ต่อค่ะขอย้อนกล่าวถึงช่วงที่หลวงปู่อยู่บ้านแดงที่กำลังพัฒนาอยู่
ครั้งหนึ่งหลวงปู่ได้พาพระเณร และญาติโยมไปตัดไม้แคนใหญ่(ไม้ตะเคียน)อยู่ที่วังใหญ่ฝั่งห้วยหลวง ตอนนั้นนำขึ้นมาเสมอฝั่งพอดี ไม้แคนใหญ่ต้นนั้นล้มลงกลางห้วยหลวงจึงไม่มีใครสามารถลงไปตัดได้หลวงปู่จึงลงไปตัดเพียงผู้เดียว หลวงปู่ลงไปตัดไม้ตั้งแต่ช่วงเวลา ๘ โมงเช้าถึง ๑๑ โมงเช้าตัดไม้ได้จำนวน ๓ ท่อนๆหนึ่งยาว ๖ เมตรเสร็จแล้วค่อยขึ้นมาจากน้ำทีเดียวเลย ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของไม้แคนประมาณ /๑.๕๐ เมตร
หลวงปู่พิบูลย์บอกว่า วัดพระแท่นนี้เคยเป็นวัดเก่าของท่าน เพราะช่วงระยะสร้างอยู่นั้นหลวงปู่ท่านได้ชี้บอกว่าตรงนี้เป็นเสาวัดเก่า พอชาวบ้านขุดดูก็เห็นเสาไม้เก่าที่ขาดอยู่ในดินตรงจุดนั้น ตลอดจนบ่อน้ำที่เคยมีอยู่ในวัดเก่า พอขุดตรงบ่อน้ำที่เคยเจาะไว้จึงไม่ได้บ่อน้ำอีก หลวงปู่บอกว่าวัดนี้เป็นวัดมาตั้งแต่สมัยของพระเจ้ากัสสปะ หลวงปู่ได้มาสร้างไว้เมื่อหลายชาติแล้ว
อภินิหารของหลวงปู่พิบูลย์
เมื่อถึงฤดูฝนของแต่ละปี หลวงปู่จะบอกล่วงหน้าว่าปีนี้ฟ้าจะผ่าลงวันไหน ที่ไหน และฝ้าจะผ่าต้นไม้อะไร หลวงปู่ก็จะไปกากบาททำเป็นเครื่องหมายไว้ เพื่อไม่ให้คนเข้าไปใกล้และก็เป็นตามที่หลวงปู่บอกทุกครั้งไป
เมื่อคนที่จะมาหาหลวงปู่ตั้งใจไว้ว่าเมื่อไปถึงหลวงปู่แล้วจะพูดเรื่องอะไรยังไง พอมาถึงหลวงปู่ท่านก็ทักทันทีว่าคิดไว้นั้นคิดดีแล้วหรือ เช่นว่าจะมาหาท่านตั้งแต่เมื่อวานนี้ แต่มาไม่ได้เพราะติดธุระ พอมาถึงหลวงปู่ท่านก็ถามทันทีว่าที่ว่าติดธุระอะไรหรือเมื่อวานถึงไม่ได้มาอย่างนี้เป็นต้น และพวกที่ว่าวิชาอาคมอยู่ยงคงกระพันนั้น เมื่อได้กินน้ำมนต์หลวงปู่แล้ววิชาเหล่านั้นก็จะจืดจางไปหมด
วันหนึ่งญาติโยมไปคอยรับบาตรหลวงปู่ เมื่อท่านจะออกบิณฑบาตตามปกติขณะที่นั่งรออยู่นั้นก็ไม่เห็นหลวงปู่ออกมาจากกุฏิสักที คอยอยู่เป็นชั่วโมงแล้วค่อยเห็นหลวงปู่ออกมาจากกุฏิ พร้อมกับอุ้มบตรที่เต็มแล้วเหมือนกับท่านออกบิณฑบาตตามปกติโยมที่นั่งคอยอยู่ก็เข้าไปรับบาตร แต่เมื่อโยมเห็นอาหารที่อยู่ในบาตรท่านนั้น มันไม่ใช่อาหารที่มีตามบ้านนอกเราสักอย่างแต่มันเป็นอาหารจากตลาดในเมือง อาหารพวกนี้ไม่สามารถที่จะมีกิน หรือจะใส่บาตรสำหรับชาวบ้านแดงในสมัยนั้น ทำให้โยมผู้ที่นั่งรอรับบาตร และผู้ที่พบเห็นเกิดอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง จึงได้ถามหลวงปู่ท่านก็บอกว่า “ไปบิณฑบาตมา” แต่ไปบิณฑบาตที่ไหนท่านไม่ได้บอก
