ผู้เขียน หัวข้อ: กุมภชาดก ว่าด้วยโทษของสุรา  (อ่าน 1724 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ต๊ะติ้งโหน่ง

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 259
  • พลังกัลยาณมิตร 76
    • ดูรายละเอียด
กุมภชาดก ว่าด้วยโทษของสุรา
« เมื่อ: กันยายน 10, 2011, 08:07:14 pm »
 กุมภชาดก ว่าด้วยโทษของสุรา

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติใน พระนครพาราณสี มีนายพรานป่าผู้หนึ่งชื่อว่า สุระ เป็นชาวแคว้นกาสี ได้ไปสู่ป่าหิมพานต์ เพื่อต้องการแสวงหาสิ่งของในป่าหิมพานต์นั้น มีต้นไม้ต้นหนึ่ง ลำต้นตั้งตรง ที่ฐานสูงประมาณชั่วบุรุษหนึ่งได้แตกออกเป็นสามค่าคบ ระหว่างค่าคบ ๓ แห่งของต้นไม้นั้น ได้มีโพรงใหญ่ขนาดเท่าตุ่ม เมื่อฝนตกก็เต็มไปด้วยน้ำ ได้มีต้นสมอ มะขามป้อม และเถาพริกไท ขึ้นล้อมรอบต้นไม้นั้น ผลของต้นไม้นั้น ๆ สุกแล้วก็หลุดออกจากขั้ว ตกลงไปในโพรงนั้น ใกล้ๆ ต้นไม้นั้น มีข้าวสาลีเกิดขึ้นเอง และนกแขกเต้าทั้งหลายมาคาบเอารวงข้าวสาลีจากที่นั้น แล้วก็บินไปจับกินอยู่บนต้นไม้นั้น เมื่อนกแขกเต้าพากันจิกกินอยู่ เมล็ดข้าว เปลือกก็ดี เมล็ดข้าวสารก็ดี หลุดหล่นลงไปในโพรงนั้น น้ำในโพรงนั้นถูก แสงแดดแผดเผา ก็เกิดมีรส มีสีแดง ๆ ด้วยประการฉะนี้ ในฤดูร้อนฝูงนกทั้งหลายที่ระหายน้ำ บินมากินน้ำนั้น ก็มึนเมาพลัดตกลงไปที่โคนต้นไม้ ม่อยไปหน่อยหนึ่งแล้วส่งเสียงคูขันบินไป ถึงสุนัขป่าและลิงเป็นต้น ก็มีนัยอย่างเดียวกันนี้
พรานป่าเห็นดังนั้นก็หลากใจคิดว่า ถ้าน้ำนี้เป็นพิษ สัตว์เหล่านี้คงตาย แต่นี่มันม่อยไปหน่อยหนึ่งแล้วก็บินไปได้ตามสบาย น้ำนี้คงไม่มีพิษ เขาจึงลองดื่มเอง ก็เกิดมึนเมา และอยากจะกินเนื้อสัตว์ ลำดับนั้นเขาจึงก่อไฟให้โชนขึ้น แล้วฆ่านกที่พลัดตกไปที่โคนไม้ มีนกกระทาและไก่เป็นต้นตาย ย่างเนื้อที่ถ่านเพลิง มือหนึ่งฟ้อนรำ มือหนึ่งถือเนื้อกัดกิน อยู่ในที่นั้นวันหนึ่ง ถึงสองวัน
ณ ที่ใกล้บริเวณนั้น มีดาบสรูปหนึ่งชื่อ วรุณะ นายพรานป่าเดินไปยังสำนักพระดาบสนั้น โดยธุระอย่างอื่น เขาได้เกิดความคิดว่า เราจักดื่มน้ำนี้ร่วมกับพระดาบส เขาจึงตักน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่อันหนึ่งจนเต็ม หิ้วไปกับเนื้อย่าง ถึงบรรณศาลาแล้วกล่าวชวนว่า ท่านขอรับ จงลองดื่มน้ำนี้ดูเถิด แล้วทั้งสองก็บริโภคเนื้อดื่มน้ำด้วยกัน ด้วยประการฉะนี้ น้ำดื่มนั้นเลยเกิดมีชื่อว่า สุราบ้าง วรุณีบ้าง เพราะนายพรานสุระและพระวรุณดาบส พบเห็นเข้า.
