ผู้เขียน หัวข้อ: น้องต๊ะ สนทนากับพี่หนุ่ม  (อ่าน 13049 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
.

ภาพ : สมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุง

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6397.msg26197.html#msg26197
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 01, 2011, 10:33:38 am โดย sithiphong »
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
    หมายเหตุ
    อารมณ์คือกระแสของจิต (คลื่นอารมณ์) โดยหลวงพ่อฤาษี
    เรื่องจริต ๖ โดยหลวงปู่ตื้อ

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6397.0.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 01, 2011, 10:31:57 am โดย sithiphong »
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
เรื่องจริต ๖ โดย หลวงปู่ตื้อ

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6397.0.html

.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 01, 2011, 10:26:29 am โดย sithiphong »
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
 :13: อนุโมทนาครับพี่หนุ่ม
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ ต๊ะติ้งโหน่ง

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 259
  • พลังกัลยาณมิตร 76
    • ดูรายละเอียด
 :25: :25: :25:


ทรง ตำหนิพวกอุบาสกเรื่องอุโบสถศีล

สมัยนั้น พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธาราม ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ ในสักกชนบท ในครั้งนั้นพวกอุบาสกชาวสักกชนบทเป็นอันมากได้

เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึง ทีประทับในวันอุโบสถพระพุทธเจ้าได้ตรัสถามว่า “อุบาสกชาวสักกชนบททั้งหลาย ! พวกท่าน

ยังรักอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ อยู่แลหรือ ?”พวกอุบาสกเหล่านั้นกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บางคราวพวก

ข้าพระองค์ก็รักษาอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ บางคราวก็ไม่ได้รักษาพระพุทธเจ้าข้า”พระพุทธองค์ทรงติเตียนว่า

“อุบาสกชาวสักกะทั้งหลาย !

?

ไม่เป็นลาภของท่านเสียแล้ว ท่านไม่ได้ดีเสียแล้ว เมื่อชีวิตมีภัยเพราะความโศกและมีภัยเพราะความตายอยู่อย่างนี้ เหตุใดจึงไม่รักษา

?

อุโบสถเล่า ? ท่านจะเห็นอย่างไร ? คนในโลกนี้พึงหาทรัพย์ได้ทุกวัน ด้วยการงานอันชอบโดยไม่แตะต้องอกุศลเลย สมควรจะกล่าว

ได้หรือไม่ว่าเป็นคนฉลาด สมบูรณ์ด้วยความหมั่น ?”ในตอนท้ายทรงสอนให้ไม่ประมาท ไม่ให้หลงอยู่ในทรัพย์สินและกามคุณ อัน

เป็นของไม่เที่ยง เป็นของว่างเปล่า เป็นของหลอกลวง เป็นของมีความฉิบหายไปเป็นธรรมดา อุบาสกเหล่านั้นต่างพากันเห็นแจ้ง และ

กราบทูลรับว่าจะรักษาอุโบสถตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปสักกสูตร ๒๔/๘๖ส่วนเสริมการรักษาอุโบสถศีล เป็นการพัฒนาศีลหรือพัฒนากาย

และวาจาขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง เป็นการท้าทายทางความดีที่ผู้มีศีล ๕ อยู่เป็นปกติแล้วน่าจะลองชิมดู นับว่าเป็นความละเอียดอ่อนของศีล

ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งทุกคนจะทำได้ไม่ยากนัก เพราะเราไม่ได้ทำเป็นประจำ เราทำเพียง ๗ วันครั้งเท่านั้น มันจะยากกระไรนักเชียว

?ผู้เขียนกลับเห็นว่าอุโบสถศีล น่าจะเป็นบทเรียนที่แก้ความเบื่อหรือความเคยชินที่ดีมาก เพราะโดยปกติของชีวิตปุถุชนนั้น เมื่อทำ

