ผู้เขียน หัวข้อ: ดวงจิต "ผู้รู้" อยู่ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร1/2  (อ่าน 2023 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
ดวงจิต "ผู้รู้" อยู่  หลวงปู่สิม พุทธาจาโร1/2

ผู้ใดเล่า... หลงใหล ไปกับความรักความชังแล้ว...

......พระองค์ทรงตรัสสอนไว้ว่า อันความรักความชัง เป็นของมีประจำอยู่ในใจมนุษย์คนเราทั่วไป ผู้ใดเล่า...หลงใหลไปกับความรักความชังแล้ว จิตใจไม่เป็นกลาง ไม่เป็นมัชฌิมา ย่อมเป็นทุกข์ใจ

พระองค์สอนว่าให้ทำใจเป็นดวงหนึ่งดวงเดียว รวมจิตใจเข้าไปภายใน เมื่อเวลาความรักเกิดขึ้น ความชังเกิดขึ้น ที่ว่ากามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค นั้น กระทบมากระเทือนตาหูจมูกลิ้นกายใจ ให้ภาวนาพุทโธไว้ในใจ เอาจิตใจให้เป็นดวงหนึ่งดวงเดียว ดีใจมาก็ให้รู้เท่าทัน เสียอกเสียใจเกิดขึ้นก็ให้รู้เท่าทัน ทำใจให้อยู่เป็นกลาง คือว่ากลางจิตใจดวงผู้รู้อยู่ในตัวเราทุกคน จิตใจดวงผู้รู้อยู่ในตัวเราทุกคนนี่แหละ ถ้าผู้ใดมาตั้งและรวมลงไป จิตใจดวงผู้รู้นี้มีอยู่ในกายในจิตคนเราทุก ๆ คน คน ๆ หนึ่งก็มีจิตใจดวงนี้ครองอยู่ในร่างกายนี้ จึงยืนเดินนั่งนอนไปมาในที่ใด ๆ ได้

นี่แหละเมื่อเราภาวนารวมจิตรวมใจให้ทวนกระแสจิตใจของตนเข้ามาภายใน มาหยุดอยู่ที่จิตใจดวงที่มีความรู้อยู่ ดวงจิตดวงใจที่มีความรู้อยู่นี้ ไม่ใช่ว่ามาจากที่ไหน หากมีอยู่ในใจของคนเราทุก ๆ คนแล้ว แต่เราไม่รู้จักที่ตั้งที่รวม จึงคิดไปหมายไปตามสังขารมารกิเลสมาร อันเป็นสิ่งภายนอกที่จะมายั่วยุให้จิตใจคนเราลุ่มหลงนั้น จึงได้หลงใหลไปตามอารมณ์นั้น ๆ ไม่ได้ทวนกระแสเข้ามาภายในจิตใจของตนเองว่า ดวงจิตผู้รู้ของเรานั้นอยู่ภายใน

ไม่ว่าอะไร ๆ เกิดขึ้น จิตใจดวงผู้รู้นี้ เป็นผู้รับรู้รับเห็น อย่างการฟังเสียง การฟังธรรม เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น แสดงธรรมเกิดขึ้น ก็จิตใจดวงผู้รู้นี้แหละเป็นผู้รับรู้ รับรู้ว่าท่านชี้แจงแสดงให้ทำจิตทำใจอย่างไร จิตใจดวงผู้รู้นี้อยู่กับที่ ไม่ได้ไปที่ไหน มีอยู่ภายใน นับตั้งแต่เราทุกคนมาเกิด มาปฏิสนธิวิญญาณในท้องแม่ จิตใจดวงผู้รู้อันนี้ ก็ครองเอาซึ่งรูปขันธ์ ได้แก่ ขา 2 แขน 2 ศีรษะ 1 มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ นี่เป็นก้อนพระธรรมคือรูปธรรม รูปธรรมตัวตนคนเรานี้ก็นี่แหละ ให้เราดูรูปธรรมนี้ มีความเกิดขึ้นแล้วก็เจริญขึ้นโดยลำดับ เมื่อเจริญหมดขีดแล้วก็แสดงความแก่ ความชรา ความชำรุดทรุดโทรมเป็นธรรมดาของสังขารทั้งหลาย ธรรมดาสังขารทั้งหลายนี้มีความไม่เที่ยงแท้แน่นอนอย่างนี้

พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนปัจจวัคคีย์ฤาษีทั้ง ๕ ให้เห็นว่า รูปนาม กายใจตัวตนคนเรานี้ มีความเกิดขึ้นแล้วย่อมแสดงถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอน แล้วว่าอนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขัง ความเป็นทุกข์ อนัตตา คือไม่ใช่ตัวตนของเราของเขา เป็นธาตุโลกของโลกต่างหาก จิตใจให้รู้เท่าทัน เมื่อเวลาไม่สบายเกิดขึ้น มีความเจ็บไข้ได้ป่วยก็อย่ายึดว่าเราเจ็บไข้ได้ป่วย ให้ถือว่าธาตุดินเขาไม่สบาย ช่างมันเถิด จิตใจอย่าไปยึดถือ ธาตุน้ำเขาไม่สบายช่างมันเถิด อย่าได้ไปยึดถือ ธาตุไฟธาตุลมเขาไม่สบาย ช่างมันเถิด