ฝ่าย สุรพราน กับวรุณดาบส ทั้งสองคนคิดได้ว่า มีอุบายทำมาหากินได้อยู่ จึงตักสุราใส่กระบอกไม้ไผ่จนเต็ม แล้วพากันหาบไปจนถึงปัจจันตนคร ให้คนกราบทูลพระราชาว่า มีคนทำน้ำดื่มมาเฝ้า พระราชาจึงตรัสสั่งให้คนทั้งสองเข้าเฝ้า เขาจึงนำน้ำดื่มเข้าไปถวาย พระราชาทรงเสวยได้สอง สามครั้งก็ทรงมึนเมา แต่น้ำเมานั้น พอเสวยได้เพียงวันสองวันเท่านั้น ต่อมาพระราชาตรัสถามคนทั้งสองว่า น้ำชนิดนี้ มีอยู่ที่อื่นบ้างไหม?
เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะมีอยู่ พระเจ้าข้า
พระราชาตรัสถามว่า มีอยู่ที่ไหน?
เขาทูลว่า ที่ป่าหิมพานต์ พระเจ้าข้า
พระราชาตรัสสั่งว่า ถ้าเช่นนั้นท่านทั้งสองจงไปเอามา

ชนทั้งสองไปนำเอามาคราว สองคราว แล้วปรึกษากันว่า พวกเราไม่อาจเอามาบ่อย ๆ ได้ จึงกำหนดจดจำเครื่องปรุงทั้งปวงไว้ แล้วเอาเปลือกเป็นต้น ของต้นไม้นั้นมาใส่ปนลงในเครื่องปรุงทุกอย่าง ปรุงสุราขึ้นในพระนคร ชาวพระนครพากันดื่มสุราจนถึงความประมาทมัวเมา เลยยากจน เข็ญใจไปตาม ๆ กัน พระนครก็ได้เป็นเหมือนเมืองร้าง ด้วยเหตุนั้น คนทำน้ำดื่มทั้งสองจึงหลบหนีออกจากพระนครนั้น ไปยังเมืองพาราณสี ให้กราบทูลพระราชาว่า คนทำน้ำดื่มมาเฝ้า พระเจ้าพาราณสีตรัสสั่งให้คนทั้งสองเข้าเฝ้า แล้วพระราชทานเสบียงแก่คนทั้งสอง เขาช่วยกันจัดการปรุงสุราขึ้น แม้ในพระนครพาราณสีนั้น ถึงพระนครนั้นก็พินาศไปเช่นนั้นอีก เขาทั้งสองจึงหนีออกจากเมืองนั้นไปเมืองสาเกต หนีออกจากเมืองสาเกตไปยังเมืองสาวัตถี

ครั้งนั้น พระเจ้าสัพพมิตต์ได้เป็นกษัตริย์ พระนครสาวัตถี ท้าวเธอทำการสงเคราะห์แก่คนทั้งสองนั้น แล้วตรัสถามว่า พวกเจ้าต้องการสิ่งใดบ้าง เมื่อเขากราบทูลว่า ต้องการรากไม้สำหรับปรุง แป้งข้าวสาลี และตุ่ม ห้าร้อย ดังนี้ ก็ตรัสสั่งให้ประทานครบทุกอย่าง พรานสุระ และวรุณดาบสทั้งสอง ปรุงสุราใส่ตุ่ม ๕๐๐ ใบตั้งไว้แล้ว ประสงค์จะป้องกันโดยเกรงว่าหนูจะรบกวน จึงผูกแมวไว้ข้างๆ ตุ่มใบละตัว แมวเหล่านั้น พากันดื่มสุราที่ไหลลงก้นตุ่ม ในเวลาที่ต้มแล้วตักใส่ตุ่ม จนมึนเมาหลับไป พวกหนูมาแทะ หู จมูก หนวด และหางแมว แล้วพากันวิ่งหนีไป พวกอายุตตกบุรุษ (คนสอดแนม) คิดว่า แมวดื่มสุราพากันตายหมด จึงไปกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ
พระเจ้าสัพพมิตต์ ทรงเห็นว่า ชนทั้งสองนี้จักทำยาพิษ จึงตรัสสั่งให้ตัดศีรษะคนทั้งสองเสีย คนทั้งสอง พร่ำทูลขอร้องว่า ขอเดชะ ดื่มสุรามีรสอร่อย พระเจ้าข้า ดังนี้ จนขาดใจตาย ครั้นพระราชาตรัสสั่งให้ประหารชีวิตคนทั้งสองแล้ว มีพระราชโองการให้ทำลายตุ่มเสีย ฝ่ายแมวทั้งหลายเมื่อฤทธิ์สุราสร่าง จางไป ก็ลุกขึ้นวิ่งเล่นได้ พวกราชบุรุษเห็นดังนั้น จึงกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระราชาทรงพระดำริว่า ถ้าน้ำสุราเป็นพิษ แมวคงตาย ชะรอยจะมีรสอร่อย เราจะลองดื่มดู แล้วตรัสสั่งให้ประดับตกแต่งพระนคร ให้สร้างมณฑปขึ้นที่หน้าพระลาน เสร็จแล้วประทับนั่งบนราชบัลลังก์ ซึ่งยกเศวตฉัตรขึ้นไว้บนมณฑปที่ประดับตบแต่งแล้ว แวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์มุขมนตรี เริ่มจะเสวยสุรา.
ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราช ทรงตรวจดูสัตวโลกว่า ชนเหล่าไหนบ้างหนอ ไม่ประมาทในการบำรุงมารดาบิดาเป็นต้น บำเพ็ญสุจริต ๓ ให้เต็มบริบูรณ์ ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าสัพพมิตต์นั้น ประทับนั่งเพื่อจะดื่มสุรา จึงทรงพระดำริว่า ถ้าพระเจ้าสัพพมิตต์นี้จะดื่มสุราไซร้ สกลชมพูทวีป จักพินาศฉิบหาย เราจักต้องแก้ไข โดยวิธีที่จะให้ท้าวเธองดดื่ม แล้วทรงวางหม้อที่เต็มไปด้วยสุราใบหนึ่งไว้ที่พระหัตถ์ จำแลงเพศเป็นพราหมณ์ เสด็จมายืนอยู่ในอากาศ ณ ที่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าสัพพมิตต์ แล้วตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงซื้อหม้อใบนี้ พระเจ้าสัพพมิตตราชทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์จำแลง ยืนพูดอยู่บนอากาศอย่างนั้น ทรงสงสัยว่า พราหมณ์นี้มาจากไหนกัน หนอ เมื่อจะทรงสนทนากับพราหมณ์นั้น ได้ตรัสพระว่า
ท่านเป็นใคร มาจากดาวดึงสพิภพหรือ จึงเปล่งรัศมีสว่างไสวอยู่ในนภากาศ เหมือนพระจันทร์ส่องสว่างในยามรัตติกาลฉะนั้น รัศมีแผ่ซ่านออกจากตัวท่านดุจสายฟ้าแลบในเวหาสฉะนั้น.
ท่านเหยียบลมหนาวในอากาศได้ เดินและยืนในอากาศได้ ฤทธิ์ของท่านที่อบรมดีแล้ว คล้ายฤทธิ์ของทวยเทพ ผู้ชื่อว่าไม่ต้องเดินทางไกล เพราะไม่ต้องใช้เท้าเดินไปในทางไกล
ท่านเป็นใครมายืนอยู่ในอากาศ ร้องขายหม้ออยู่ หรือว่าหม้อของท่านนี้ ใช้ประโยชน์อะไรได้ ดูก่อนพราหมณ์ ขอท่านจงบอกเนื้อความนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด.
ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงฟัง เมื่อจะทรงแสดงโทษของสุรา จึงตรัสว่า
หม้อใบนี้มิใช่หม้อเนยใส มิใช่หม้อน้ำมัน มิใช่หม้อน้ำผึ้ง โทษของหม้อใบนี้มีอยู่มิใช่น้อย ท่านจงฟังโทษเป็นอันมากที่มีอยู่ในหม้อใบนี้.
