ผู้เขียน หัวข้อ: Re:หลวงปู่เทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ)  (อ่าน 3563 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

น้องต๊ะเจ้าเก่า

  • บุคคลทั่วไป
Re:หลวงปู่เทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ)
« เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2011, 07:24:48 pm »
ปริเฉทสาม
พระอุตรเถระเจ้าอวตารเป็นพระครูเทพผู้วิเศษ

   พระอุตรเถระเจ้า อวตารเป็นพระครูเทพ ผู้วิเศษในสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า ประมาณปี พ.ศ.2127 ระยะเวลาห่างจากสมัยสุโขทัยประมาณ 227 ปี คันคว้าจากตำราไสยศาสตร์ ประกอบความรู้อันบังเกิดจากญาณหรือสิ่งบันดาลใจ จากคำที่ว่าตอนที่สร้างกำแพงเมืองลพบุรี ข้ายังได้เห็น หมายถึง สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มิใช่สมัยลพบุรี (ขอม) และยังมีคำว่า “เทพ” (มาจากคำเทพโลกอุดร) ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่า นับจากแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราชถึงแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินถึง 9 รัชกาลด้วยกัน แต่ปรากฏตามหลักฐานประวัติศาสตร์คำนวณอายุได้ประมาณ 53 ปี เท่านั้น กล่าวคือ
      พระเอกาทศรถ         16 ปี
      พระศรีเสาวภาคย์      ไม่ถึงปี
      พระเจ้าทรงธรรม      8 ปี
      พระเชษฐาธิราช         3 ปี
      พระอาทิตย์วงศ์         37 วัน
      พระเจ้าปราสาททอง      25 ปี
      เจ้าฟ้าลั่น         1 ปี
      พระศรีสุธรรมราชา      3 เดือน
      พระนารายณ์มหาราช      32 ปี (คิดเพียงด้านรัชกาลขณะสร้างกำแพงเมืองให้เวลา 3 ปี)
   รวมรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คงไม่ถึง 100 ปี และองค์พระครูเทพ ผู้วิเศษน่าจะมีอายุยืนยาวเป็นกรณีพิเศษ

   มีบันทึกว่าพระครูเทพ ผู้วิเศษเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างพระโพ ปางยืนห้ามสมุทร (โพ เป็นชื่อต้นไม้ โพธิ แปลว่า ตรัสรู้ ไม่ใช่เรียกชื่อต้นไม้) และพระควัมปติ (ไม่ใช่พระควัมบดี) แต่จะเป็นพระควัมปติ หรือพระมหากัจจายนะเถระเจ้าปางยกหัตถ์ปิดพระพักตร์อธิษฐานวรกาย ยังเป็นปัญหา เพราะเป็นคนละองค์ตามรายพระนามสาวกผู้ทรงเอกะทัคคะ 80 รูป แต่เมื่อสร้างเป็นพระพิมพ์แล้วมีลักษณะอย่างเดียวกัน จงเข้าใจเสียใหม่ว่าพระควัมปติกับพระมหากัจจายนะเถระเจ้า เป็นคนละองค์แน่นอน และพระพิมพ์โลกอุดรส่วนใหญ่มักจะสร้างเป็นรูปพระปิดตา (ยกหัตถ์ปิดพระพักตร์)

อ่าๆๆๆ

ชัดเจนๆๆ มั๊ยครับคุณพี่หนุ่ม และท่านสมาชิกใต้ร่มธรรมผู้ทรงเกียรติ
ปรัปวาทะของกลุ่มลัทธิอืน ศาสนาอื่น

อวตาร มาสอดแทรก สอดไส้ ในพุทธศาสนา

ความเห็นผิด รู้ผิด เข้าใจผิด ของศาสนาอื่น ลัทธิอื่น
เป็นมิจฉาทิฎฐิ

อย่ามาบอกว่า คนเหล่านี้ เป็นศาสนาพุทธ อย่ามาบอกว่า เป็นเถรวาทนะครับ

 :25: :25: :11:


ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re:หลวงปู่เทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2011, 09:10:23 pm »
ปริเฉทสาม
พระอุตรเถระเจ้าอวตารเป็นพระครูเทพผู้วิเศษ

   พระอุตรเถระเจ้า อวตารเป็นพระครูเทพ ผู้วิเศษในสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า ประมาณปี พ.ศ.2127 ระยะเวลาห่างจากสมัยสุโขทัยประมาณ 227 ปี คันคว้าจากตำราไสยศาสตร์ ประกอบความรู้อันบังเกิดจากญาณหรือสิ่งบันดาลใจ จากคำที่ว่าตอนที่สร้างกำแพงเมืองลพบุรี ข้ายังได้เห็น หมายถึง สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มิใช่สมัยลพบุรี (ขอม) และยังมีคำว่า “เทพ” (มาจากคำเทพโลกอุดร) ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่า นับจากแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราชถึงแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินถึง 9 รัชกาลด้วยกัน แต่ปรากฏตามหลักฐานประวัติศาสตร์คำนวณอายุได้ประมาณ 53 ปี เท่านั้น กล่าวคือ
      พระเอกาทศรถ         16 ปี
      พระศรีเสาวภาคย์      ไม่ถึงปี
      พระเจ้าทรงธรรม      8 ปี
      พระเชษฐาธิราช         3 ปี
      พระอาทิตย์วงศ์         37 วัน
      พระเจ้าปราสาททอง      25 ปี
      เจ้าฟ้าลั่น         1 ปี
      พระศรีสุธรรมราชา      3 เดือน
      พระนารายณ์มหาราช      32 ปี (คิดเพียงด้านรัชกาลขณะสร้างกำแพงเมืองให้เวลา 3 ปี)
   รวมรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คงไม่ถึง 100 ปี และองค์พระครูเทพ ผู้วิเศษน่าจะมีอายุยืนยาวเป็นกรณีพิเศษ

   มีบันทึกว่าพระครูเทพ ผู้วิเศษเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างพระโพ ปางยืนห้ามสมุทร (โพ เป็นชื่อต้นไม้ โพธิ แปลว่า ตรัสรู้ ไม่ใช่เรียกชื่อต้นไม้) และพระควัมปติ (ไม่ใช่พระควัมบดี) แต่จะเป็นพระควัมปติ หรือพระมหากัจจายนะเถระเจ้าปางยกหัตถ์ปิดพระพักตร์อธิษฐานวรกาย ยังเป็นปัญหา เพราะเป็นคนละองค์ตามรายพระนามสาวกผู้ทรงเอกะทัคคะ 80 รูป แต่เมื่อสร้างเป็นพระพิมพ์แล้วมีลักษณะอย่างเดียวกัน จงเข้าใจเสียใหม่ว่าพระควัมปติกับพระมหากัจจายนะเถระเจ้า เป็นคนละองค์แน่นอน และพระพิมพ์โลกอุดรส่วนใหญ่มักจะสร้างเป็นรูปพระปิดตา (ยกหัตถ์ปิดพระพักตร์)