ในบางวันหลวงปู่เข้าไปในฐาน(ห้องน้ำ) ญาติโยมที่ไปหาท่านก็เห็นว่าท่านเดินเข้าไปอยู่ในฐานนั้นกันทุกคน แต่ท่านเข้าไปนานเกินไป คือประมาณ ๒ ชั่วโมง พ่อจารย์สุด บุญพา ในขณะนั้นบวชอยู่กับท่าน เมื่อเห็นท่านเข้าฐานนานเกินไปกลัวว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับท่านจึงตัดสินใจเดินเข้าไปเปิดฐานดู พ่อจารย์สุดก็ต้องแปลกใจมากเพราะในฐานไม่มีหลวงปู่อยู่เลย ทำให้ทุกคนก็งงไปตามๆกัน อาจารย์สุด และทุกคนก็นั่งรอคอยท่านต่อไป สักครู่ผ่านไปก็เห็นท่านเปิดประตูฐานนั้นออกมาก็ยิ่งทำให้ญาติโยมที่มานั่งคอยถึงกับแปลกใจ และงงกันหนักกว่าเดิม
ในช่วงที่หลวงปู่อยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์ตามปกติแล้ว ชาวบ้านแดง ทั้งพระทั้งโยมก็เที่ยวไปหาหลวงปู่อยู่ตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่งพ่อออกบ้านแดงได้ย่างปลาแล้วบรรจุใส่ห่อเกลือเพื่อจะเอาไปถวายหลวงปู่ เดินทางไปด้วยกัน ๓-๔ คน พอเดินทางไปถึงเนินบ้านสามพร้าวก็เห็นแลน (ตะกวด) วิ่งเข้าไปในโพรงไม้ จึงได้ช่วยกันเอาไม้และกิ่งไม้อุดโพรงนั้นไว้แน่น และตกลงกันว่าขากลับจึงจะมาเอาแล้วก็ไม่ให้บอกใครด้วย พอไปถึงก็เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่พร้อมกับถวายปลาย่างและของอื่นๆ ที่นำไปให้ท่าน ขณะนั้นท่านก็ไม่ได้พูดอะไรมากมายกับโยมที่ไปหาแต่ให้พักที่วัดนั้นคืนหนึ่ง พอรุ่งเช้าก็เข้าไปลาท่านเพื่อจะเดินทางกลับแต่เช้า หลวงปู่จึงได้พูดขึ้นว่าแลนใหญ่ที่อุดไว้นั้นโยมปล่อยมันซะ ทำให้โยมทั้ง ๔ งงไปตามๆกัน เพราะท่านรู้ได้อย่างไร เมื่อหายจากอาการงงทุคนก็พนมมือขึ้น และรับปากกับหลวงปู่อย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ครับหลวงปู่”
อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ผู้เขียนได้ยินมาด้วยตนเองจากหลวงพ่อพระครูญาณวิสุทธิคุณเจ้าคณะอำเภอหนองหานรูปปัจจุบัน ท่านเล่าให้ฟังว่าสมัยที่โยมพ่อของท่านได้มาบวชเป็นสามเณรอยู่กับหลวงปู่พิบูลย์ วันหนึ่งท่านได้พาไปบ้านดงปอ แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูน้ำหลากทำให้น้ำท่วมถนนหนทางที่จะไปบ้านดงปอ เพราะทั้งสองหมู่บ้านนี้อยู่คนละฟากน้ำ หลวงปู่และสามเณรจะข้ามไปบ้านดงปอแต่ไม่มีเรือ และตอนนั้นก็ใกล้จะค่ำแล้ว หลวงปู่จึงบอกสามเณรว่าให้เณรคอยอยู่ทางนี้หลวงปู่จะไปก่อน และหาเรือฝั่งโน้นมารับ เณรก็มองดูหลวงปู่เดินลงไปในน้ำเห็นท่านเดินไปน้ำลึกถึงหัวเข่า เณรน้อยก็มองตามท่านไปเรื่อยๆแม้ท่านจะเดินไปไกลสุดสายตาก็เห็นน้ำลึกถึงแค่หัวเข่าของท่านตลอด ทั้งๆที่เส้นทางที่ท่านเดินข้ามนั้นมีลำน้ำห้วยหลวงอยู่ น้ำลึกประมาณ ๒-๓ เมตร จึงทำให้สามเณรนั้นงงกับสายตาตนเอง ได้แต่นั่งคอยอยู่ตรงนั้น ไม่นานเห็นโยมพายเรือมารับ พร้อมบอกกับเณรว่า “หลวงปู่คอยอยู่ฝั่งโน้นแล้ว” พอเณรไปถึงไปถึงก็เห็นท่านนั่งเคี้ยวหมากอยู่มองดูผ้าจีวรก็ไม่เปียก ยิ่งทำให้เณรรูปนั้นงงหนักขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้ซักไซร้อะไรท่าน
มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่ได้ให้พระเณรไปตัดไม้ที่ดงใหญ่วังใหญ่ ทุกคนก็พากันนอนค้างอยู่บริเวณที่ตัดไม้กันหมด พอรุ่งเช้าหลวงปู่ก็ออกบิณฑบาตเสร็จเรียบร้อย ส่วนญาติโยมก็จัดแต่อาหารเตรียมไว้ให้ผู้ไปตัดไม้ หลวงปู่บอกกับญาติโยมที่เตรียมอาหารว่าข้าวไม่ต้องเอาไปก็ได้ เพราะกินอยู่ในบาตรของหลวงปู่ก็ไม่หมด แม่ออก(โยมผู้หญิง)ก็บอกหลวงปู่ว่าพระเณรตั้ง ๕๐ รูป จะกินอิ่มได้อย่างไรกัน หลวงปู่จึงบอกย้ำว่า ๕๐รูปก็กินไม่หมด วันนั้นก็เลยไม่ได้นึ่งเอาข้าวไป พอไปถึงแม่ออกก็จัดอาหารใส่พาข้าว (ถาด) หลวงปู่บอกให้พ่อออกเอาพาข้าวมาใส่เอาข้าว หลวงปู่ก็ล้วงเอาข้าวออกจากบาตรเอาออกเท่าไหร่ก็ไม่หมด จนครบพระเณรทั้ง ๕๐ รูป ข้าวในบาตรหลวงปู่ก็ยังไม่หมด เมื่อพระเณรฉันเสร็จแล้วโยมก็กินต่อข้าวก็ยังไม่หมดทั้งๆที่ขนาดบาตรของหลวงปู่นั้นเป็นบาตรขนาดกลาง ตามปกติแล้วกินกันแต่ ๕-๖ คนก็หมดแล้ว
พ่อประภาส บุญไชย จากในเมืองอุดรบอกว่า พ่อเล่าเรื่องของหลวงปู่พิบูลย์ให้ฟังดังนี้หลวงปู่เห็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์มีคุณธรรมสูงหาได้ยากในสมัยนั้น ท่านเป็นผู้มองการณ์ไกลด้วยญาณของท่าน ท่านสอนให้ชาวบ้านรักษาศีลธรรมเป็นผู้ซื่อสัตย์สุจริตให้ละเลิกอบายมุขไม่ให้ดื่มสุรายาเมา