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้ว เดินโซเซตกลงไปยังบ่อ ถ้ำ หลุมน้ำครำและหลุมโสโครก พึงบริโภคของที่ไม่ควรบริโภคเป็นอันมากได้ ท่านจงซื้อหม้อนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้ว ไม่มีกฎเกณฑ์ในใจ เที่ยวหยำเปไป เหมือนโคกินกากสุรา ฉะนั้น เป็นเหมือนขาดที่พักพิง ย่อมฟ้อนรำได้ ขับร้องได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้ว แก้ผ้าเปลือยกาย เที่ยวไปตามตรอกตามถนน ในบ้านเหมือนชีเปลือย มีจิตลุ่มหลง นอนตื่นสาย ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้ว ลุกขึ้นโซเซโคลงศีรษะและยกแขนขึ้นร่ายรำ เหมือนรูปหุ่นไม้ ฉะนั้น ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้ว นอนจนถูกไฟไหม้และกินอาหารที่เหลือเดนสุนัขได้ ย่อมถึงการถูกจองจำถูกฆ่า และความเสื่อมแห่งโภคะ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้ว พูดคำพูดที่ไม่ควรพูดนั่งพร่ำในที่ประชุม ปราศจากผ้าผ่อน เลอะเทอะนอนจมอยู่ในอาเจียนของตน มีแต่เรื่องฉิบหาย ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.

บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้ว วางมาดเป็นคนสำคัญนัยน์ตาขุ่นขวาง เข้าใจว่าบ้านเมืองเป็นของเราคนเดียวพระราชาแม้มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบขัณฑสีมา ก็ไม่เสมอเรา ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้ว ถือตัวจัด ก่อการทะเลาะวิวาท ยุยงส่อเสียด มีผิวพรรณน่าเกลียดเปลือยกายวิ่งไป อยู่อย่างนักเลงเก่า ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
น้ำชนิดนี้ ทำตระกูลทั้งหลายในโลกนี้ อันมั่งคั่งบริบูรณ์ มีเงินทองตั้งหลายพันให้ขาดทายาทได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
ข้าวเปลือก ทรัพย์สิน เงินทอง ไร่ นา โคกระบือ ในสกุลใดย่อมพินาศไป ตระกูลที่มั่งมีทั้งหลายขาดสูญไป เพราะดื่มน้ำชนิดใด ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
บุรุษดื่มน้ำชนิดใดแล้ว เป็นคนหยาบช้า ด่ามารดาบิดาได้ แม้ถึงเป็นพ่อผัวก็พึงหยอกลูกสะใภ้ได้ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
นารีดื่มน้ำชนิดใดแล้ว กลายเป็นคนกักขฬะหยาบช้า ด่าพ่อผัว แม่ผัว และสามีได้ แม้เป็นทาสเป็นคนใช้ พึงรับเป็นสามีของตนได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
บุรุษดื่มน้ำชนิดใดแล้ว ฆ่าสมณะ หรือพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรมได้ พึงไปสู่อบาย เพราะกรรมนั้นเป็นเหตุ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
ชนทั้งหลายดื่มน้ำชนิดใดแล้ว ประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา หรือทางใจได้ ย่อมไปสู่นรกเพราะประพฤติทุจริต ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
ชนทั้งหลายแม้จะยอมสละเงินเป็นอันมาก มาอ้อนวอนบุรุษใด ซึ่งไม่เคยดื่มสุรา ให้พูดเท็จ ย่อมไม่ได้ บุรุษนั้นครั้นดื่มสุราแล้วย่อมพูดเหลาะแหละเหลวไหลได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
คนรับใช้ดื่มน้ำชนิดใดแล้ว เมื่อถูกเขาใช้ไปในกรณียกิจรีบด่วน ถูกซักถามก็ไม่รู้เนื้อความ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
ชนทั้งหลายดื่มน้ำชนิดใดแล้ว ถึงจะเคยมีความละอายใจอยู่ ก็ย่อมจะทำความไม่ละอายให้ปรากฏได้ถึงแม้จะเป็นคนมีปัญญาก็อดพูดมากไม่ได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
ชนทั้งหลายดื่มน้ำชนิดใดแล้ว นอนคนเดียวไม่มีเพื่อน คล้ายลูกสุกรนอนเดียวดาย ด้วยชาติกำเนิดอันต่ำฉะนั้น อดข้าวปลาอาหาร ย่อมเข้าถึงการนอนเป็นทุกข์อยู่กับแผ่นดิน สิ้นสง่าราศรี และต้องครหานินทา ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
ชนทั้งหลายดื่มน้ำชนิดใดแล้ว ย่อมนอนคอตกหาเป็นเหมือนโคที่ถูกลงปฏักฉะนั้นไม่ ฤทธิ์สุราย่อมทำให้คนอดทนได้ (ไม่กินข้าวกินน้ำ) ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
มนุษย์ทั้งหลาย ย่อมเว้นดื่มน้ำชนิดใด อันเปรียบด้วยงูมีพิษร้าย นรชนคนใดเล่า ควรจะดื่มน้ำชนิดนั้นอันเป็นเช่นยาพิษมีในโลก ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
โอรสทั้งหลายของท้าวอันธกเวณฑะ ดื่มสุราแล้ว พาหญิงไปบำเรออยู่ที่ริมฝั่งสมุทร ประหารกันและกันด้วยสาก ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
บุรพเทพ คืออสูรทั้งหลาย ดื่มน้ำชนิดใดแล้วเมามาย จนจุติจากไตรทิพย์ คือดาวดึงสเทวโลก ยังสำคัญตนว่าเที่ยง เป็นไปกับด้วยอสุรมายา ดูก่อนมหาราชเจ้า บุรุษผู้ฉลาดเช่นกับพระองค์ เมื่อทราบว่าน้ำดื่มชนิดนี้เป็นน้ำเมา หาประโยชน์มิได้ จะดื่มทำไม?
ในหม้อใบนี้ ไม่มีเนยข้น หรือน้ำผึ้ง พระองค์รู้อย่างนี้แล้ว จงซื้อเสีย ดูก่อนท่านสัพพมิตต์ สิ่งที่อยู่ในหม้อนี้ ข้าพเจ้าบอกแก่ท่านแล้วตามความเป็นจริงอย่างนี้แหละ.
พระเจ้าสัพพมิตต์ ทรงสดับดังนั้น ก็ทรงทราบโทษของสุรา ดีพระทัย เมื่อจะทรงชมเชยท้าวสักกเทวราช ได้ตรัสพระว่า
ท่านมิใช่เป็นบิดา หรือมารดาของข้าพเจ้า เป็นคนชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้มุ่งเกื้อกูลอนุเคราะห์ปรารถนาประโยชน์อย่างยิ่งแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักกระทำตามถ้อยคำของท่านในวันนี้.
ข้าพเจ้าจักให้บ้านส่วยห้าตำบล ทาสีหนึ่งร้อยโคเจ็ดร้อย และรถเทียมด้วยม้าอาชาไนยสิบคันเหล่านี้แก่ท่าน ขอท่านผู้ปรารถนาประโยชน์จงเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้าเถิด.
ท้าวสักกเทวราช ทรงสดับเช่นนั้น เมื่อจะทรงแสดงอัตภาพของเทพยดาให้พระเจ้าสัพพมิตต์ทรงรู้จักพระองค์จึงประทับยืนบนอากาศ ได้ตรัสพระว่า
ดูก่อนพระราชา ทาสี บ้านส่วย โค และรถอันเทียมด้วยม้าอาชาไนย จงเป็นของพระองค์ตามเดิมเถิด เราเป็นท้าวสักกะจอมเทพ ของชาวไตรทิพย์.พระองค์จงเสวยพระกระยาหาร เนยใส และข้าวปายาส พึงเสวยขนมกุมมาสอันโอชารส ดูก่อนพระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน พระองค์จงทรงยินดีในธรรม เมื่อพระองค์เสวยโภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ อย่างนี้ จงเว้นการดื่มสุรา ละทุจริต ๓ อย่าง เป็นผู้ยินดีในสุจริตธรรม ๓ ประการ อันใคร ๆ ไม่ติเตียนแล้ว จงเข้าถึงสวรรคสถานเถิด
ท้าวสักกะครั้นทรงประทานโอวาทแก่พระเจ้าสัพพมิตต์ ด้วยประการฉะนี้แล้ว ก็เสด็จไปยังสถานวิมานของพระองค์ทันที ฝ่ายพระเจ้าสัพพมิตต์ ก็ไม่ทรงดื่มสุรา ตรัสสั่งให้ทำลายภาชนะสุราสิ้น แล้วทรงสมาทานศีล บริจาคทาน ได้เป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า การดื่มสุราเกิดนิยมกันอย่างกว้างขวาง แม้ในชมพูทวีปติดต่อสืบเนื่องมาจนบัดนี้
พระบรมศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้นได้มาเป็นพระอานนท์ ส่วนท้าวสักกเทวราช ได้มาเป็นเราผู้ตถาคต ฉะนี้แล.
จบกุมภชาดก