จิตใจผู้รู้ภาวนาพุทโธอยู่ ไม่ให้ไปที่อื่น ตามรู้ตามเห็นว่าโลกเรานี้ ไม่ว่าโลกภายในกายใจของคนสัตว์ก็ตาม ตลอดจนดินฟ้าอากาศ ดวงพระอาทิตย์พระจันทร์ สิ่งเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นมาเป็นรูปเป็นนามเป็นตัวตนสัตว์บุคคลแล้ว ย่อมแสดงถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเต็มไปหมด จิตใจผู้ภาวนาพุทโธ รวมจิตรวมใจให้มาหยุดอยู่ในหัวใจดวงที่มีความรู้อยู่ในปัจจุบันนี้

เมื่อมารวมมาหยุดอยู่ในขณะปัจจุบันนี้ได้ จิตใจนี้แหละจะเข้าใจเองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เที่ยงจริง เกิดขึ้นแล้วก็แก่ชราไป ความแก่ชรานั้นมันเป็นไปเอง เราจะรู้ไม่รู้ก็ตาม เมื่อเกิดตั้งขึ้นมาแล้ว ความแก่ชรามันก็เลื่อนไปเป็นไป อันความเจ็บไข้ได้ป่วยในรูปร่างกายคนเรานี้ใคร ๆ ก็ไม่ต้องการ แต่ว่าถึงเวลาแล้ว มันก็ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดาอย่างนี้ เมื่อจิตใจของผู้ภาวนาพุทโธให้อยู่ในตัวในใจได้ดีแล้ว จะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นแก่เรา ก็ถึงความไม่เที่ยงเหมือนกัน มีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอทุกเวลาไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น ในหน้าในตาในชื่อในเสียงในเราในของ ๆ เรา

เพราะสิ่งทั้งหลายนั้นเขาไม่หยุดอยู่ให้เราเลย เขาเปลี่ยนแปลงไป มีความแก่ชรา ความแก่ชรานั้นหนีไม่พ้น เพราะว่าเรามีความแก่ชราเป็นธรรมดา หนีให้พ้นไม่ได้ เรามีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดาหนีไม่พ้น ผลที่สุดเมื่อแก่ชราหรือไม่แก่ชราก็จะถึงซึ่งความตาย หนีไม่พ้น หลบหลีกไปที่ไหนไม่พ้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางที่จะพ้นออกจากทุกภัยในวัฏฏะสงสารนั้น จะต้องรวมจิตรวมใจดวงจิตดวงใจดวงผู้รู้อยู่ในตัวเราท่านทั้งหลายอยู่ที่ไหนในเวลานี้ ให้รวมกำลังเข้ามาภายในนี้ ให้จิตใจดวงนี้แน่วแน่มั่นคง ไม่หลงใหลไปตามรูปที่ผ่านทางตา ไม่ให้หลงใหลไปตามเสียงที่ผ่านทางหู ไม่ให้หลงใหลไปตามกลิ่นเหม็นหอมทางจมูก ไม่ให้หลงใหลไปตามรสอาหารการบริโภค เย็นร้อนอ่อนแข็งกระทบร่างกายท่านก็ไม่ให้หลงใหลไป ท่านให้อยู่คือให้หยุดให้อยู่ ให้รู้อยู่ในจิตใจของตนให้ได้ทุกเวลา และทุกลมหายใจเข้าหายใจออก จิตใจของเราให้แน่วแน่อยู่ในคุณพระพุทธเจ้า

คุณพระพุทธเจ้าคือองค์พุทธะองค์พุทโธ องค์พุทธะพุทโธได้แก่ดวงจิตดวงใจของเราทุกคนที่มีความรู้อยู่ ดวงจิตที่มีความรู้อยู่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ปัจจุบันนี้ มีอยู่เดี๋ยวนี้ ให้เรารวมจิตรวมใจอันนี้เข้ามาภายในทุก ๆ คืนก่อนจะหลับจะนอน ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนาให้ได้อย่างนี้ทุกวันทุกคืน จิตใจของเราที่ร้อนด้วยกิเลส ความโกรธ ความโลภ ความหลง อันใดอันหนึ่งที่มันมีอยู่ในจิตใจของเรา ก็จะค่อยเบาไป บางไป หมดไป สิ้นไป เพราะเราภาวนาอยู่ ตั้งใจอยู่เพื่อจะละจะถอนจะปล่อยจะวาง ไม่ให้จิตใจไปยึดมั่นถือมั่นในที่ทั้งปวงเกินไป ...

ส่วนนี้คุณ เภตรา คัดลอกจากบางส่วนจากคลิปวิดีโอนี้ค่ะ
:http://larndham.org
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 21, 2011, 11:39:05 am โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
 :08: :19: :25: :45: :07: :13: :23: