ริมระเบียงรับลมโชย > ธรรมะอินเทรนด์ - ธรรมะติดปีก
56 ปี "สตีฟ จ็อบส์" ชายผู้เป็นมากกว่าตำนาน
มดเอ๊กซ:
56 ปี "สตีฟ จ็อบส์" ชายผู้เป็นมากกว่าตำนาน
แกไม่ตาย ดอก ไม่เคยตายเลย จากใจผม และ คนทั้งโลก ขอบคุณครับ
สู่ สุขคติเถิด ท่าน สู่แดนแห่งนิรทุกข์ สวนแห่งพระเจ้า ใต้ร่มเงาแห่งพระองค์
... คน ๆ นี้ มี วิถีชีวิต น่าสนใจ น่าศึกษา โดย เฉพาะเรื่องจิตวิญญาณ
ภาษาใจ ภาษาที่อบอวนด้วยจิตวิญญาณ ของเขาหอมมาก สดชื่นดี
มีกลิ่นอายของ โลกตะวันออก พุทธด้วย โดยเฉพาะ เซน
มุมมอง ต่อโลก ชีวิต ความตาย โลกภายใน สวยงาม ทรงพลังมาก
เขามี ส่วนผสมระหว่าง โลกแห่งเทคโนโลยี ล้ำยุค และ โลกแห่งจิตวิญญาณ
ผมลงไปแล้ว เชิญสัมผัสได้ นะ สาธุ
มดเอ๊กซ:
Rest in peace Steve Jobs
"การเป็นคนรวยที่สุดในสุสานไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ แต่การที่ผมได้นอนหลับบนเตียงและพูดว่า วันนี้เราได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ทิ้งไว้ให้กับโลก คือสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุด"
คือคำพูดที่สตีฟ จ็อบส์ กล่าวไว้ในช่วงปี 1993 และอาจทำให้หลายคนอดนึกถึงไม่ได้เมื่อวันที่ จ็อบส์ ได้ลาจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ
"จ็อบส์ ได้ทิ้งสิ่งมหัศจรรย์ไว้กับโลกมากมาย ตั้งแต่ แมคอินทอชจนถึงไอแพด" คือคำกล่าวของสังคมทวิตเตอร์และเฟสบุ๊กในหลายประเทศ และเป็นสิ่งชี้ให้เห็นว่า จ็อบส์ พูดและทำได้จริงตามคำกล่าวด้านบน
แน่นอนว่าเขาเป็นมากกว่าตำนาน เพราะจ็อบส์ไม่ได้เป็นผู้สร้างสรรเทคโนโลยีหรือเป็นผู้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้แก่โลกเพียงอย่างเดียว แต่จ็อบส์คือนักคิด นักพูด นักศิลปะ และเป็นตัวอย่างของนักสู้ ที่ทนต่อสู้กับมะเร็งโรคร้ายเป็นเวลามากกว่า 8 ปี โดยไม่ทิ้งบริษัทให้เดินลำพัง จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ตลอดระยะเวลา 56 ปี ตั้งแต่เด็กชายจ็อบส์ถึงซีอีโอแอปเปิลได้สร้างสิ่งที่เป็นมากกว่าตำนานให้แก่โลกมากมาย แต่ชีวิตทุกชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุกสิ่งต้องมีจุดเริ่มต้นและแรงผลักดัน...
24 กุมภาพันธ์ 1955 - เด็กชายที่กลายเป็นผู้เปลี่ยนโลกเทคโนโลยีลืมตาขึ้นมาดูโลก ในช่วงที่มารดาที่แท้จริงยังเป็นนักศึกษา ส่งผลให้พ่อ-แม่บุญธรรม อย่างพอล และคลาร่า จ็อบส์ รับไปเลี้ยง ในเมืองเมาเทนวิว ซานต้า คลาร่า เคาน์ตี้ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย และให้ชื่อเด็กชายผู้นั้นว่า 'สตีฟ พอล จ็อบส์'
ปี 1972 - หลังเข้ารับการศึกษาที่ Reed College ในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ได้เพียงเทอมเดียว จ็อบส์ เลือกที่จะพักการเรียนจากเหตุผลว่าไม่เห็นความน่าสนใจของสิ่งที่เขาเรียนอยู่ และหันไปลงเรียนเฉพาะวิชาที่ตนเองสนใจ ก่อนจะตัดสินใจเลิกเรียนถาวรโดยที่ไม่จบการศึกษาจากมาหวิทยาลัย
ปี 1974 - จ็อบส์ กลับมายังแคลิฟอร์เนีย ในฐานะพนักงานผลิตและออกแบบแผ่นวงจรที่บริษัทผลิตเกมชื่อดังอย่าง อาตาริ (Atari) ซึ่งจากการทำงานในครั้งนี้ ทำให้จ็อบส์ ได้พบกับ สตีฟ วอซเนียก ในปีถัดมา
1 เมษายน 1976 - จ็อบร่วมงานกับ วอซเนียก และ รอน เวนย์ ในการผลิตคอมพิวเตอร์เครื่องแรกอย่าง Apple I ที่ถูกส่งตรงจากโรงรถในบ้านพักของจ็อบส์ ตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 666.66 เหรียญสหรัฐฯ (ล่าสุดมีนักสะสมชาวอิตาลีประมูลไปในปี 2010 ที่ราคา 213,600 เหรียญ หรือราว 6 ล้านบาท)
16 เมษายน 1977 - คอมพิวเตอร์ Apple II ออกสู่ตลาด
ธันวาคม 1980 - บริษัท แอปเปิล คอมพิวเตอร์ กลายเป็นบริษัทมหาชน และเปิดขายหุ้นแก่สาธารณะในราคา 2.75 เหรียญฯ ซึ่งขณะนั้นรวบรวมเงินทุนได้ทั้งหมด 110 ล้านเหรียญ (ปัจจุบัน หุ้นของแอปเปิลปิดตลาดอยู่ที่ 378.25 เหรียญ)
ปี 1982 - มูลค่ารวมของ แอปเปิล คอมพิวเตอร์ พุ่งขึ้นสู่ 1 พันล้านเหรียญ
มกราคม 1983 - แอปเปิล เผยโฉมคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มาพร้อมกับกราฟิก ยูสเซอร์อินเตอร์เฟส ในชื่อ ลิซ่า (Lisa) ตั้งราคาจำหน่ายที่ 9,995 เหรียญ พร้อมกับจ้าง จอนห์ สกัลลีย์ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท เปปซี่-โคลา มาดำรงค์ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของแอปเปิล
24 มกราคม 1984 - แอปเปิล เผยโฉมเครื่อง แมคอินทอช ในราคา 2,500 เหรียญฯ ซึ่งกลายเป็นคอมพิวเตอร์ที่มาเปลี่ยนอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ในภายหลัง
กันยายน 1985 - จ็อบส์ ลาออกจาก แอปเปิล คอมพิวเตอร์ หลังจากนั้นได้ก่อตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์ขึ้นมาใหม่ ชื่อว่า เน็กซ์ (NeXT)
กุมภาพันธ์ 1986 - จ็อบส์เข้าซื้อกิจการ จอร์ส ลูคัส คอมพิวเตอร์ กราฟิก ในราคา 10 ล้านเหรียญ และเปลี่ยนชื่อเป็น พิกซาร์ อิงค์ (Pixar Inc)
กุมภาพันธ์ 1993 - เน็กซ์ ซึ่งอยู่ในความดูแลของสตีฟ จ็อบส์ ตัดสินใจเลือกผลิตคอมพิวเตอร์ หันมาพัฒนาทางด้านซอฟต์แวร์โดยเฉพาะ และปลดพลักงานกว่าครึ่งจากทั้งหมด 540 คน
พฤศจิกายน 1995 - พิกซาร์ ทำรายได้มหาศาลจาก ทอย สตอรี่ (Toy Story) โดย จ็อบส์ เป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้าง ก่อนที่จะขายบริษัทให้ ดิสนีย์ ในราคา 7,400 ล้านเหรียญภายหลัง
20 ธันวาคม 1996 - แอปเปิล ตัดสินใจเข้าซื้อกิจการ เน็กซ์ ในมูลค่า 430 ล้านเหรียญฯ สำหรับระบบปฏิบตัการ ทำให้จ็อบส์ กลับมาเป็นที่ปรึกษาของบริษัทในส่วนของซอฟต์แวร์ แมคอินทอช ขณะเดียวกันยังได้แต่งตั้ง กิล อแมลีโอ มาดำรงค์ตำแหน่งซีอีโอ
9 กรกฏาคม 1997 - 17 เดือนให้หลัง กิล ถูกกดดันให้ลากออก ส่งผลให้จ็อบส์ ขึ้นมาเป็นรักษาการซีอีโอ ระหว่างค้นหาผู้ที่จะมาดำรงค์ตำแหน่งแทน จ็อบส์เรียกตำแหน่งนี้ว่า 'iCEO : interim CEO'
6 สิงหาคม 1997 - ภายในงาน แมคเวิลด์ จ็อบส์ ประกาศว่าคู่แข่งตลอดการของแอปเปิล อย่างไมโครซอฟท์ จะร่วมลงทุน 150 ล้านเหรียญ พร้อมกับแต่งตั้ง แลร์ลี่ แอลลิสัน ซีอีโอจากออราเคิล ขึ้นมาดูแล (Edited)
พฤษภาคม 1998 - แอปเปิลกลับมาลุยในตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล จากการเปิดตัว iMAc ในรูปแบบออลอินวัน พีซี ที่ราคา 1,299 เหรียญ หลังจากนั้นผลิตภัณฑ์ตระกูล i เริ่มออกสู่ตลาดอย่าง iBook
5 มกราคม 2000 - หลังจากรับหน้าที่ iCEO มา 2 ปีครึ่ง สุดท้ายแอปเปิล ก็แต่งตั้งให้จ็อบส์ ขึ้นเป็นซีอีโอ และภายในปีเดียวกันได้มีการเปิดตัวระบบปฏิบัติการ Mac OS X พร้อมระบุว่าภายใน 10 ปีข้างหน้าแอปเปิลจะกลายเป็นหนึ่งใน 10 บริษัทไอที ที่ประสบความสำเร็จมาก
9 มกราคม 2001 - จ็อบส์ เปิดตัว ไอจูนส์ 'iTunes' ซึ่งกลายเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ค่ายเพลงกลับมามีชีวิตอีกครั้งจากการให้บริการดาวน์โหลดเพลง
24 มีนาคม 2001 - จัดส่ง Mac OS X 10.0 ในชื่อโค้ดเนม ชีต้าส์ (Cheetah) ออกสู่ตลาด
พฤษภาคม 2001 - แอปเปิล เปิดร้านค้าปลีกแห่งแรกที่ แมคลีน เวอจีเนีย และ เกล็นเดล แคลิฟอร์เนีย หลังหวังที่จะขยายไปกว่า 300 สาขาทั่วโลก
23 ตุลาคม 2001 - จ็อบส์ ขึ้นเวทีร่ายมนต์สะกดให้แก่ชาวไอทีทั่วโลก จากการเปิดตัวเครื่องเล่นเพลงแบบพกพา 'ไอพอด' ที่สามารถจัดเก็บเพลงเอ็มพีสาม ได้มากกว่า 1,000 เพลง ในราคา 399 เหรียญ
28 เมษายน 2003 - คลังเพลงบนไอจูนส์ มีเพลงมากกว่า 200,000 จาก 5 ค่ายเพลงชื่อดัง นอกจากนี้ไอจูนส์ยังสามารถขายเพลงได้มากกว่า 1 ล้านเพลงในสัปดาห์แรก
ตุลาคม 2003 - จ็อบส์ เริ่ม ป่วยและมีอาการทรุดโทรมจากผลของมะเร็ง ซึ่งถูกเปิดเผยภายหลังจากนิตยสารฟอร์จูนว่า จ็อบส์เลือกที่จะทานอาหารเพื่อสุขภาพแทนการผ่าตัด
1 สิงหาคม 2004 - ชายวัย 49 ปี ถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับ ซึ่งจ็อบส์ระบุว่าเขาตัดสินใจที่จะผ่าตัดเพื่อรักษามะเร็ง โดยไม่ต้องการทำคีโม หรือฉายรังสี ทำให้ ทิมคุก ซึ่งเป็น ซีโอโอ ในขณะนั้นขึ้นมารับช่วงต่องานจนกระทั่งจ็อบส์กลับมาทำงานในเดือนกันยายน
12 มิถุนายน 2005 - จ็อบส์ เริ่มพูดถึงเรื่องมะเร็งต่อสาธารณะชน ภายในงานปาฐกถา ที่มหาวิทยาลัย สแตนฟอร์ด โดยมีคำพูดบางส่วนว่า เขาได้รับรู้เรื่องโรคมะเร็งมาปีกว่าแล้ว ซึ่งขณะนั้นหมอบอกว่าเขาจะมีชีวิตได้ไม่เกิน 6 เดือน แต่ขณะนี้เขาสบายดีแล้ว เพราะมะเร็งตับถูกผ่าตัดออกไปแล้ว
มกราคม 2006 - วอล์ท ดิสนีย์ ตัดสินใจเข้าซื้อกิจการ พิกซาร์ ในราคา 8.06 พันล้านเหรียญ แล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้จ็อบส์กลายเเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของดิสนีย์ไปโดยปริยาย