อะไรซ้ำซากจำเจนานๆ มันก็ย่อมจะไม่พ้นความเบื่อหรือความเซงไปได้ การพัฒนาศีลด้วยการเปลี่ยนมารักษาอุโบสถ จึงน่าจะเป็นวิถี

ทางแก้ความเบื่อหรือเซงได้อย่างดีแต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่เคยรักษาอุโบสถมาก่อนก็ขออย่าได้ตั้ง “กำแพงใจ” ไว้ก่อน ว่าการรักษา

อุโบสถเป็นของยาก ต้องอดอาหารมื้อเย็น เป็นการทรมาน จะหิว จะลำบาก จะเกิดโรคกระเพาะ จะเกิดอะไรต่างๆ นานา ถ้าใครยังมี

ความคิดเห็นเช่นนี้อยู่ ก็ขอให้ขนเอาไปทิ้งทะเลเสียให้หมดเถิด ไม่มีมูลความจริงเลย เป็นเรื่องของการหลอกตัวเองชัดๆ ในปัจจุบันนี้

หมอหลายท่าน ก็ไม่กินข้าวเย็น เพราะเห็นว่าไม่มีความจำเป็น กินแล้วก็นอนไม่ได้ ใช้พลังงานอะไรเลย มีแต่จะทำให้อ้วนเพราะส่วน

เกิน และเมื่ออ้วนกายแล้ว โรคมันก็จะพลอยอ้วนตามมาด้วยจิตนี้มีความสำคัญมาก เมื่อจิตมันยอมรับว่า ไม่ต้องกินมื้อเย็นก็ได้ มันก็

จะสั่งระบบการย่อยหรือประสาทต่างๆ ให้ไม่ต้องมาคอยย่อยอาหาร เมื่อจิตไม่สั่งน้ำย่อยก็ไม่มาเหมือนเราไม่นึกถึงของที่เปรี้ยว

น้ำลายก็ไม่ ไหล ฉะนั้นอย่าว่าแต่จะอดอาหารเพียงวันละมื้อเลย แม้อดทั้งวันก็ยังไม่หิวถ้าใจไม่นึก จงดูคนที่เขานั่งเล่นไพ่เถิด แม้เล่น

กันตั้ง ๒,๓ วัน ไม่กินข้าวเขาก็ยังอยู่ได้ เพราะจิตของเขาถูกโลภะเข้าครอบงำ อันเป็นจิตฝ่ายกิเลสเสียด้วยซ้ำ ก็การรักษาอุโบสถเป็น

ฝ่ายบุญฝ่ายกุศล มีแต่ความปลื้มใจ อิ่มใจ ถ้ายิ่งบำเพ็ญสมาธิ สติ หรือวิปัสสนา ประกอบด้วย ก็ยิ่งจะเกิดความสุขที่ละเอียดอ่อนและ

ประณีตยิ่งขึ้นไปกว่ากินอาหารหลากหลาย นักสำหรับชาวบ้านผู้ครองเรือน และเป็นชาวพุทธด้วย ถ้าไม่เคยรักษาอุโบสถเลย ก็นับว่า

เสียชาติเกิดมาเป็นชาวพุทธกะเขาทั้งที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นอุบาสิกาด้วยก็ควรที่จะให้ความสนใจเป็นพิเศษ พิเศษยังไง ? ก็เพราะ

อุบาสิกานั้นไม่มีโอกาสจะบวชพระกับเขากล่าวคือ ไม่มีโอกาสได้ชิมรสของการอดข้าวเย็นกะเขาในชาตินี้ ถ้าไม่บวชชี แต่ท่านจะเป็น

นักบวชจำลองกับเขาได้ด้วยการรักษาอุโบสถศีล เพราะนอกจากจะต้องงดอาหารมื้อเย็นแล้ว ยังต้องนอนในศาลาวัด ซึ่งก็มีสภาพไม่

ต่างอะไรกับพระหรือชีมากนักดังนั้น รักษาอุโบสถศีลเพียง ๗ วันครั้งนี้ นอกจากท่านจะไม่ถูกพระพุทธเจ้าทรงตำหนิอย่างพวกอุบาสก