เล่นการพนัน ให้ทุกคนฝักใฝ่ในศีลธรรมนับตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านแดงก็อยู่เย็นเป็นสุขไม่เคยเกิดโรคภัยไข้เจ็บ เป็นเพราะบุญบารมีของหลวงปู่โดยแท้ นอกจากนั้นท่านยังเป็นผู้ถือธรรมปัญญาบารมี ๓๐ ทัศ และสั่งสอนอบรมชาวบ้านให้ถือธรรมปัญญาบารมี ให้ทุกคนสวดทุกเช้า-เย็นถือพระรัตนตรัยแก้ว ๓ ดวง คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ทุกบ้านเรือนทำหิ้งพระ(พากระหย่อง) เอาไว้กราบไหว้บูชาทุกบ้านเรือน
บ้านหลักใดมีหอปู่ตา หอผีสาง ให้รื้อทิ้งให้ถือธรรมะอย่างเดียว บ้านไหนหลังไหนมีผีให้เอาดินเอาหินที่หลวงปู่เสกไปหว่านขับไล่ผีจะหนีหมด จนมีคนเล่าขานถึงดินหินที่หลวงปู่ได้เสกว่า สามารถขับไล่จระเข้ที่มีอบู่ในหนองน้ำให้หนีหมด ดังเช่นที่หลวงปู่ได้ไปปราบจระเข้ที่กุดแห่ คำหมากแห้งที่หลวงปู่เคี้ยว ใครที่ได้มีติดตัวก็จะเป็นมงคลยิ่ง สามารถป้องกันภูตผีปีศาจ และสัตว์ร้ายได้แม้แต่ติดเข้าป่ายุงก็ยังไม่กัด จำตำนานเล่าเรื่องชาวบ้านและพระเณรที่พากันเข้าป่าไปตัดไม้ที่ดงไร่และดงใหญ่เพื่อมาก่อสร้างวัด ซึ่งมียุงชุกชุมและเป็นถิ่นไข้มาลาเรียแต่ก็ไม่มีใครเจ็บไข้ได้ป่วยเลย เป็นเพราะมีคำหมากแห้งติดตัวกันทุกคน
คำทำนายของหลวงปู่ขณะอยู่ในวัดโพธิสมภรณ์ใครมีเรื่องเดือดร้อนทุกข์ใจอันใดก็จะเล่าให้หลวงปู่ฟังและขอให้คำแนะนำช่วยเหลือ เช่น ปลัดสุรพล คำศรีระภาพ (น้องของคุณพ่อของพ่อประภาส บุญไชย) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ ได้เป็นปลัดตำบลบ้านเชียงพาชาวบ้านตัดถนนหนทางหลายสาย มีอยู่สายหนึ่งขณะทำการก่อสร้างถนน ได้ไปตัดต้นพลูของชาวบ้านจนมีการร้องทุกข์ และจะฟ้องร้องถึงอัยการ ปลัดสุรพลและพ่อจึงไปพบหลวงปู่เล่าให้ฟังว่าตัวเองกลุ้มใจเดือดร้อนมากเกรงว่าเรื่องจะถึงอัยการมีการฟ้องร้องตน หลวงปู่สอบถามว่าเป็นลูกใคร และก็ดูลายมือและบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องกลุ้มใจเรื่องใกล้จะเสร็จแล้ว” หลังจากนั้นประมาณเดือนเศษอัยการก็มีคำสั่งไม่ฟ้องและเรื่องก็ยุติลง
หลวงปู่ลอยผู้เลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่พิบูลย์ ซึ่งหลวงปู่ลอยเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งอยู่แถววัดโพธิสมภรณ์ วันหนึ่งควายที่เลี้ยงอยู่ ๕-๖ ตัวหายไปหาอย่างไรก็ไม่พบจนหมดปัญญาจะหาต่อ จึงไปให้หลวงปู่ทำนายให้ว่าตนเองจะได้ควายกลับคืนมาหรือไม่ หลวงปู่จึงบอกกับผู้ใหญ่บ้านลอยว่า “มันไม่ได้หายไปไหน เวลาประมาณบ่ายโมงให้ไปรอที่บ่อน้ำ มันจะมากินน้ำที่นั่น” และก็เป็นจริงตามที่หลวงปู่ทำนายไว้ สร้างความดีใจ และเลื่อมใสแก่ผู้ใหญ่ลอยมาก ภายหลังผู้ใหญ่ลอยกลับมา บวชพระอยู่วัดโพธิสมภรณ์ ได้ศึกษาประวัติหลวงปู่และบัญทึกไว้ที่กุฏิจำลอง บอกประวัติหลวงปู่ และสร้างรูปเหมือนหลวงปู่คล้ายกับก่อสร้างที่วัดพระแท่นตั้งอยู่ส่วนหลังของวัดโพธิสมภรณ์ ส่วนหลวงปู่ลอยผู้มีจิตศรัทธา และเลื่อมใสหลวงปู่ได้ตั้งมั่นที่จะอยู่กับหลวงปู่ตลอดไป จึงได้สร้างสถูปไว้เก็บอัฐิของหลวงปู่พิบูลย์ และรูปเหมือนของหลวงปู่พิบูลย์ ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ เมื่อหลวงปู่พิบูลย์มรณภาพแล้วศหลวงปู่พิบูลย์เก็บไว้ในสถูปเจดีย์ ตรงที่หลวงปู่ลอยได้หล่อรูปเหมือนประดิษฐานไว้ที่หลังวัดโพธิสมภรณ์ในปัจจุบันนี้
ต่อไปนี้ เป็นคำทำนายล่วงหน้าของหลวงปู่พิบูลย์ เพื่อให้เป็นแนวคิดแก่อนุชนคนรุ่นหลัง มีหลายเรื่องที่บอกไว้แต่ผู้เขียนไม่สามารถจำได้หมด มีคำต่างๆดังนี้ ต่อไปในภายภาคหน้า “ม้าจะมีเขา” ในปัจจุบันก็คือจำพวกรถจักรยานยนต์ “เสาจะออกดอก” ปัจจุบันคือเสาไฟฟ้า “แม่มาร(ผู้ตั้งครรภ์)ออกลูกไม่มีบ้านเรือน” ปัจจุบันต้องไปออกลูกที่โรงพยาบาล “จะไม่มีรอยเท้าของคนเดินดิน” ปัจจุบันคือคนจะไปไหนมาไหนต้องสวมรองเท้าขึ้นรถ “หญิงอายุมึ่ง ๑๕ จะผัวมีลูก” ข้อนี้ใจความปัจจุบันก็คือแต่งงานกันตั้งแต่อายุ ๑๒-๑๓-๑๔ ปี ดังที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน “หญิงออกจากบ้านมารท้องกรองน้ำตา” ปัจจุบันคือผู้หญิงไปได้เสียกับผู้ชายพอได้แล้วผู้ชายไม่รับผิดชอบจึงต้องอุ้มท้องร้องไห้กลับมาหาพ่อแม่ “ต่อไปต้นกัลปพฤกษ์จะเกิดขึ้นกลางบ้าน กลางเมือง” ปัจจุบันก็คือตลาดสด ตลาดนัดเคลื่อนที่มาลงตามหมู่บ้านทุกครึ่งเดือน “ต่อไปหญิงชายจะเหมือนกัน เมื่อมองดูแล้วจะไม่รู้ว่าหญิงหรือชายเมือนฝูงนกเขาไม่รู้ว่าตัวผู้ตัวเมีย” ปัจจุบันก็คือหญิงชายแต่งกายเหมือนกัน ไว้ผมสั้นผมยาวเหมือนกันหมด
