนที่แล้วครับ  หลวงปู่ก็ได้สอบถามอาการที่ข้าพเจ้าประสบจากการภาวนาผ่านทุกข์ในครั้งนั้น  ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้เล่าถวายดังที่อธิบายผ่านมาแล้ว  เมื่อหลวงปู่ได้รับฟังแล้วก็พูดขึ้นว่า จากนี้ไปให้ผ่านให้ตลอดนะ  ผู้ที่ผ่านทุกข์ได้ต้องเป็นผู้มีความกล้าหาญ  มีความเข้มแข็งไม่กลัวตาย  ให้มีความขยันหมั่นเพียรให้มากขึ้น  อย่าให้จิตเป็นหมันดื้อด้านเป็นเหล็กก้นเตา  ให้ใช้อุบายปัญญาสอนใจอยู่บ่อย ๆ  ใจก็จะค่อยรู้เห็นตามความเป็นจริงได้
   ในวันต่อมา ท่านอาจารย์สิงห์ทองได้พูดขึ้นว่า ใครจะไปฟังเทศน์หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล  วันพรุ่งนี้ ฉันเสร็จแล้วออกเดินทางโดยไม่ต้องขึ้นรถ  เมื่อได้ยินคำว่าจะไปฟังเทศน์ของหลวงปู่ขาวเท่านั้น  รู้สึกว่า ใจมีความเบิกบานและเอิบอิ่มเป็นอย่างมาก  เพราะคิดอยู่ในใจมาหลายวันว่า อยากไปฟังเทศน์หลวงปู่ขาวอยู่แล้ว  ในวันต่อมา เมื่อฉันเสร็จแล้ว ก็พากันออกเดินทาง  จากวัดป่าหนองแซง ถึงวัดถ้ำกองเพล ระยะทางประมาณ ๑๕ กิโลเมตร  เมื่อไปถึงวัด ท่านอาจารย์สิงห์ทองก็พาหมู่คณะไปคารวะหลวงปู่  ซึ่งหลวงปู่ขาวก็ให้ความเมตตาอธิบายธรรมให้ฟัง  มีข้อสำคัญที่จำได้ดังนี้  นักปฏิบัติถ้าเอาความตายไว้หลัง  การปฏิบัติจะไม่มีอุปสรรคแต่อย่างใด  การภาวนามีแต่ความเจริญก้าวหน้าไปด้วยดี  ถ้าเอาความตายไว้ข้างหน้า การภาวนาจะหดตัวอยู่ที่เดิม  เพราะมีความกลัวตายเป็นเครื่องขัดขวาง  จึงไม่กล้าทุ่มเทความพากเพียรลงไปอย่างเต็มที่  จะนั่งสมาธิมีการปวดแข้งปวดขานิดหน่อยก็กลัวตาย  เดินจงกรมไม่กี่ชั่วโมงก็กลัวตาย  อดนอนผ่อนอาหารมีอาการผ่อนเพลียนิดหน่อยก็กลัวตาย  ถ้าเป็นอย่างนี้ จะเกิดความรู้จริงเห็นจริงในธรรมได้อย่างไร  ฉะนั้น ทุกท่านอย่าพากันกลัวตายนะ  ถ้าทำความเพียรแล้วตาย ก็ให้มันตายไปจะกลัวทำไม  นักปฏิบัติถ้ายังมีความกลัวตายอยู่ ใช้ไม่ได้เลย  มันต้องมีใจเข้มแข็ง
กล้าหาญ  ตั้งลงไปเลยว่า ถ้ากูไม่ตาย ให้กิเลสตาย  ถ้ากิเลสไม่ตาย กูยอมตาย  นั่นคือ นักปฏิบัติที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญจริงจัง  ถ้าตั้งใจปฏิบัติอยู่อย่างนี้บ่อย ๆ ก็จะรู้เห็นธรรมอย่างแน่นอน  ฉะนั้น เราทั้งหลายอย่าเป็นผู้หลอกลวงตัวเอง  ต้องทำตัวเป็นคนจริงเอาไว้  สักวันหนึ่ง ก็จะพบความจริงในสัจธรรมแน่นอน  เมื่อหลวงปู่เทศน์จบแล้ว ก็พากันกราบหลวงปู่กลับวัดป่า
หนองแซงตามเดิม  ในพรรษานี้ พระอาจารย์สิงห์ทองพาหมู่คณะไปฟังเทศน์ของหลวงปู่ขาวสองครั้ง  ไปแต่ละครั้ง ได้อุบายธรรมจากหลวงปู่ขาวมากทีเดียว  เมื่อออกพรรษารับกฐินเรียบร้อยแล้ว  ก็ได้กราบหลวงปู่บัว ออกภาวนาปฏิบัติในที่ต่าง ๆ ต่อไป

http://watpabankor.com/webboard/index.php?topic=174.0

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: อัตโนประวัติ หลวงพ่อทูล ขิปฺปญฺโญ
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: กันยายน 08, 2011, 07:38:57 pm »
 :13: อนุโมทนาสาธุครับ
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~