9 มกราคม 2007 - จ็อบส์ขึ้นร่ายมนต์สะกดอีกครั้งหนึ่งภายในงาน แมคเวิลด์ เพื่อเผยโฉมสมาร์ทโฟนที่มาพลิกโฉมอุตสาหกรรมอย่าง ไอโฟน (iPhone) ซึ่งทำรายได้มากกว่า 1 พันล้านเหรียญฯ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อษริษัท แอปเปิล คอมพิวเตอร์ กลายเป็น แอปเปิล
9 มิถุนายน 2008 - เพียงปีกว่าๆหลังจากนั้น จ็อบส์ ขึ้นเวทีอีกครั้งในงานสำหรับนักพัฒนาของแอปเปิล เพื่อโชว์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่อย่าง iPhone 3G ที่บางขึ้น พร้อมกับความสามารถที่เพิ่มขึ้น
21 กรกฏาคม 2008 - แอปเปิล ออกแถลงการเกี่ยวกับสุขภาพของสตีฟ จ็อบส์ หลังมีภาพน้ำหลักลด ไปจนถึงข่าวลือการเสียชีวิตส่งผลให้หุ้นของแอปเปิลร่วงถึง 12% ในวันถัดไป
9 กันยายน 2009 - จ็อบส์เผยโฉมเครื่องเล่นเพลงพกพา ไอพอด รุ่นใหม่ในซานฟรานซิสโก และกล่าวเหน็บภายในงานเกี่ยวกับข่าวลือเรื่องการเสียชีวิตของเขาว่าเป็นการพูดเกินความจริง
16 ธันวาคม 2008 - มีการจัดงานแมคเวิลด์ขึ้นอีกครั้ง แต่สตีฟ จ็อบส์ ไม่ได้ปรากฏกายภายในงาน
5 มกราคม 2009 - จ็อบส์ ออกมาอธิบายเหตุผลที่ตนน้ำหนักลดลง เกิดจากความผิดปกติทางฮอร์โมน ซึ่งอยู่ในระหว่างการรักษาตัว
14 มกราคม 2009 - สตีฟ จ็อบส์ เขียนอีเมลลางานเพื่อรักษาตัวถึงเดือนมิถุนายน โดยบอกว่าโอนหน้าที่ของตัวเองให้ ทิม คุก รับผิดชอบงานบริหารแทนไปก่อน
29 มิถุนายน 2009 - แอปเปิล ประกาศว่า สตีฟ จ็อบส์ กลับมาทำงานแล้ว ทำให้หุ้นของแอปเปิลพุ่งสูงขึ้นกว่า 70% เมื่อเทียบกับวันที่ 15 มกราคม
9 กันยายน 2009 - ขึ้นเวทีโชว์ตัวแก่สาธารณะชนครั้งแรก หลังจากพักรักษาตัว พร้อมกับเปิดตัว ไอพอด รุ่นใหม่ ที่ซานฟรานซิสโก อีกครั้ง
27 มกราคม 2010 - ขึ้นเปิดตัวแท็บเล็ตนาม ไอแพด (iPad) ที่กลายเป็นอีกหนึ่งสินค้าปฏิวัติอุตสาหกรรม ทั้งนี้แอปเปิลสามารถขาย ไอแพด ได้ทั้งหมด 7.3 ล้านเครื่องภายในไตรมาสเดียว
17 มกราคม 2011 - จ็อบส์ส่งอีเมลถึงพนักงงานแอปเปิลอีกครั้งเพื่อลางานรักษาตัว พร้อมระบุว่า ตนเองรักแอปเปิลมาก และหวังว่าจะกลับมาทำงานให้เร็วที่สุด ทิม คุก ขึ้นรับหน้าที่แทนจ็อบส์อีกครั้งหนึ่ง
2 มีนาคม 2011 - จ็อบส์กลับมาจากการพักรักษาตัว พร้อมขึ้นเวทีเปิดตัว ไอแพด 2
24 สิงหาคม 2011 - จ็อบส์ตัดสินใจลาออกจากการเป็นซีอีโอ และผลักดันให้ทิม คุก ขึ้นรับตำแหน่งแทน
5 ตุลาคม 2011 - รายงานล่าสุด คาดการ์ณว่าโรคมะเร็งได้คร่าชีวิต 'สตีฟ พอล จ็อบส์' ภายในบ้านพักเมือง พาโล อัลโต รัฐ แคลิฟอร์เนีย
http://www.youtube.com/watch?v=2B-XwPjn9YY#
วิดีโอเปิดตัว Macintosh ในปี 1984 ซึ่งโด่งดังมากในยุคนั้น
http://www.youtube.com/watch?v=IBMR3FUNsD4#
จ็อบส์กับลีลากระฉับกระเฉงระหว่างอธิบายแอปเปิล สโตร์
http://www.youtube.com/watch?v=vXTXmq5z2tM#ws
งาน WWDC 2011 เมื่อเดือนมิถุนายน คือการขึ้นเวทีครั้งสุดท้ายของจ็อบส์
ขอบคุณภาพทั้งหมดจาก google, yahoo, datensklaven.deๅ, onlypics.info
http://www.manager.co.th/CBiZReview/ViewNews.aspx?NewsID=9540000127415[/URL]
มดเอ๊กซ:
ย้อนประวัติ “สตีฟ จ็อบส์” ซีอีโอผู้เปลี่ยนแปลงโลกไอที
กว่าที่แอ๊ปเปิ้ลจะมาเป็นบ.เทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกหรือราว 350,000 ล้านดอลลาร์ “สตีฟ จ็อบส์” คือผู้มีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโลก สตีฟ จ็อบส์ เกิดเมื่อวันที่ 24 ก.พ.1955 โดยเขาออกจากวิทยาลัยก่อนที่จะเรียนจบ เพื่อมาก่อตั้งบริษัทที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาในฐานะผู้คิดค้นนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีด้วยวัยเพียง 21 ปี โดยเขาร่วมกับเพื่อนคือนายสตีฟ วอซเนียค ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทที่ใช้ชื่อว่า “แอ๊ปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ อิงค์” ในโรงรถของครอบครัวเมื่อปี 1976 โดยนายจ็อบส์เป็นผู้ตั้งชื่อดังกล่าว เนื่องจากตัวเขาเองเป็นแฟนคลับของวงเดอะ บีตเทิล และชื่นชอบค่ายเพลงแอ๊ปเปิ้ล
ก่อนที่ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมานายจ็อบส์ได้เผชิญกับโรคร้าย และได้ผ่านการผ่าตัดเปลี่ยนตับอ่อนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเขาตัดสินใจขอลงจากตำแหน่งซีอีโอของบริษัท และส่งไม้ต่อให้ทิม คุก เป็นผู้ดูแลแทน ก่อนจะจากไปและมีแถลงการณ์จากบริษัทออกมาอย่างเป็นทางการในเช้าตรู่ของวันที่ 5 ต.ค. หรือ 1 วันให้หลังจากงานเปิดตัวไอโฟน 4เอส รวมเป็นเวลาที่เขาอยู่ในแวดวงของอุตสาหกรรมไอทีราว 35 ปี