“แคนวงเดียวหมอลำพอฮ้อย(ร้อยคน) นุ่งผ้าส่อย (ผ้าที่ถูกตัดทำเป็นริ้ว) ผ่าบ้านผ่าเมือง” ปัจจุบันคณะหมอลำใช้แคนอันเดียวแต่คนเป็นร้อย เช่น คณะหมอลำเรื่อง หมอลำซิ่ง และผู้คนจะใส่เสื้อผ้าแหวกหลังนุ่งน้อยห่มน้อย โชว์เนื้อโชว์ตัวสนามพิบูลย์รังสรรค์ที่หลวงปู่ได้ทำไว้นี้หลวงปู่บอกว่าเอาไว้ดูควายงาม วัวงาม หมายถึงเอาไว้เป็นสถานที่จัดงานรื่นเริงต่างๆเช่น หมอลำ งานประจำปี “ทางสิบคืนชาว(ยี่สิบ) คืนหย่อ (ย่อ) เป็นคราวมื้อ สิบแม่น้ำซาว แม่น้ำหย่อ เป็นแผ่นดินเดียวแขนสั้นยาวคาวตาลึก” อธิบายได้ว่าจะหย่นระยะการเดินทาง เช่น ไปกรุงเทพฯ แต่เมื่อก่อนเดินเท้าใช้เวลาเป็นแรมเดือนแต่ปัจจุบันไปเช้าเย็นกลับก็ได้ คำว่าแขนสั้นยาวคาวตาลึก ได้แก่การสั่งของทางโทรศัพท์ ส่วนคาวตาลึก ได้แก่การดูข่าวสารทั่วโลกทางโทรทัศน์
ส่วนสิบแม่น้ำซาวแม่น้ำหน่อเป็นแผ่นดินเดียว คือ การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเชื่อมต่อกันระหว่างหมู่บ้านกับหมู่บ้าน อำเภอกับอำเภอ จังหวัดกับจังหวัดจนถึงประเทศกับประเทศ หลวงปู่ยังทายต่อไปอีกว่า ถ้าบ้านเมืองไม่มีถนนหนทางเหมือนตาจีวรของพระภิกษุตราบนั้นบ้านเมืองยังไม่เจริญเต็มที่ ถ้าสร้างถนนหนทางเหมือนตาจีวรหรือดุจคันนาตามทุ่งนาเมื่อนั้นจึงจะเจิญเต็มที่ “เจ้าผู้เที่ยวทางเวิ้งเหิง(อ้อมไป)ไปมันสิค่ำ มัวแต่เก็บหมากหว้ามันสิซ่า (ช้า) ค่ำทาง” อธิบายได้ว่าการกิจการงานหน้าที่ต่างๆไม่อยู่ในกรอบศีลธรรม ทำในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ไม่พอจะเป็นบุญหน้า ในยามหนุ่มสาวมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ ยามแก่เฒ่าเข้าวัดไม่ทันได้ทำบุญกุศลก็ตายก่อน อีกบทหนึ่งว่า “เจ้าผู้ควายบักเลเฒ่านอนซำบ่อฮู้ค่ำ บัดตะเวน(ตะวัน) คำต้อยตัวเจ้าซิอ่าวหา” บทนี้อธิบายว่าคนเกิดมาในเมื่อถึงวัยเป็นหนุ่มเป็นสาวหลงมัวเมาสนุกสนานรื่นเริง ลุ่มหลงอยู่กับรูป รส แสง สี ลืมวันเดือนปี ไม่ได้บำเพ็ญกุศลคุณงามความดี พออายุแก่เฒ่ามาแล้วจะไปบำเพ็ญประโยชน์ก็ไม่ทันให้นั่งคิดคอยความตายเพียงอย่างเดียว