ชาวสักกะแล้ว ท่านยังจะได้ลิ้มชิมรสความแปลกใหม่ที่ท่านจะหาไม่ได้จากการรักษาศีล ๕ อีกด้วย


ออฟไลน์ ต๊ะติ้งโหน่ง

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 259
  • พลังกัลยาณมิตร 76
    • ดูรายละเอียด
"""""ท้ายที่สุดพระพุทธเจ้าได้ตำหนิพระสุนักขัตตะอย่างรุนแรงว่า "โมฆบุรุษ แล้วอย่างนี้เธอยังจะมากล่าวว่าเรา""""""


 :25: :25: :25:

ออฟไลน์ ต๊ะติ้งโหน่ง

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 259
  • พลังกัลยาณมิตร 76
    • ดูรายละเอียด
 :25: :25: :25:

ทรงตำหนิแล้วทรงบัญญัติสิกขาบท

เนื้อความแห่งสิกขาบทที่ ๙ ในโภชนวรรค พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค ๒ เล่มว่า
สมัยหนึ่ง พระฉัพพัคคีย์(กลุ่มภิกษุ ๖ รูป)ออกปากขอโภชนะอันประณีตมาเพื่อตนแล้วฉัน
ความทราบถึงพระพุทธเจ้า ทรงตำหนิแล้วทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ว่า

" ก็ภิกษุใดออกปากขอโภชนะอันประณีตเช่นนี้ คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ปลา เนื้อ นมสด นมส้ม มาเพื่อตนแล้วฉัน ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ "

 ต่อมามีกรณีภิกษุเป็นไข้ ไม่กล้าออกปากขอโภชนะอันประณีตมาเพื่อตนแล้วฉัน จึงไม่หายจากอาการไข้
ความทราบถึงพระพุทธเจ้า จึงทรงอนุญาตให้ออกปากขอโภชนะอันประณีตมาเพื่อตนแล้วฉันได้
ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้เป็นอนุบัญญัติว่า
" อนึ่ง ภิกษุไม่เป็นไข้ ออกปากขอโภชนะอันประณีตเช่นนี้ คือ เนยใส เนย ข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย
ปลา เนื้อ นมสด นมส้ม มาเพื่อตนแล้วฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ "

เนยใส เนยข้น คงถือกันว่าเป็นอาหารชั้นดี  บำรุงร่างกาย หรือมีประโยชน์ช่วยให้คลายเจ็บป่วยได้

ออฟไลน์ ต๊ะติ้งโหน่ง

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 259
  • พลังกัลยาณมิตร 76
    • ดูรายละเอียด
 :25: :25: :25:

ถามคำถามคุณพี่หนุ่มครับ

ว่า โลกใด ภพใด กาลสมัยใด  ที่มีพระพุทธเจ้า สองพระองค์ อุบัติในกาลเดียวกัน

เอาพระไตรปิฎกมายืนยันด้วยอ่า

พระพุทธเจ้าองค์ปฐม  และพระสมณโคดม
จักสามารถ ปรากฎในกาลเดียวกันได้หรือ ?


ออฟไลน์ ต๊ะติ้งโหน่ง

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 259
  • พลังกัลยาณมิตร 76
    • ดูรายละเอียด
 :25: :25: :25:

สัจธรรมมีเพียงหนึ่ง

ธรรมะแท้ ต้องพิสูจน์ได้
ต้องมีพระไตรปิฎกรองรับได้

ถามคำถามคุณพี่หนุ่มครับ

ไม่ใช่กล่าวอ้างชื่อมาลอยๆๆ

พระพุทธเจ้า จักสามารถอุบัติ ในกาลเดียวกัน ได้สองพระองค์จริงหรือ

สมัยของพระสมณโคดม สิ้นสุดลงแล้วหรือ จึงปรากฎพระพุทธเจ้าพระองค์อืนในสมัยพระสมณโคดม