โดยนายคุกได้ส่งสารถึงพนักงานว่า “แอ๊ปเปิ้ลได้สูญเสียอัจฉริยะผู้มีวิชั่น และความคิดสร้างสรรค์ ในขณะที่โลกก็ได้สูญเสียบุคคลากรผู้สร้างความมหัศจรรย์ให้กับโลกใบนี้ ดังนั้นเราจะยังคงสานต่อภารกิจดังกล่าวด้วยการทุ่มเทเพื่อทำงานที่เขารักมากที่สุด”
ทั้งนี้ สตีฟ จ็อบส์ ผู้ร่วมก่อตั้งแอ๊ปเปิ้ล อิงค์ เกิดเมื่อปี 2497 ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย มีมารดาเป็นชาวอเมริกัน และบิดาเป็นชาวซีเรีย มารดามอบให้คนอื่นเลี้ยง หลังมีอายุได้เพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น
บ้านของครอบครัวบิดามารดาบุญธรรม ตั้งอยู่ใกล้กับซิลิคอน วัลเลย์ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว กำลังเริ่มเฟื่องฟูในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยี โดยจ็อบส์ ได้งานแรกตั้งแต่อายุ 12 ปี จากการโทรศัพท์หาบิล ฮิวเลตต์ ผู้ก่อตั้งฮิวเลตต์ แพคการ์ด ที่บ้านพักของเขา
ในวัยเด็ก จ็อบส์ได้เรียนข้ามชั้น เพราะมีไอคิวสูง แต่ต่อมาต้องโดนไล่ออก เพราะก่อเรื่องหลายครั้ง อาทิ นำงูไปปล่อยในห้องเรียน
จ็อบส์เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้เทอมเดียว ก็ออก และไปทำงานกับอาตาริ บริษัทวิดีโอเกม ที่เพิ่งเปิดได้ไม่นานนัก จนกระทั่งเก็บเงินได้มากพอ สำหรับการเดินทางไปเรียนรู้ในเรื่องจิตวิญญาณที่อินเดีย
หลังกลับจากอินเดีย ในปี 2513 จ็อบส์ได้ชักจูงสตีฟ วอซเนียก ให้ลาออกจากงาน มาเปิดบริษัทร่วมกัน ขายคอมพิวเตอร์ที่วอซเนียกเป็นคนออกแบบ ซึ่งจ็อบส์ก็ใช้เวลาไม่นาน สามารถขายคอมพิวเตอร์ให้กับร้านค้าท้องถิ่นได้ 50 เครื่อง และแอ๊ปเปิ้ลก็เริ่มต้นธุรกิจขึ้น โดยมีวอซเนียก เป็นผู้ออกแบบสินค้า ส่วนจ็อบส์ ทำหน้าที่นักการตลาด
ความสำเร็จของจ็อบส์ มักทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในโลกบ่อยครั้ง เช่นเดียวกับความล้มเหลวของเขาด้วย
ใน จำนวนนี้รวมถึง การเปิดตัว “ลิซ่า” คอมพิวเตอร์ที่จ็อบส์ตั้งชื่อตามลูกสาว เมื่อปี 2526 ปีเดียวกับที่ว่าจ้างจอห์น สคูลลี อดีตผู้บริหารเป็ปซี่โค เข้ามาบริหารจัดการแอ๊ปเปิ้ล ให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น
ลิซ่า ที่มีราคาแพง ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในด้านพาณิชย์ แต่ก็เป็นจุดกำเนิดให้กับกับแม็คอินทอช คอมพิวเตอร์ยอดนิยมเครื่องแรกที่ใช้กราฟฟิกอินเตอร์เฟซ
สคูลลี ไล่จ็อบส์ออกเมื่อปี 2528 และเกือบทำให้บริษัทล้มละลาย ก่อนที่จ็อบส์จะกลับเข้ามากอบกู้สถานการณ์ในปี 2540
การโดนไล่ออก ทำให้จ็อบส์หมดความมั่นใจลงไปมากพอดู แต่ระยะเวลาที่อยู่ห่างจากแอ๊ปเปิ้ล เขาก็สร้างผลงานได้อย่างดีเยี่ยมเช่นกัน
จ็อบส์ทุ่มเงิน 10 ล้านดอลลาร์ เข้าซื้อกิจการหน่วยงานด้านดิจิทัล แอนิเมชั่น มาจากจอร์จ ลูคัส ผู้สร้างภาพยนตร์ ในปี 2529 นำมาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นพิกซาร์ และสร้างให้เป็นบริษัทสตูดิโอภาพยนตร์แอนิเมชั่น ที่ประสบความสำเร็จมากสุดของโลก ก่อนจะขายให้วอลท์ ดิสนีย์ ในราคา 7,400 ล้านดอลลาร์
จ็อบส์ยังก่อตั้ง เน็กซ์ คอมพิวเตอร์ส์ เพื่อตระหนักถึงวิสัยทัศน์อันกว้างใหญ่ของเขาในด้านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล แต่ก็ยังล้มเหลวในแง่พาณิชย์อยู่ดี ซึ่งทอม เบอร์เนอร์ส ลี นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ได้นำหนึ่งในแนวคิดของจ็อบส์ มาต่อยอดจนสร้าง เวิลด์ ไวด์ เว็บ (www.) ขึ้นมา
หลังจากนั้นจ็อบส์ก็ได้ขายบริษัทให้กับแอ๊ปเปิ้ล ซึ่งเทคโนโลยีของเน็กซ์ เป็นจุดเริ่มต้นของระบบปฏิบัติการที่แอ๊ปเปิ้่ลใช้อยู่ในทุกวันนี้
ที่มา :: bangkokbiznews.com
http://www.youtube.com/watch?v=WcaeZYYmMTc#
มดเอ๊กซ:
10 นวัตกรรมเปลี่ยนโลกของ "สตีฟ จ็อบส์"
http://bit.ly/qOEaiR
http://www.manager.co.th/CBiZReview/ViewNews.aspx?NewsID=9540000127971
มดเอ๊กซ:
วิถีแห่งเซน ของสตีฟ จอบส์
แม้จะเป็นนักธุรกิจร่ำรวยระดับแสนล้าน แต่ไม่ว่าจะปรากฏกาย ณ ที่แห่งใด หรือแม้แต่ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple คนทั่วไปมักชินตากับภาพ สตีฟ จอบส์ ในชุดแต่งกายเรียบง่าย สวมเสื้อยืดคอเต่าแขนยาวสีดำ ยี่ห้อ St. Croix กางเกงยีนส์ลีวายส์ รุ่น 501 และสวมรองเท้ากีฬายี่ห้อ New Balance รุ่น 992 เป็นประจำ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขา
สตีฟ จอบส์ หรือสตีเฟน พอล จอบส์ (Steven Paul Jobs) เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน ซีอีโอใหญ่แห่งค่าย Apple Inc. ยักษ์ใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์ ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกของโลก รวมทั้งเป็น ผู้บริหารระดับสูงของค่ายพิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ (Pixar Animation Studios)ด้วย
กว่าจะถึงวันนี้ ชีวิตของซีอีโอใหญ่ได้เผชิญปัญหามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ด้วยหลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนานิกายเซน ที่เขาได้ศึกษาเรียนรู้ ช่วยให้เขาก้าวผ่านอุปสรรคทั้งปวงมาได้
• ชีวิตช่วงแรก ไม่ได้ปริญญา แต่ได้วิชา
เริ่มสนใจศึกษาพุทธศาสนา
สตี เฟน พอล จอบส์ เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1955 ที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นบุตรนอกสมรสของนักศึกษาสาวมหาวิทยาลัย กับศาตราจารย์ทางด้านรัฐศาสตร์ มารดาแท้ๆ ยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่ครอบครัว “จอบส์” ซึ่งมีหัวหน้าครอบครัวเป็นช่างเครื่อง โดยขอสัญญาว่า บุตรชายของเธอจะต้องได้รับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย
เมื่อโตขึ้น จอบส์เข้าศึกษาต่อที่ Reed College ในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ได้เพียง 6 เดือน ก็ลาพักเรียน เพราะไม่เห็นความน่าสนใจของสิ่งที่เขาเรียนอยู่ แต่เขาก็กลับเข้าศึกษาใหม่อีก 1 ปีครึ่ง โดยลงเรียนเฉพาะ คอร์สที่เขาสนใจ เช่น การประดิษฐ์ตัวอักษร (ซึ่งภายหลังเขาได้นำไปใช้ประโยชน์ ในการออกแบบตัวพิมพ์ของคอมพิวเตอร์ Macintosh) หลังจากนั้น เขาหยุดเรียนถาวรและไม่ได้ศึกษาจนจบมหาวิทยาลัยตามที่มารดาแท้ๆ ของเขาหวังไว้
ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยนี้เองที่จอบส์เริ่มหันมาศึกษา พุทธศาสนานิกาย เซน เขาสนใจอ่านวรรณกรรมทางพุทธศาสนาหลายเล่ม และหนังสือที่มีอิทธิพล สูงสุดกับเขาคือ Zen Mind, Beginner’s Mind ซึ่งเขียนโดยชุนริว ซูซุกิ กล่าวกันว่า หลังการศึกษาหลักธรรมของเซน จอบส์เริ่มมีความเชื่อว่า การหยั่งรู้โดยสัญชาตญาณนั้น ก่อให้เกิดปัญญา เขาจึงเริ่มฝึกสมาธิในห้องนอนแคบๆ ที่แชร์ร่วมกับ “แดเนียล คอตคี” เพื่อนสนิท ท่ามกลางกลิ่นธูป
• ออกแสวงหาตัวตนที่แท้จริง
ใน ปี 1974 จอบส์ ในวัย 19 ปี ได้ขอลาพักงานประจำ ที่เขาทำอยู่ในบริษัทเครื่องเล่นวิดีโอเกมส์ Atari เพื่อเดินทางไปอินเดีย เป็นเวลา 1 เดือน พร้อมกับเพื่อนรัก “แดเนียล คอตคี” เพื่อแสวงหาคำตอบเกี่ยวกับการรู้แจ้งเห็นจริงด้านจิตวิญญาณ และเมื่อเดินทางกลับสหรัฐฯ อีกครั้งหนึ่ง เขาได้กลายเป็นพุทธศาสนิกชน สวมเสื้อผ้าแบบอินเดียโบราณและโกนศีรษะ
หลังจากนั้น เขาได้แวะเวียนไปที่ศูนย์เซน ลอส อัลทอส ในเมืองลอส อัลทอส รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นประจำ ที่นี่เขาเริ่มฝึกการบำบัดแบบกรีดร้องดังๆ และรับประทานผลไม้เป็นอาหาร และผลไม้ที่เขาโปรดปรานเป็นพิเศษก็คือ แอปเปิ้ล นั่นเอง
ในปี 1976 ขณะอายุ 21 ปี จอบส์ได้เข้าทำงานกับบริษัทฮิวเลตต์-แพคการ์ด และเริ่มต้นศึกษาพุทธศาสนานิกายเซนอย่างจริงจังกับ “โกบุน ชิโนะ โอโตโกวะ” พระอาจารย์ชาวญี่ปุ่น ที่ศูนย์เซน ลอส อัลทอส (ซึ่งภายหลัง เมื่อจอบส์เข้าพิธีแต่งงานแบบเซน กับ “ลอรีน เพาเวล” ในวันที่ 18 มีนาคม 1991 พระอาจารย์โอโตโกวะได้มาเป็นประธานในพิธี)
• เริ่มก่อตั้งบริษัท Apple
ดีไซน์สินค้าด้วยแนวคิดเซน
ใน ปี 1976 จอบส์และเพื่อนสมัยเรียนที่ชื่อ “สตีฟ วอซเนียก” ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Apple Computer ขึ้นที่โรงรถในบ้านของจอบส์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จอบส์กับวอซเนียกได้นำเสนอออกสู่สายตา ได้แก่เครื่อง Apple I และเพียง 10 ปีให้หลัง Apple ก็เติบโตจากคนเพียง 2 คนกลายเป็นบริษัทใหญ่โตที่มีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ และพนักงานมากกว่า 4,000 คน!!
จอบส์เคยกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Wired ของอเมริกาว่า
“มีคำคำหนึ่งในศาสนาพุทธ คือ จิตของผู้เริ่มต้น มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ทุกคนควรจะมีจิตของผู้เริ่มต้น”
ซึ่งเขาอธิบายต่อไปว่า มันเป็นจิตที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ซึ่งค่อยๆทำให้เราตระหนักถึงแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น จิตของผู้เริ่มต้น ก็คือการนำหลักการของเซนมาปฏิบัติจริง เป็นจิตบริสุทธิ์ที่ปราศจากอคติ การคาดหวัง การตัดสิน ความลำเอียงให้คิดว่า จิตของผู้เริ่มต้น เป็นเหมือนจิตของเด็กน้อย ซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย และความ ประหลาดใจ
ด้วยความเชื่อดังกล่าว สตีฟ จอบส์ จึงนำแนวคิดแบบเซนมาใช้กับบริษัท Apple Inc ของเขา ในการออกแบบรูปลักษณ์และการใช้งานของสินค้าให้มีแนวทางบริสุทธิ์ ครบถ้วนสมบูรณ์ และง่ายต่อการใช้งาน
• พบมรสุมชีวิต แต่พิชิตด้วยความรักในงาน
เมื่อ จอบส์อายุ 30 ปี หลังจากเพิ่งเปิดตัว Macintosh เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดของตัวเองได้ปีเดียว เขาถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตนเองเป็นผู้ก่อตั้ง หลังจากทะเลาะกับผู้บริหาร และกรรมการบริษัทก็เข้าข้างผู้บริหารคนนั้น
เรื่องนี้เป็นความสูญ เสียครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา จอบส์กล่าวว่า เขาได้สูญเสียสิ่งที่ได้ทำมาตลอดชีวิตไปในพริบตา ถึงกับคิดจะออกจากวงการคอมพิวเตอร์ไปชั่วชีวิต เขาไม่ได้ทำอะไรหลังจากนั้นอีกหลายเดือน
แต่แล้วความรู้สึกอย่าง หนึ่งก็สว่าง ขึ้นข้างในตัวของจอบส์ ซึ่งเขาค้นพบว่า ตัวเองยังคงรักในสิ่งที่ทำมาแล้ว ความล้มเหลวที่ Apple ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อสิ่งที่ได้ทำมาแล้วได้ ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งต่อมาเขาได้พบว่า การที่เขาถูกไล่ออกจาก Apple ได้กลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิต เพราะภาระอันหนักจากการประสบความสำเร็จในอดีตที่เขาแบกไว้นั้น ได้ถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายในการเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ซึ่งช่วยปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ นั่นก็คือเขาได้ปล่อยวางความสำเร็จเก่านั้นลง และเริ่มต้นใหม่ด้วยใจที่เบาสบาย เบิกบาน เป็นจิตของผู้เริ่มต้นอย่างที่เขาเคยบอกไว้นั่นเอง
จอบส์กล่าวว่า ความล้มเหลวเป็นยาขม แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไข้ เมื่อชีวิตเล่นตลกกับคุณ จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรัก ดังนั้นคุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ เพราะวิธีเดียวที่จะทำให้คุณเกิดความพึงพอใจอย่างแท้จริง คือการได้ทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่จะทำให้คุณสามารถทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้ก็คือ คุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ และถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ และคุณจะรู้ได้เองเมื่อคุณได้ค้นพบสิ่งที่คุณรักแล้ว
หลัง จากนั้น เขาได้เริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และ Pixar (ซึ่งขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก) ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy Story
ส่วน Apple ซึ่งไร้เงาของจอบส์นั้น ไม่ได้เฟื่องฟูขึ้นเลย ดังนั้นบริษัทฯจึงได้หันมาซื้อบริษัท NeXT เพื่อทำให้จอบส์ได้กลับคืนสู่ Apple อีกครั้ง รวมทั้งเทคโนโลยีที่เขาคิดค้นขึ้นที่ NeXT ก็ได้กลายเป็นหัวใจในยุคฟื้นฟูของ Apple
• ใช้การเจริญมรณสติทุกวัน
เป็นเครื่องมือช่วยการตัดสินใจในชีวิต
เมื่อ อายุ 17 ปี จอบส์ประทับใจข้อความหนึ่งที่เขาได้อ่านจากหนังสือ ซึ่งสอนให้ทุกคนมีชีวิตอยู่โดยคิดว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต และตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาจะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่กำลังจะทำในวันนี้หรือไม่ ถ้าหากคำตอบเป็น “ไม่” ติดๆ กันหลายวัน เขาก็รู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลง
จอบส์ เล่าว่า วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จักมา ซึ่งได้ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้ เพราะเมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้า แทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปสิ้น เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่ามีความหมายและความสำคัญที่แท้จริงเท่า นั้น
“วิธีคิดเช่นนี้ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณไม่ตกลงไปในกับดักความคิดที่ว่า คุณมีอะไรที่จะต้องสูญเสีย เพราะความจริงแล้ว เราทุกคนล้วนมีแต่ตัวเปล่าๆ ด้วยกันทั้งนั้น”
จอบส์ พูดถึงความตายว่า กลางปี 2004 เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดรุนแรง และไม่มีทางรักษา เขาจะมีอายุอยู่ได้ไม่เกิน 3-6 เดือน แพทย์ที่รักษาแนะนำให้เขากลับบ้าน และจัดการสะสางภารกิจที่มีอยู่ให้เรียบ ร้อย ซึ่งความหมายก็คือให้ “เตรียมตัวตาย”
แต่แล้วในเย็นนั้นเมื่อ แพทย์ได้ตัดชิ้นเนื้อที่ตับอ่อน ไปตรวจอย่างละเอียด ผลปรากฏว่า เขาเป็นมะเร็งตับอ่อน ชนิดที่พบเพียงแค่ 1 เปอร์เซนต์ของผู้ป่วย ซึ่งรักษาได้ด้วยการผ่าตัด ในปี 2009 จอบส์เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายตับที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี่ และกลับไปทำงานที่ Apple อีกครั้ง หลังลาหยุดเป็นเวลา 6 เดือน
ซีอี โอใหญ่ของ Apple กล่าวว่า นี่เป็นประสบการณ์เฉียดตายที่สุดของเขา ซึ่งทำให้เขาสามารถพูดได้เต็มปากยิ่งกว่า เมื่อตอนที่ใช้ความตายมาเตือนตัว เองเป็นมรณานุสติ และเมื่อผ่านห้วงเวลานั้นมาได้ เขาบอกว่าความตายคือประดิษฐกรรมที่ดีที่สุดของ “ชีวิต” ความตายคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิต เขาได้พูดถึงความตายไว้ว่า
“ไม่ มีใครอยากตาย แม้ว่าคนที่อยากขึ้นสวรรค์ ก็ไม่อยากตายเพื่อจะได้ไปที่นั่น แต่เราทุกคนต้องตาย ไม่มีใครรอดพ้นไปได้ ดังนั้นความตายก็คือตัวเปลี่ยนแปลงชีวิต มันจะกำจัดคนเก่าออกไป(ตาย) เพื่อเปิดทางให้คนใหม่ได้เข้ามา(เกิด) ตอนนี้คนใหม่ก็คือพวกคุณ แต่ในไม่ช้า พวกคุณก็จะค่อยๆแก่ และถูกกำจัดออกไป(ตาย) นี่คือหลักความจริง”
จอบส์ ได้เตือนว่า
“เวลาของคุณจึงมีจำกัด และอย่ายอมเสียเวลามีชีวิตอยู่ในชีวิตของคนอื่น จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยผลจากความคิดของคนอื่น และอย่ายอมให้เสียงของคนอื่นๆ มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปตามที่หัวใจคุณปรารถนาและสัญชาตญาณของคุณจะ พาไป เพราะหัวใจและสัญชาตญาณของคุณรู้ดีว่ คุณต้องการจะเป็นอะไร”
ทุก วันนี้ จอบส์ในวัย 55 ปียังคงถือปฏิบัติตามแบบเซน ที่มีวิถีแห่งความเรียบง่ายแต่ลุ่มลึก และเขามักอ้างคำพูดของอาจารย์เซนหลายๆท่าน และหลักปรัชญาเซน ในระหว่างการแสดงสุนทรพจน์ในที่ต่างๆ
9 บทเรียนทองของสตีฟ จอบส์
9 คำพูดที่ดีที่สุดที่คัดเลือกมานี้ จะช่วยให้คุณทำงานได้สำเร็จตามสไตล์ซีอีโอแสนล้าน
1. สตีฟ จอบส์ พูดว่า
“นวัตกรรมเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างผู้นำและผู้ตาม”
นวัตกรรมหรือวิธีการใหม่ เป็นสิ่งไร้ขีดจำกัด มีเพียงจินตนาการเท่านั้นที่มีขอบเขต ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องเริ่มคิดนอกกรอบ ถ้าคุณทำงานในภาคธุรกิจที่กำลังเติบโต ต้องรู้จักคิดหาทางทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ลูกค้าพึงพอใจ และอยากจะทำธุรกรรมด้วย แต่ถ้าคุณอยู่ในธุรกิจที่กำลังหดตัว ต้องรีบออกมาจากธุรกิจนั้นโดยเร็ว และเปลี่ยนแปลงก่อนที่คุณจะกลายเป็นคนตกยุค ตกงาน หรือธุรกิจล่มสลาย และต้องจำไว้เสมอว่า คุณจะผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้ ต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวนี้
2. สตีฟ จอบส์ พูดว่า
“จงเป็นคนที่มีคุณภาพสูง คนบางคนไม่เคยชินกับการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คาดหวังความเป็นเลิศ”
ไม่ มีหนทางลัดสู่ความเป็นเลิศ คุณจะต้องตั้งใจและให้ความสำคัญ ใช้ความสามารถ ทักษะ และพรสวรรค์ที่มี พยายามทำให้มากกว่าคนอื่น มีมาตรฐานสูงกว่า และใส่ใจในรายละเอียดที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ความเป็นเลิศไม่ใช่เรื่องยาก แต่คุณต้องลงมือทำทันที แล้วคุณจะประหลาดใจในสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิต
3. สตีฟ จอบส์ พูดว่า
“วิธีเดียวที่จะทำงานให้ได้ผลดีเยี่ยม คือ คุณต้องรักในสิ่งที่ทำ ถ้าคุณยังไม่เจอสิ่งที่รักในตอนนี้ จงมองหาไปเรื่อยๆ อย่าด่วนสรุป เพราะมันเป็นเรื่องของหัวใจ คุณจะรู้ได้เอง เมื่อเจอสิ่งที่รัก”
จงทำในสิ่งที่รัก มองหาอาชีพการงานที่ทำให้คุณมีจุดประสงค์ ทิศทาง และความพึงพอใจในชีวิต เมื่อคุณมีเป้าหมายและพยายามไปให้ถึง มันจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมาย ทิศทาง และความพอใจ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้มีสุขภาพดีและอายุยืนยาว แต่ยังจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นเมื่อต้องเผชิญอุปสรรค
4. สตีฟ จอบส์ พูดว่า
“คุณก็รู้ว่า อาหารส่วนใหญ่ที่เรากิน เราไม่ได้ผลิตด้วยตัวเราเอง เราสวมใส่เสื้อผ้าที่คนอื่นผลิต เราพูดภาษาที่คนอื่นพัฒนาขึ้น เราใช้คณิตศาสตร์ที่คนอื่นค่อยๆปรับปรุงมาเรื่อยๆ ผมหมายถึงว่า เราเป็นฝ่ายรับอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น คงเป็นความรู้สึกที่น่าปลาบปลื้มอย่างยิ่งที่เราสามารถสร้างสรรค์บางสิ่ง บางอย่าง ที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ”
จงใช้ชีวิตตามหลักศีลธรรม พยายามทำให้เกิดความแตกต่างบนโลกใบนี้และมีส่วนร่วมให้เกิดสิ่งที่ดีงามยิ่ง ขึ้น คุณจะพบว่า มันจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมายมากยิ่งขึ้น แถมยังเป็นยาแก้ความเบื่อหน่ายที่ได้ผลดีอีกด้วย ลองมองไปรอบๆตัว แล้วคุณจะพบว่า มีสิ่งต่างๆให้คุณทำอยู่เสมอ และจงพูดคุยกับผู้อื่นถึงสิ่งที่คุณกำลังทำ แต่อย่าพร่ำสอน หรือคิดว่าตัวเองถูกต้อง หรือหลงตัวเอง เพราะจะทำให้คนอื่นไม่อยากคุยด้วย ขณะเดียวกัน คุณต้องไม่กลัวที่จะทำตนเป็นตัวอย่าง และใช้โอกาสที่มี บอกเล่าถึงสิ่งที่คุณกำลังทำ
5. สตีฟ จอบส์ พูดว่า
“มีคำพูดในพุทธศาสนาว่า จิตของผู้เริ่มต้น มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ทุกคนควรจะมีจิตของผู้เริ่มต้น”
ซึ่งเขาอธิบายต่อไปว่า มันเป็นจิตที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความ เป็นจริง ซึ่งค่อยๆทำให้เราตระหนักถึงแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น จิตของผู้เริ่มต้น ก็คือการนำหลักการของเซนมาปฏิบัติจริง เป็นจิตบริสุทธิ์ที่ปราศจากอคติ การคาดหวัง การตัดสิน ความลำเอียง ให้คิดว่า จิตของผู้เริ่มต้น เป็นเหมือนจิตของเด็กน้อย ซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย และความประหลาดใจ
6. สตีฟ จอบส์ พูดว่า
“เราคิดว่า โดยทั่วไปแล้ว คุณดูโทรทัศน์เพื่อพักสมอง และคุณใช้คอมพิวเตอร์ เมื่อต้องการให้สมองทำงาน”
ใน รอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีรายงานการศึกษาจำนวนมากที่ยืนยันหนักแน่นว่า การดูทีวีส่งผลเสียด้านจิตใจและมีอิทธิพลด้านศีลธรรม และคนที่ติดทีวีส่วนมาก แม้จะรู้ว่า มันทำให้ชินชาและเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แต่ก็ยังใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยม ดังนั้น จงปิดทีวีซะ เพื่อถนอมเซลล์สมอง แต่ต้องระวัง เพราะการใช้คอมพิวเตอร์ก็อาจเป็นการพักสมองได้เช่นกัน ลองเปลี่ยนมาเล่นเกมที่พัฒนาสติปัญญาดีกว่า
7. สตีฟ จอบส์ พูดว่า
“ผมสูญเงินไป 250 ล้านดอลลาร์ภายใน 1 ปี มันทำให้ผมรู้จักตนเองดีขึ้น”
อย่า มองว่า การทำผิดกับความผิดเป็นเรื่องเท่าเทียมกัน เพราะคนที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่เคยล้มเหลวหรือทำผิดเลยนั้น ไม่มีหรอก มีแต่คนที่ประสบความสำเร็จ เคยทำผิดพลาดและรู้จักเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพื่อทำให้ถูกต้องในครั้งต่อไป พวกเขามองความผิดพลาดเป็นเครื่องเตือนสติ มากกว่าความสิ้นหวัง การไม่เคยทำผิดเลย แสดงว่า คนนั้นไม่เคยใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
8. สตีฟ จอบส์ พูดว่า
“ในโลกนี้ไม่เคยมีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด เราเกิดมาบนโลกใบนี้แล้วก็ได้ทำสิ่งผิดพลาดเช่นกัน ไม่งั้นแล้ว เราจะเกิดมาทำไม”
คุณรู้หรือไม่ว่า มีเรื่องใหญ่ๆหลายเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จในชีวิต และรู้หรือไม่ว่า เรื่องสำคัญเหล่านั้นจะถูกฝุ่นจับ เมื่อคุณใช้เวลามัวแต่นั่งคิดมากกว่าลงมือทำ เราทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมของขวัญชิ้นหนึ่งที่จะมอบให้กับชีวิตของเราเอง ของขวัญที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ความสนใจ ความหลงใหล และความอยากรู้อยากเห็น ของขวัญชิ้นนี้ แท้จริงแล้ว มันคือเป้าหมายของเรานั่นเอง และคุณตั้งเป้าหมายของคุณได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างาน ครู พ่อแม่ นักบวช หรือเจ้าหน้าที่ ก็ไม่อาจเลือกเป้าหมายให้คุณได้ คุณต้องหาจุดมุ่งหมายด้วยตัวคุณเอง
9. สตีฟ จอบส์ พูดว่า
“เวลาของคุณมีจำกัด จงอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตตามแบบคนอื่น อย่าติดอยู่ในหลักความเชื่อ ซึ่งทำให้คุณใช้ชีวิตตามผลความคิดของผู้อื่น อย่ายอมให้เสียงความคิดของคนอื่น มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และทีสำคัญที่สุด คือ คุณต้องมีความกล้า ที่จะทำตามหัวใจปรารถนาและสัญชาติญาณ เพราะมันรู้ดีว่า จริงๆแล้ว คุณต้องการเป็นอะไร เรื่องอื่นๆกลายเป็นเรื่องรองไปโดยสิ้นเชิง”
คุณ เบื่อหรือเปล่าต่อการใช้ชีวิตตามความฝันของคนอื่น ไม่ต้องสงสัยเลย ก็มันเป็นชีวิตของคุณเอง คุณมีสิทธิใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ โดยไม่ต้องมีใครมาคอยขัดขวาง ลองให้โอกาสตัวเองฝึกความคิดริเริ่มในบรรยากาศที่ปราศจากความกลัวและแรงกด ดัน จงใช้ชีวิตตามแบบที่คุณเลือก และเป็นเจ้านายตัวเอง
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 118 กันยายน 2553 โดย บุญสิตา)
http://www.divland.com/blog/2011/01/22/steve-jobs-zen/
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version