“เจ้าผู้ใช้หลังหล่าบ่หมานปลาน่ำเพิ่น(คนไปหาปลามาท้ายเพื่อนแต่ไม่ได้ปลาเหมือนเพื่อน)ยามฝนถืก(ถูก) แต่น้ำ ยามแล้งถืกแต่ลม” บทนี้อธิบายว่าเมื่อเกิดขึ้นมาเป็นคนไม่ได้บำเพ็ญกุศลคุณงามความดี อันเป็นที่พึ่งของตนเองในภายหน้า เมื่อเขาจัดงานบุญงานกุศลมัวเที่ยวเล่นสนุกสนานอย่างเดียวไม่หาบุญหากุศลใส่ตนเอง อันนี้ท่านบอกไว้ว่าเป็น “โมฆะบุรุษ” หมายถึงผู้ว่างเปล่าจากประโยชน์เกิดขึ้นมาเสียชาติเกิด อีกประการหนึ่งหลวงปู่ท่านได้แนะนำชาวบ้านญาติโดยมว่าบุคคลใดได้บวชลูกบวชหลานเข้ามาในพุทธศาสนาบุคคลนั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็นเครือญาติกับพระพุทธเจ้าถ้าใครไม่ได้บวชลูกบวชหลานเข้ามาไว้ในพุทธศานาย่อมไม่ได้เป็นเครือญาติกับพระพุทธเจ้า
บทอีกต่อไปว่าให้ญาติโยมทั้งหลายดูรอยมือรอยและจดจำรอยมือรอยเท้าของหลวงปู่ไว้ให้ดี ญาติโยมบางคนก็ขอดูรอยมือรอยเท้าของท่าน บางคนก็เห็นว่าเป็นดอกจันทร์หรือรูปจักรและมีรอยแดงๆฝังอยู่ หลวงปู่บอกว่า ถ้าจำอย่างนี้เมื่อนานไปคงจะไม่เห็น ให้จำลงไปลึกซึ้งกว่านี้อีก ที่จริงรอยมือของท่านก็คือสถานที่ที่ท่านสร้างและพัฒนาไว้ เช่น กุฏิ วิหาร ห้วยหนองคลองบึง คำว่ารอยเท้าก็คือถนนหนทางที่หลวงปู่พาชาวบ้านตัดไว้ให้ช่วยกันดูแลรักษาให้ยั่งยืนสืบถึงลูกถึงหลาน กับอีกคำหนึ่งว่า “ต่อไปผ้าเหลืองแต่งครองบ้านครองเมืองเด้อ” อันนี้เป็นคำพูดของหลวงปู่อย่างหนึ่งที่เคยพูดกับพระภิกษุและญาติโยมอยู่เสมอ ข้อนี้คงจะหมายความว่าพระสงฆ์จะเป็นผู้นำในการพัฒนาหมู่บ้านและวัด เป็นว่าแบบแปลนแผนผังทุกอย่างในการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ต้องมีพระนำหน้า พึงให้เห็นว่าชีวิตคนเราเกี่ยวเนื่องกับพระสงฆ์ตั้งแต่แรกเกิดกระทั่งตาย พระสงฆ์แป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้าน จะตั้งบ้านตั้งเมืองที่ไหนก็ต้องมีพระสงฆ์เป็นที่พึ่งทางใจมาตลอด พระสงฆ์จะเปรียบประหนึ่งเป็นครูเป็นอาจารย์
แต่ก่อนบ้านเมืองไม่เจริญยังเป็นบ้านป่าบ้านดงอยู่ แพทย์ หมออนามัย เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็วิ่งเข้าหาพระ โรงเรียนก็อยู่วัด พระเป็นทั้งผู้สอนผู้ให้ที่พักที่อาศัย ป่วยทางกายก็เข้าวัด ป่วยทางใจก็เข้าวัด พระสงฆ์ก็หายาให้กิน รดน้ำมนต์ผูกแขนให้เป่าให้ แตกร้าวสามัคคีกันพระก็เป็นผู้ช่วยประสานสามัคคีกัน เมื่อ้านเมืองเดือดร้อนพระสงฆ์ก็ก็ช่วยขับไล่ภูตผีปีศาจ ทำให้หมู่บ้านอยู่เย็นเป็นสุขทุกยุคทุกสมัยมาจนถึงปัจจุบัน ดังที่หลวงปู่ได้นำพาชาวบ้านแดงตั้งบ้านสร้างบ้านแดงมา
มีต่อค่ะ