อ่าๆๆๆ

ชัดเจนๆๆ มั๊ยครับคุณพี่หนุ่ม และท่านสมาชิกใต้ร่มธรรมผู้ทรงเกียรติ
ปรัปวาทะของกลุ่มลัทธิอืน ศาสนาอื่น

อวตาร มาสอดแทรก สอดไส้ ในพุทธศาสนา

ความเห็นผิด รู้ผิด เข้าใจผิด ของศาสนาอื่น ลัทธิอื่น
เป็นมิจฉาทิฎฐิ

อย่ามาบอกว่า คนเหล่านี้ เป็นศาสนาพุทธ อย่ามาบอกว่า เป็นเถรวาทนะครับ

 :25: :25: :11:

อ้างจาก: น้องต๊ะเจ้าเก่า ที่ วันนี้ เวลา 08:13:35 PM

    อ้างจาก: sithiphong ที่ วันนี้ เวลา 09:28:28 AM

        ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด

        พี่รบกวนคุณน้องต๊ะ  นำพระไตรปิฏก  มาอ้างอิงหน่้อยว่า เป็นอย่างไรครับ



    อ่าๆๆ

    เอาคาถาธรรมบทไปอ่านซะก่อน
    แล้วก็มากราบขอโทษ กราบขอขมา น้องต๊ะซะ

    ในกรณีที่ไม่เป็นที่รักของอสัตบุรุษอ่า
    ในกรณีที่มาแบนน้องต๊ะ อ่า


    คาถาธรรมบท ปัณฑิตวรรคที่ ๖

                 [๑๖]    บุคคลพึงเห็นบุคคลใดผู้มักชี้โทษ เหมือนบุคคลผู้บอก
                              ขุมทรัพย์ มักกล่าวข่มขี่ มีปัญญา พึงคบบุคคลผู้เป็นบัณฑิต
                              เช่นนั้น เพราะว่าเมื่อคบบัณฑิตเช่นนั้น มีแต่คุณที่ประเสริฐ
                              โทษที่ลามกย่อมไม่มี บุคคลพึงกล่าวสอน พึงพร่ำสอน
                              และพึงห้ามจากธรรมของอสัตบุรุษ ก็บุคคลนั้น ย่อมเป็น
                              ที่รักของสัตบุรุษทั้งหลาย แต่ไม่เป็นที่รักของพวกอสัตบุรุษ
                              บุคคลไม่ควรคบมิตรเลวทราม ไม่ควรคบบุรุษอาธรรม์ ควร
                              คบมิตรดี ควรคบบุรุษสูงสุด บุคคลผู้อิ่มเอิบในธรรม
                              มีใจผ่องใสแล้ว ย่อมอยู่เป็นสุข บัณฑิตย่อมยินดีในธรรม
                              ที่พระอริยเจ้าประกาศแล้วทุกเมือ

     :25: :25: :25:

    รู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด แบบคุณพี่หนุ่ม ก็เรียกว่า ปุถุชน ที่ไม่ได้สดับอ่า
    เพราะไม่ได้ละธรรมสี่ประการดังนี้อ่า
    เรียกว่า รู้อะไร ก็รู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดอ่า

    อานันทสูตร
    ละธรรม ๔ ประกอบธรรม ๔ เป็นพระโสดาบัน
                 [๑๔๘๕] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรและท่านพระอานนท์อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
    อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้น เวลาเย็น ท่านพระสารีบุตร
    ออกจากที่เร้นแล้ว เข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระอานนท์ ครั้นผ่าน
    การปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระอานนท์
    ว่า ดูกรอานนท์ เพราะละธรรมเท่าไร เพราะเหตุประกอบธรรมเท่าไร หมู่สัตว์นี้ พระผู้มีพระภาค
    จึงทรงพยากรณ์ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ใน
    เบื้องหน้า?
                 [๑๔๘๖] ท่านพระอานนท์กล่าวตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เพราะละธรรม ๔
    ประการ เพราะเหตุประกอบธรรม ๔ ประการ หมู่สัตว์นี้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงพยากรณ์ว่า
    เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ธรรม ๔
    ประการเป็นไฉน? ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
    เห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ความเลื่อมใสอันไม่
    หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าเห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับ ประกอบ
    ด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติ
    โลกสวรรค์ ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าเห็นปานนั้น ย่อมมีแก่อริยสาวกนั้นว่า
    แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯลฯ เป็นผู้จำแนกธรรม.
                 [๑๔๘๗] ดูกรท่านผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่
    หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
    ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้
    ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป
    ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานนั้น ย่อมมีแก่
    อริยสาวกนั้นว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว ฯลฯ อันวิญญูชน พึงรู้เฉพาะตน.
                 [๑๔๘๘] ดูกรท่านผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่
    หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
    ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้ได้
    สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป
    ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานนั้น ย่อมมีแก่
    อริยสาวกนั้นว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ฯลฯ เป็นนาบุญของโลก
    ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า.
                 [๑๔๘๙] ดูกรท่านผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความทุศีลเห็นปานใด
    เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ความทุศีลเห็นปานนั้น ย่อมไม่มี
    แก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้วเห็นปานใด เมื่อแตกกาย
    ตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว เป็นศีลไม่ขาด ... เป็นไปเพื่อสมาธิ
    เห็นปานนั้น ย่อมมีแก่อริยสาวกนั้น.
                 [๑๔๙๐] ดูกรท่านผู้มีอายุ เพราะละธรรม ๔ ประการนี้ เพราะเหตุประกอบธรรม ๔
    ประการนี้ หมู่สัตว์นี้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงพยากรณ์ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็น
    ธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้อง
    ส่วนเรื่อง ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด
    ก็ไม่ได้เกียวกับเรื่องนี้

    ความรู้ของพระโปฎิละ ไม่ใช่รู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด อ่า
    แต่เป็นความรู้ อันเป็นสัมมาทิฎฐิ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ไม่บริบูรณ์เท่านั้น
    แต่ท่านเลยโสดาบันบุคลไปนานแย้วอ่า

    และในที่สุด ความรู้อันนั้น เมื่อบริบูรณ์  ก็ทำให้ท่านหลุดพ้นได้
    มันไม่เกี่ยวกับเรื่องรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดอ่า


     :25: :25: :25:

    ส่วนเรื่องรู้ท่วมหัว เอาตัวรอด แบบน้องต๊ะ
    ต้องไปอ่านอันนี้
    แล้วจะรู้ ว่า มันกองท่วมหัวน้องต๊ะ แถมทำให้รอดซะด้วยอ่า

    ญาณวัตถุสูตรที่ ๑
                 [๑๑๘] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ
    บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เราจักแสดงญาณวัตถุ ๔๔ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟังซึ่งญาณวัตถุนั้น
    จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
                 [๑๑๙] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ญาณวัตถุ ๔๔
    เป็นไฉน คือความรู้ในชราและมรณะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและ
    มรณะ ๑ ความรู้ในความดับแห่งชราและมรณะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึง
    ความดับแห่งชราและมรณะ ๑ ความรู้ในชาติ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่ง
    ชาติ ๑ ความรู้ในความดับแห่งชาติ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่ง
    ชาติ ๑ ความรู้ในภพ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งภพ ๑ ความรู้ในความ
    ดับแห่งภพ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งภพ ๑ ความรู้ในอุปาทาน ๑
    ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งอุปาทาน ๑ ความรู้ในความดับแห่งอุปาทาน ๑
    ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งอุปาทาน ๑ ความรู้ในตัณหา ๑ ความรู้ใน
    เหตุเป็นแดนเกิดแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในความดับแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในปฏิปทา
    อันให้ถึงความดับแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในเวทนา ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิด
    แห่งเวทนา ๑ ความรู้ในความดับแห่งเวทนา ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความ
    ดับแห่งเวทนา ๑ ความรู้ในผัสสะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งผัสสะ ๑
    ความรู้ในความดับแห่งผัสสะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งผัสสะ ๑
    ความรู้ในสฬายตนะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งสฬายตนะ ๑ ความรู้ใน
    ความดับแห่งสฬายตนะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสฬายตนะ ๑
    ความรู้ในนามรูป ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งนามรูป ๑ ความรู้ในความดับ
    แห่งนามรูป ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งนามรูป ๑ ความรู้ใน
    วิญญาณ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งวิญญาณ ๑ ความรู้ในความดับแห่ง
    วิญญาณ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ ๑ ความรู้ในสังขาร
    ทั้งหลาย ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขาร ๑ ความรู้ในความดับแห่ง
    สังขาร ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เหล่านี้เรียกว่า ญาณวัตถุ ๔๔ ฯ
                 [๑๒๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะ
    ของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความ
    แก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา
    ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธาน มฤตยู
    ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ ความขาดแห่ง
    อินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เราเรียกว่ามรณะ ชราและมรณะ
    ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่าชราและมรณะ เพราะชาติเกิด ชราและมรณะจึงเกิด
    เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น คือ ความเห็น
    ชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ วาจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ อาชีพชอบ ๑ พยายาม
    ชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ความตั้งใจไว้ชอบ ๑ เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่
    ดับชราและมรณะ ฯ
                 [๑๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกรู้ชัดซึ่งชราและมรณะอย่างนี้
    รู้ชัดซึ่งเหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งความดับแห่งชราและ
    มรณะอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะอย่างนี้ นี้ชื่อว่า
    ความรู้ในธรรมของอริยสาวกนั้น อริยสาวกนั้นนำนัยในอดีตและอนาคตไปด้วย
    ธรรมนี้ ซึ่งตนเห็นแล้ว รู้แล้ว ให้ผลไม่มีกำหนดกาล อันตนได้บรรลุแล้ว
    อันตนหยั่งรู้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์ในอดีตกาลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ได้รู้
    ชราและมรณะ ได้รู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะ ได้รู้ความดับแห่งชรา
    และมรณะ ได้รู้ปฏิปทาอันให้ถึง ความดับแห่งชราและมรณะ เหมือนอย่างที่เรารู้
    ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาลแม้เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
    ก็จักรู้ชราและมรณะ จักรู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะ จักรู้ความดับ
    แห่งชราและมรณะ จักรู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ เหมือน
    อย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น นี้ชื่อว่า อันวยญาณของอริยสาวกนั้น ฯ
                 [๑๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรู้ ๒ อย่าง คือธรรมญาณ ๑- อันวย-
    *ญาณ ๒- ๑ เหล่านี้ของอริยสาวก เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย อริยสาวกนี้เราเรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทัศนะบ้าง
    ผู้มาสู่สัทธรรมนี้บ้าง เห็นสัทธรรมนี้บ้าง ประกอบด้วยญาณของพระเสขะบ้าง
    ประกอบด้วยวิชชาของพระเสขะบ้าง ถึงกระแสแห่งธรรมบ้าง เป็นอริยบุคคล
    ผู้มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสบ้าง อยู่ชิดประตูอมตนิพพานบ้าง ฯ
                 [๑๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชาติเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็
    ภพเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อุปาทานเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็ตัณหาเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เวทนาเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็ผัสสะเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สฬายตนะเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ก็นามรูปเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณเป็นไฉน ... ดูกร
    ภิกษุทั้งหลาย ก็สังขารเป็นไฉน ... สังขารมี ๓ คือ กายสังขาร ๑ วจีสังขาร ๑
    @๑. มรรคญาณ ฯ ๒. ผลญาณ ฯ
    จิตสังขาร ๑ นี้เรียกว่าสังขาร เพราะอวิชชาเกิด สังขารจึงเกิด เพราะอวิชชา
    ดับ สังขารจึงดับ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น คือความเห็นชอบ ๑ ความ
    ดำริชอบ ๑ วาจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ อาชีพชอบ ๑ พยายามชอบ ๑
    ระลึกชอบ ๑ ตั้งใจไว้ชอบ ๑ ฯ
                 [๑๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกรู้ชัดสังขารอย่างนี้ รู้ชัดเหตุ
    เป็นแดนเกิดแห่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดความดับแห่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดปฏิปทาอันให้
    ถึงความดับแห่งสังขารอย่างนี้ นี้ชื่อว่า ความรู้ในธรรมของอริยสาวกนั้น อริย-
    *สาวกนั้นย่อมนำนัยในอดีตและอนาคตไปด้วยธรรมนี้ ซึ่งตนเห็นแล้ว รู้แล้ว
    ให้ผลไม่มีกำหนดกาล อันตนได้บรรลุแล้ว อันตนหยั่งรู้แล้ว สมณะหรือ
    พราหมณ์ในอดีตกาลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ได้รู้สังขาร ได้รู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่ง
    สังขาร ได้รู้ความดับแห่งสังขาร ได้รู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร
    เหมือนอย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาล
    แม้เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็จักรู้สังขาร จักรู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขาร จักรู้
    ความดับแห่งสังขาร จักรู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร เหมือนอย่างที่
    เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น นี้ชื่อว่า อันวยญาณของอริยสาวกนั้น ฯ
                 [๑๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรู้ ๒ อย่าง คือธรรมญาณ ๑ อันวย-
    *ญาณ ๑ เหล่านี้ ของอริยสาวก เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย อริยสาวกนี้เราเรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทัศนะบ้าง
    ผู้มาสู่สัทธรรมนี้บ้าง เห็นสัทธรรมนี้บ้าง ประกอบด้วยญาณของพระเสขะบ้าง
    ประกอบด้วยวิชชา ของพระเสขะบ้าง ถึงกระแสแห่งธรรมบ้าง เป็นอริยบุคคล
    ผู้มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสบ้าง อยู่ชิดประตูอมตนิพพานบ้าง ดังนี้ ฯ
    จบสูตรที่ ๓
                 เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖  บรรทัดที่ ๑๔๔๐ - ๑๕๒๕.  หน้าที่  ๕๙ - ๖๒.
     http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=16&A=1440&Z=1525&pagebreak=0


     :25: :25: :25:

    .

-----------------------------------------

น้องต๊ะเจ้าเก่า

Re: ชัมบาลา : บทที่ ๕ ประสานจิตกับกาย
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: วันนี้ เวลา 08:26:09 PM »

    Unapprove
    อ้างถึง


ชัดมั๊ยครับคุณพี่หนุ่ม

รู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด แบบคุณพี่หนุ่ม
รู้ตามพระครูโลกอุดรอวตาร
รู้ตามพระครูโลกอุดรอวตาร
รู้ตามพระครูโลกอุดรอวตาร

 ที่ไม่ใช่ศาสนพุทธ ไม่ใช่เถรวาท
เป็นพวกลัทธิอื่น ศาสนาอื่น นิกายอื่นอ่าครับ

ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานนั้น ย่อมมีแก่
อริยสาวกนั้นว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว ฯลฯ อันวิญญูชน พึงรู้เฉพาะตน.

ข้อนี้แหละสำคัญอ่า
พระพุทธเจ้าท่าน ไม่เคยตรัสสอนเรื่องอวตาร อ่า
ข้อนี้แหละ คือ ไม่รู้จักในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
หาใช่วิญญูชนไม่ อ่า

พวกลัทธิเหล่านั้น ศาสนาเหล่านั้น

จึงมีอุปมาอันเป็นสังขาร ส่วนตัว เช่น ทำจิตให้เหมือนน้ำ
แต่พระพุทธเจ้า เปรียบน้ำเหมือน กิเลสอ่า

ดังนั้น  พวกลัทธิอื่น นิกายอื่น ศาสนาอืน จึงพยายามทำจิต ให้เป็นกิเลสอ่า ให้เป็นเหมือนน้ำอ่า

อุปมาส่วนตัว นี้เลยเป็นกิเลส เจ้าตัวลัทธิ คาดไม่ถึง ไม่รู้ตัวเองอ่า
หลงตัวเองอ่า
เพราะการปฎิบัติไม่พอ และก็ไม่รู้ว่าตนเองทำผิดพลาดอะไรอ่า
เพราะไม่เชื่อพระพุทธเจ้าว่าตรัสไว้ดีแล้วอ่า

เลยเป็นธรรมะที่คนมีมลทินคิดค้นขี้นมาเองอ่า



 :25: :25: :25:

----------------------------------------------------


คุณน้องต๊ะ ไปอ่านเยอะๆครับ

การที่จะให้ไปกราบขอโทษ กราบขอขมา คุณน้องต๊ะ

คงเป็นไปไม่ได้

เนื่องจาก เมื่อไหร่ที่คุณน้องต๊ะ  กลับไปหาคุณพ่อของน้องต๊ะ , คุณแม่ของน้องต๊ะ และ ครูบาอาจารย์ของน้องต๊ะให้อบรมสั่งสอนมาให้ดีก่อน  เมื่อนั้น คุณพี่หนุ่ม จะบอกกราบหน้าบอร์ด

การเป็นคนดี  อย่าไปดูถูก ดูหมิ่น ปรามาส ครูบาอาจารย์ของคนอื่น

กราบเนื่องจากกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี  ไม่นำพระธรรม มาหาความชอบธรรมในโพสของตนเองครับ

คุณพี่หนุ่ม ให้คุณน้องต๊ะ โพสในหมวด(โครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ ! )นี้เท่านั้น  หลังจากนี้ไป  หากคุณพี่หนุ่มเห็นโพสคุณน้องต๊ะในหมวดอื่น  คุณพี่หนุ่มจะนำมาไว้ในหมวดโครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ !  ครับ



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

น้องต๊ะเจ้าเก่า

  • บุคคลทั่วไป
Re:หลวงปู่เทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2011, 10:16:35 pm »
ปริเฉทสาม
พระอุตรเถระเจ้าอวตารเป็นพระครูเทพผู้วิเศษ

   พระอุตรเถระเจ้า อวตารเป็นพระครูเทพ ผู้วิเศษในสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า ประมาณปี พ.ศ.2127 ระยะเวลาห่างจากสมัยสุโขทัยประมาณ 227 ปี คันคว้าจากตำราไสยศาสตร์ ประกอบความรู้อันบังเกิดจากญาณหรือสิ่งบันดาลใจ จากคำที่ว่าตอนที่สร้างกำแพงเมืองลพบุรี ข้ายังได้เห็น หมายถึง สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มิใช่สมัยลพบุรี (ขอม) และยังมีคำว่า “เทพ” (มาจากคำเทพโลกอุดร) ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่า นับจากแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราชถึงแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินถึง 9 รัชกาลด้วยกัน แต่ปรากฏตามหลักฐานประวัติศาสตร์คำนวณอายุได้ประมาณ 53 ปี เท่านั้น กล่าวคือ
      พระเอกาทศรถ         16 ปี
      พระศรีเสาวภาคย์      ไม่ถึงปี
      พระเจ้าทรงธรรม      8 ปี
      พระเชษฐาธิราช         3 ปี
      พระอาทิตย์วงศ์         37 วัน
      พระเจ้าปราสาททอง      25 ปี
      เจ้าฟ้าลั่น         1 ปี
      พระศรีสุธรรมราชา      3 เดือน
      พระนารายณ์มหาราช      32 ปี (คิดเพียงด้านรัชกาลขณะสร้างกำแพงเมืองให้เวลา 3 ปี)
   รวมรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คงไม่ถึง 100 ปี และองค์พระครูเทพ ผู้วิเศษน่าจะมีอายุยืนยาวเป็นกรณีพิเศษ

   มีบันทึกว่าพระครูเทพ ผู้วิเศษเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างพระโพ ปางยืนห้ามสมุทร (โพ เป็นชื่อต้นไม้ โพธิ แปลว่า ตรัสรู้ ไม่ใช่เรียกชื่อต้นไม้) และพระควัมปติ (ไม่ใช่พระควัมบดี) แต่จะเป็นพระควัมปติ หรือพระมหากัจจายนะเถระเจ้าปางยกหัตถ์ปิดพระพักตร์อธิษฐานวรกาย ยังเป็นปัญหา เพราะเป็นคนละองค์ตามรายพระนามสาวกผู้ทรงเอกะทัคคะ 80 รูป แต่เมื่อสร้างเป็นพระพิมพ์แล้วมีลักษณะอย่างเดียวกัน จงเข้าใจเสียใหม่ว่าพระควัมปติกับพระมหากัจจายนะเถระเจ้า เป็นคนละองค์แน่นอน และพระพิมพ์โลกอุดรส่วนใหญ่มักจะสร้างเป็นรูปพระปิดตา (ยกหัตถ์ปิดพระพักตร์)

อ่าๆๆๆ

ชัดเจนๆๆ มั๊ยครับคุณพี่หนุ่ม และท่านสมาชิกใต้ร่มธรรมผู้ทรงเกียรติ
ปรัปวาทะของกลุ่มลัทธิอืน ศาสนาอื่น

อวตาร มาสอดแทรก สอดไส้ ในพุทธศาสนา

ความเห็นผิด รู้ผิด เข้าใจผิด ของศาสนาอื่น ลัทธิอื่น
เป็นมิจฉาทิฎฐิ

อย่ามาบอกว่า คนเหล่านี้ เป็นศาสนาพุทธ อย่ามาบอกว่า เป็นเถรวาทนะครับ

 :25: :25: :11:

อ้างจาก: น้องต๊ะเจ้าเก่า ที่ วันนี้ เวลา 08:13:35 PM

    อ้างจาก: sithiphong ที่ วันนี้ เวลา 09:28:28 AM

        ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด

        พี่รบกวนคุณน้องต๊ะ  นำพระไตรปิฏก  มาอ้างอิงหน่้อยว่า เป็นอย่างไรครับ



    อ่าๆๆ

    เอาคาถาธรรมบทไปอ่านซะก่อน
    แล้วก็มากราบขอโทษ กราบขอขมา น้องต๊ะซะ

    ในกรณีที่ไม่เป็นที่รักของอสัตบุรุษอ่า
    ในกรณีที่มาแบนน้องต๊ะ อ่า


    คาถาธรรมบท ปัณฑิตวรรคที่ ๖

                 [๑๖]    บุคคลพึงเห็นบุคคลใดผู้มักชี้โทษ เหมือนบุคคลผู้บอก
                              ขุมทรัพย์ มักกล่าวข่มขี่ มีปัญญา พึงคบบุคคลผู้เป็นบัณฑิต
                              เช่นนั้น เพราะว่าเมื่อคบบัณฑิตเช่นนั้น มีแต่คุณที่ประเสริฐ
                              โทษที่ลามกย่อมไม่มี บุคคลพึงกล่าวสอน พึงพร่ำสอน
                              และพึงห้ามจากธรรมของอสัตบุรุษ ก็บุคคลนั้น ย่อมเป็น
                              ที่รักของสัตบุรุษทั้งหลาย แต่ไม่เป็นที่รักของพวกอสัตบุรุษ
                              บุคคลไม่ควรคบมิตรเลวทราม ไม่ควรคบบุรุษอาธรรม์ ควร
                              คบมิตรดี ควรคบบุรุษสูงสุด บุคคลผู้อิ่มเอิบในธรรม
                              มีใจผ่องใสแล้ว ย่อมอยู่เป็นสุข บัณฑิตย่อมยินดีในธรรม
                              ที่พระอริยเจ้าประกาศแล้วทุกเมือ

     :25: :25: :25:

    รู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด แบบคุณพี่หนุ่ม ก็เรียกว่า ปุถุชน ที่ไม่ได้สดับอ่า
    เพราะไม่ได้ละธรรมสี่ประการดังนี้อ่า
    เรียกว่า รู้อะไร ก็รู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดอ่า

    อานันทสูตร
    ละธรรม ๔ ประกอบธรรม ๔ เป็นพระโสดาบัน
                 [๑๔๘๕] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรและท่านพระอานนท์อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
    อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้น เวลาเย็น ท่านพระสารีบุตร
    ออกจากที่เร้นแล้ว เข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระอานนท์ ครั้นผ่าน
    การปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระอานนท์
    ว่า ดูกรอานนท์ เพราะละธรรมเท่าไร เพราะเหตุประกอบธรรมเท่าไร หมู่สัตว์นี้ พระผู้มีพระภาค
    จึงทรงพยากรณ์ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ใน
    เบื้องหน้า?
                 [๑๔๘๖] ท่านพระอานนท์กล่าวตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เพราะละธรรม ๔
    ประการ เพราะเหตุประกอบธรรม ๔ ประการ หมู่สัตว์นี้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงพยากรณ์ว่า
    เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ธรรม ๔
    ประการเป็นไฉน? ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
    เห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ความเลื่อมใสอันไม่
    หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าเห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับ ประกอบ
    ด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติ
    โลกสวรรค์ ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าเห็นปานนั้น ย่อมมีแก่อริยสาวกนั้นว่า
    แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯลฯ เป็นผู้จำแนกธรรม.
                 [๑๔๘๗] ดูกรท่านผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่
    หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
    ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้
    ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป
    ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานนั้น ย่อมมีแก่
    อริยสาวกนั้นว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว ฯลฯ อันวิญญูชน พึงรู้เฉพาะตน.
                 [๑๔๘๘] ดูกรท่านผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่
    หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
    ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้ได้
    สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป
    ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานนั้น ย่อมมีแก่
    อริยสาวกนั้นว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ฯลฯ เป็นนาบุญของโลก
    ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า.
                 [๑๔๘๙] ดูกรท่านผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความทุศีลเห็นปานใด
    เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ความทุศีลเห็นปานนั้น ย่อมไม่มี
    แก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้วเห็นปานใด เมื่อแตกกาย
    ตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว เป็นศีลไม่ขาด ... เป็นไปเพื่อสมาธิ
    เห็นปานนั้น ย่อมมีแก่อริยสาวกนั้น.
                 [๑๔๙๐] ดูกรท่านผู้มีอายุ เพราะละธรรม ๔ ประการนี้ เพราะเหตุประกอบธรรม ๔
    ประการนี้ หมู่สัตว์นี้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงพยากรณ์ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็น
    ธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้อง
    ส่วนเรื่อง ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด
    ก็ไม่ได้เกียวกับเรื่องนี้

    ความรู้ของพระโปฎิละ ไม่ใช่รู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด อ่า
    แต่เป็นความรู้ อันเป็นสัมมาทิฎฐิ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ไม่บริบูรณ์เท่านั้น
    แต่ท่านเลยโสดาบันบุคลไปนานแย้วอ่า

    และในที่สุด ความรู้อันนั้น เมื่อบริบูรณ์  ก็ทำให้ท่านหลุดพ้นได้
    มันไม่เกี่ยวกับเรื่องรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดอ่า


     :25: :25: :25:

    ส่วนเรื่องรู้ท่วมหัว เอาตัวรอด แบบน้องต๊ะ
    ต้องไปอ่านอันนี้
    แล้วจะรู้ ว่า มันกองท่วมหัวน้องต๊ะ แถมทำให้รอดซะด้วยอ่า

    ญาณวัตถุสูตรที่ ๑
                 [๑๑๘] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ
    บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เราจักแสดงญาณวัตถุ ๔๔ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟังซึ่งญาณวัตถุนั้น
    จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
                 [๑๑๙] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ญาณวัตถุ ๔๔
    เป็นไฉน คือความรู้ในชราและมรณะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและ
    มรณะ ๑ ความรู้ในความดับแห่งชราและมรณะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึง
    ความดับแห่งชราและมรณะ ๑ ความรู้ในชาติ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่ง
    ชาติ ๑ ความรู้ในความดับแห่งชาติ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่ง
    ชาติ ๑ ความรู้ในภพ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งภพ ๑ ความรู้ในความ
    ดับแห่งภพ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งภพ ๑ ความรู้ในอุปาทาน ๑
    ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งอุปาทาน ๑ ความรู้ในความดับแห่งอุปาทาน ๑
    ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งอุปาทาน ๑ ความรู้ในตัณหา ๑ ความรู้ใน
    เหตุเป็นแดนเกิดแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในความดับแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในปฏิปทา
    อันให้ถึงความดับแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในเวทนา ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิด
    แห่งเวทนา ๑ ความรู้ในความดับแห่งเวทนา ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความ
    ดับแห่งเวทนา ๑ ความรู้ในผัสสะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งผัสสะ ๑
    ความรู้ในความดับแห่งผัสสะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งผัสสะ ๑
    ความรู้ในสฬายตนะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งสฬายตนะ ๑ ความรู้ใน
    ความดับแห่งสฬายตนะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสฬายตนะ ๑
    ความรู้ในนามรูป ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งนามรูป ๑ ความรู้ในความดับ
    แห่งนามรูป ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งนามรูป ๑ ความรู้ใน
    วิญญาณ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งวิญญาณ ๑ ความรู้ในความดับแห่ง
    วิญญาณ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ ๑ ความรู้ในสังขาร
    ทั้งหลาย ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขาร ๑ ความรู้ในความดับแห่ง
    สังขาร ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เหล่านี้เรียกว่า ญาณวัตถุ ๔๔ ฯ
                 [๑๒๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะ
    ของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความ
    แก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา
    ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธาน มฤตยู
    ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ ความขาดแห่ง
    อินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เราเรียกว่ามรณะ ชราและมรณะ
    ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่าชราและมรณะ เพราะชาติเกิด ชราและมรณะจึงเกิด
    เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น คือ ความเห็น
    ชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ วาจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ อาชีพชอบ ๑ พยายาม
    ชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ความตั้งใจไว้ชอบ ๑ เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่
    ดับชราและมรณะ ฯ
                 [๑๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกรู้ชัดซึ่งชราและมรณะอย่างนี้
    รู้ชัดซึ่งเหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งความดับแห่งชราและ
    มรณะอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะอย่างนี้ นี้ชื่อว่า
    ความรู้ในธรรมของอริยสาวกนั้น อริยสาวกนั้นนำนัยในอดีตและอนาคตไปด้วย
    ธรรมนี้ ซึ่งตนเห็นแล้ว รู้แล้ว ให้ผลไม่มีกำหนดกาล อันตนได้บรรลุแล้ว
    อันตนหยั่งรู้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์ในอดีตกาลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ได้รู้
    ชราและมรณะ ได้รู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะ ได้รู้ความดับแห่งชรา
    และมรณะ ได้รู้ปฏิปทาอันให้ถึง ความดับแห่งชราและมรณะ เหมือนอย่างที่เรารู้
    ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาลแม้เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
    ก็จักรู้ชราและมรณะ จักรู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะ จักรู้ความดับ
    แห่งชราและมรณะ จักรู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ เหมือน
    อย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น นี้ชื่อว่า อันวยญาณของอริยสาวกนั้น ฯ
                 [๑๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรู้ ๒ อย่าง คือธรรมญาณ ๑- อันวย-
    *ญาณ ๒- ๑ เหล่านี้ของอริยสาวก เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย อริยสาวกนี้เราเรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทัศนะบ้าง
    ผู้มาสู่สัทธรรมนี้บ้าง เห็นสัทธรรมนี้บ้าง ประกอบด้วยญาณของพระเสขะบ้าง
    ประกอบด้วยวิชชาของพระเสขะบ้าง ถึงกระแสแห่งธรรมบ้าง เป็นอริยบุคคล
    ผู้มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสบ้าง อยู่ชิดประตูอมตนิพพานบ้าง ฯ
                 [๑๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชาติเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็
    ภพเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อุปาทานเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็ตัณหาเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เวทนาเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็ผัสสะเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สฬายตนะเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ก็นามรูปเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณเป็นไฉน ... ดูกร
    ภิกษุทั้งหลาย ก็สังขารเป็นไฉน ... สังขารมี ๓ คือ กายสังขาร ๑ วจีสังขาร ๑
    @๑. มรรคญาณ ฯ ๒. ผลญาณ ฯ
    จิตสังขาร ๑ นี้เรียกว่าสังขาร เพราะอวิชชาเกิด สังขารจึงเกิด เพราะอวิชชา
    ดับ สังขารจึงดับ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น คือความเห็นชอบ ๑ ความ
    ดำริชอบ ๑ วาจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ อาชีพชอบ ๑ พยายามชอบ ๑
    ระลึกชอบ ๑ ตั้งใจไว้ชอบ ๑ ฯ
                 [๑๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกรู้ชัดสังขารอย่างนี้ รู้ชัดเหตุ
    เป็นแดนเกิดแห่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดความดับแห่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดปฏิปทาอันให้
    ถึงความดับแห่งสังขารอย่างนี้ นี้ชื่อว่า ความรู้ในธรรมของอริยสาวกนั้น อริย-
    *สาวกนั้นย่อมนำนัยในอดีตและอนาคตไปด้วยธรรมนี้ ซึ่งตนเห็นแล้ว รู้แล้ว
    ให้ผลไม่มีกำหนดกาล อันตนได้บรรลุแล้ว อันตนหยั่งรู้แล้ว สมณะหรือ
    พราหมณ์ในอดีตกาลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ได้รู้สังขาร ได้รู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่ง
    สังขาร ได้รู้ความดับแห่งสังขาร ได้รู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร
    เหมือนอย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาล
    แม้เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็จักรู้สังขาร จักรู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขาร จักรู้
    ความดับแห่งสังขาร จักรู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร เหมือนอย่างที่
    เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น นี้ชื่อว่า อันวยญาณของอริยสาวกนั้น ฯ
                 [๑๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรู้ ๒ อย่าง คือธรรมญาณ ๑ อันวย-
    *ญาณ ๑ เหล่านี้ ของอริยสาวก เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย อริยสาวกนี้เราเรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทัศนะบ้าง
    ผู้มาสู่สัทธรรมนี้บ้าง เห็นสัทธรรมนี้บ้าง ประกอบด้วยญาณของพระเสขะบ้าง
    ประกอบด้วยวิชชา ของพระเสขะบ้าง ถึงกระแสแห่งธรรมบ้าง เป็นอริยบุคคล
    ผู้มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสบ้าง อยู่ชิดประตูอมตนิพพานบ้าง ดังนี้ ฯ
    จบสูตรที่ ๓
                 เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖  บรรทัดที่ ๑๔๔๐ - ๑๕๒๕.  หน้าที่  ๕๙ - ๖๒.
     http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=16&A=1440&Z=1525&pagebreak=0


     :25: :25: :25:

    .

-----------------------------------------

น้องต๊ะเจ้าเก่า

Re: ชัมบาลา : บทที่ ๕ ประสานจิตกับกาย
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: วันนี้ เวลา 08:26:09 PM »

    Unapprove
    อ้างถึง


ชัดมั๊ยครับคุณพี่หนุ่ม

รู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด แบบคุณพี่หนุ่ม
รู้ตามพระครูโลกอุดรอวตาร
รู้ตามพระครูโลกอุดรอวตาร
รู้ตามพระครูโลกอุดรอวตาร

 ที่ไม่ใช่ศาสนพุทธ ไม่ใช่เถรวาท
เป็นพวกลัทธิอื่น ศาสนาอื่น นิกายอื่นอ่าครับ

ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานนั้น ย่อมมีแก่
อริยสาวกนั้นว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว ฯลฯ อันวิญญูชน พึงรู้เฉพาะตน.

ข้อนี้แหละสำคัญอ่า
พระพุทธเจ้าท่าน ไม่เคยตรัสสอนเรื่องอวตาร อ่า
ข้อนี้แหละ คือ ไม่รู้จักในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
หาใช่วิญญูชนไม่ อ่า

พวกลัทธิเหล่านั้น ศาสนาเหล่านั้น

จึงมีอุปมาอันเป็นสังขาร ส่วนตัว เช่น ทำจิตให้เหมือนน้ำ
แต่พระพุทธเจ้า เปรียบน้ำเหมือน กิเลสอ่า

ดังนั้น  พวกลัทธิอื่น นิกายอื่น ศาสนาอืน จึงพยายามทำจิต ให้เป็นกิเลสอ่า ให้เป็นเหมือนน้ำอ่า

อุปมาส่วนตัว นี้เลยเป็นกิเลส เจ้าตัวลัทธิ คาดไม่ถึง ไม่รู้ตัวเองอ่า
หลงตัวเองอ่า
เพราะการปฎิบัติไม่พอ และก็ไม่รู้ว่าตนเองทำผิดพลาดอะไรอ่า
เพราะไม่เชื่อพระพุทธเจ้าว่าตรัสไว้ดีแล้วอ่า

เลยเป็นธรรมะที่คนมีมลทินคิดค้นขี้นมาเองอ่า



 :25: :25: :25:

----------------------------------------------------


คุณน้องต๊ะ ไปอ่านเยอะๆครับ

การที่จะให้ไปกราบขอโทษ กราบขอขมา คุณน้องต๊ะ

คงเป็นไปไม่ได้

เนื่องจาก เมื่อไหร่ที่คุณน้องต๊ะ  กลับไปหาคุณพ่อของน้องต๊ะ , คุณแม่ของน้องต๊ะ และ ครูบาอาจารย์ของน้องต๊ะให้อบรมสั่งสอนมาให้ดีก่อน  เมื่อนั้น คุณพี่หนุ่ม จะบอกกราบหน้าบอร์ด

การเป็นคนดี  อย่าไปดูถูก ดูหมิ่น ปรามาส ครูบาอาจารย์ของคนอื่น

กราบเนื่องจากกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี  ไม่นำพระธรรม มาหาความชอบธรรมในโพสของตนเองครับ

คุณพี่หนุ่ม ให้คุณน้องต๊ะ โพสในหมวด(โครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ ! )นี้เท่านั้น  หลังจากนี้ไป  หากคุณพี่หนุ่มเห็นโพสคุณน้องต๊ะในหมวดอื่น  คุณพี่หนุ่มจะนำมาไว้ในหมวดโครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ !  ครับ


อ่าๆๆ นี่ไง
อสัตบุรุษ
ไม่มากราบน้องต๊ะ น้องต๊ะก็ไม่ว่าอะไรหรอก
จะเอาพ่อแม่คุณพี่หนุ่ม มากราบน้องต๊ะแทน น้องต๊ะ ก็ไม่ขัดหรอก อ่า

น้องต๊ะใจกว้างอยู่แล้วอ่า


อสัตบุรุษ อ่านธรรมะไม่รู้เรื่อง อ่านและเก็บได้ก็แต่คิดว่าปรามาส ดูหมิ่น ดูแคลน
สัจจะธรรมน่ะ ไม่รู้จัก เพราะตาบอด หลงเชื่อว่า เพราะครูบาโลกอุดรนี่เป็นครูบาอจารย์ของตน
พระพุทธเจ้าสอนอะไร จีงไม่ฟัง จึงรับฟังไม่ได้

พระไตรปิฎก ตีแตก หน้าแหก หมอไม่รับเย็บ ก็หาว่าพระไตรปิฎกปรามาส ดูถูก ดูหมิ่น อ่าๆๆๆๆ
น้องต๊ะยกพระธรรมในพระไตรปิฎก มาเทียบเตียงให้เห็นชัดๆๆ
ว่ากะปอมก่า ของปลอมมันเป็นยังไง

อสัตบุรุษ แบบคุณพี่หนุ่ม อ่านธรรมะไม่เข้าใจ ก็แบบนี้แหละครับ
พระธรรม ไม่ได้เพื่อหาความชอบหรอกนะครับ

แต่พระธรรม เป็นสิ่งที่ใช้หาความจริง คือสัจธรรม
แค่นี้ คุณพี่หนุ่มก็เข้าใจไม่ถุกแล้วอ่า

คำพูดคุณพี่หนุ่มน่ะ ไร้สาระ นะจะบอกให้
ไม่สามารถเอาพระไตรปิฎกมายืนยันได้
และคำพูดครูบาโลกอุดร
ก็ถูกพระไตรปิฎกตีแตกหน้าแตกหมอไม่รับเย็บโดนน๊อคไป
ตั้งแต่โม้อมตะเรื่องที่หนึ่งแล้ว

เดี๋ยวว่างๆ น้องต๊ะ จะยกธรรมะครูบาโลกอุดร มาเทียบเคียงพระไตรปิฎก อีกหลายๆข้อ

แน่จริงก็มาเถียงในหัวข้อธรรมะต่างๆดีกว่านะครับ
เอาหลักธรรมมาโต้ปย้ง จะดีกว่านะครับ
คุณพี่หนุ่ม อย่ามาเถียงแบบแม่ค้า เถียงแถไปแถมา อย่างเลื่อนลอย ไร้สาระอ่าครับ

ที่คุณพี่หนุ่มมาเถียงแบบแม่ค้าจนตรอกนั้น มันไม่ได้แก้ข้อกังขา เรื่องโม้อมตะไปได้ดอกครับ

ของจริง สัจธรรมจริง ไม่กลัวการถูกตรวจสอบหรอกครับ
มันต้องแก้ข้อกังขาด้วยธรรมะได้อ่า

มหาวิโลกะนะที่พระพุทธเจ้าตรัส ก็กำจัดกะปอมก่า มารในพระพุทธศาสนาเถรวาท ได้ชงัดอยู่แล้ว

ก็ตอบมาซีครับ
ว่าโม้อมตะ มีชีวิตยืนยาว เกินที่พระพุทธเจ้าส่องอายุสัตว์โลก ก่อนมาประสูตินั่น
มาได้ยังไงอ่า

กุ๋ยๆๆ

โม้อมตะ เกิดโลกไหนมา กุ๋ยๆๆ อายุยืนยาว จนเกินพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วอ่า

หาคำตอบ มาให้ชื่นใจหน่อยสิครับ
หาคำตอบ หาธรรมะ มาตอบมาให้ชื่นใจหน่อยสิครับ ว่าอวตารน่ะ ต้องมีธรรมะอะไรบ้างถึงอวตารได้อ่า
อย่ามาเถียงแบบข้างๆคูๆๆนะ  ไม่เอา
หาธรรมะมาตอบ ดีกว่า อย่ามาพูดลอยๆเพ้อเจ้ออ่า
เข้าใจมั๊ย ถ้าไม่มีพระธรรมรองรับ เรียกว่าเพ้อเจ้ออ่า


 :42: :42: :42:











ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re:หลวงปู่เทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ)
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2011, 10:21:20 pm »
ปริเฉทสาม
พระอุตรเถระเจ้าอวตารเป็นพระครูเทพผู้วิเศษ

   พระอุตรเถระเจ้า อวตารเป็นพระครูเทพ ผู้วิเศษในสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า ประมาณปี พ.ศ.2127 ระยะเวลาห่างจากสมัยสุโขทัยประมาณ 227 ปี คันคว้าจากตำราไสยศาสตร์ ประกอบความรู้อันบังเกิดจากญาณหรือสิ่งบันดาลใจ จากคำที่ว่าตอนที่สร้างกำแพงเมืองลพบุรี ข้ายังได้เห็น หมายถึง สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มิใช่สมัยลพบุรี (ขอม) และยังมีคำว่า “เทพ” (มาจากคำเทพโลกอุดร) ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่า นับจากแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราชถึงแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินถึง 9 รัชกาลด้วยกัน แต่ปรากฏตามหลักฐานประวัติศาสตร์คำนวณอายุได้ประมาณ 53 ปี เท่านั้น กล่าวคือ
      พระเอกาทศรถ         16 ปี
      พระศรีเสาวภาคย์      ไม่ถึงปี
      พระเจ้าทรงธรรม      8 ปี
      พระเชษฐาธิราช         3 ปี
      พระอาทิตย์วงศ์         37 วัน
      พระเจ้าปราสาททอง      25 ปี
      เจ้าฟ้าลั่น         1 ปี
      พระศรีสุธรรมราชา      3 เดือน
      พระนารายณ์มหาราช      32 ปี (คิดเพียงด้านรัชกาลขณะสร้างกำแพงเมืองให้เวลา 3 ปี)
   รวมรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คงไม่ถึง 100 ปี และองค์พระครูเทพ ผู้วิเศษน่าจะมีอายุยืนยาวเป็นกรณีพิเศษ

   มีบันทึกว่าพระครูเทพ ผู้วิเศษเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างพระโพ ปางยืนห้ามสมุทร (โพ เป็นชื่อต้นไม้ โพธิ แปลว่า ตรัสรู้ ไม่ใช่เรียกชื่อต้นไม้) และพระควัมปติ (ไม่ใช่พระควัมบดี) แต่จะเป็นพระควัมปติ หรือพระมหากัจจายนะเถระเจ้าปางยกหัตถ์ปิดพระพักตร์อธิษฐานวรกาย ยังเป็นปัญหา เพราะเป็นคนละองค์ตามรายพระนามสาวกผู้ทรงเอกะทัคคะ 80 รูป แต่เมื่อสร้างเป็นพระพิมพ์แล้วมีลักษณะอย่างเดียวกัน จงเข้าใจเสียใหม่ว่าพระควัมปติกับพระมหากัจจายนะเถระเจ้า เป็นคนละองค์แน่นอน และพระพิมพ์โลกอุดรส่วนใหญ่มักจะสร้างเป็นรูปพระปิดตา (ยกหัตถ์ปิดพระพักตร์)

อ่าๆๆๆ

ชัดเจนๆๆ มั๊ยครับคุณพี่หนุ่ม และท่านสมาชิกใต้ร่มธรรมผู้ทรงเกียรติ
ปรัปวาทะของกลุ่มลัทธิอืน ศาสนาอื่น

อวตาร มาสอดแทรก สอดไส้ ในพุทธศาสนา

ความเห็นผิด รู้ผิด เข้าใจผิด ของศาสนาอื่น ลัทธิอื่น
เป็นมิจฉาทิฎฐิ

อย่ามาบอกว่า คนเหล่านี้ เป็นศาสนาพุทธ อย่ามาบอกว่า เป็นเถรวาทนะครับ

 :25: :25: :11:

อ้างจาก: น้องต๊ะเจ้าเก่า ที่ วันนี้ เวลา 08:13:35 PM

    อ้างจาก: sithiphong ที่ วันนี้ เวลา 09:28:28 AM

        ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด

        พี่รบกวนคุณน้องต๊ะ  นำพระไตรปิฏก  มาอ้างอิงหน่้อยว่า เป็นอย่างไรครับ



    อ่าๆๆ

    เอาคาถาธรรมบทไปอ่านซะก่อน
    แล้วก็มากราบขอโทษ กราบขอขมา น้องต๊ะซะ

    ในกรณีที่ไม่เป็นที่รักของอสัตบุรุษอ่า
    ในกรณีที่มาแบนน้องต๊ะ อ่า


    คาถาธรรมบท ปัณฑิตวรรคที่ ๖

                 [๑๖]    บุคคลพึงเห็นบุคคลใดผู้มักชี้โทษ เหมือนบุคคลผู้บอก
                              ขุมทรัพย์ มักกล่าวข่มขี่ มีปัญญา พึงคบบุคคลผู้เป็นบัณฑิต
                              เช่นนั้น เพราะว่าเมื่อคบบัณฑิตเช่นนั้น มีแต่คุณที่ประเสริฐ
                              โทษที่ลามกย่อมไม่มี บุคคลพึงกล่าวสอน พึงพร่ำสอน
                              และพึงห้ามจากธรรมของอสัตบุรุษ ก็บุคคลนั้น ย่อมเป็น
                              ที่รักของสัตบุรุษทั้งหลาย แต่ไม่เป็นที่รักของพวกอสัตบุรุษ
                              บุคคลไม่ควรคบมิตรเลวทราม ไม่ควรคบบุรุษอาธรรม์ ควร
                              คบมิตรดี ควรคบบุรุษสูงสุด บุคคลผู้อิ่มเอิบในธรรม
                              มีใจผ่องใสแล้ว ย่อมอยู่เป็นสุข บัณฑิตย่อมยินดีในธรรม
                              ที่พระอริยเจ้าประกาศแล้วทุกเมือ

     :25: :25: :25:

    รู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด แบบคุณพี่หนุ่ม ก็เรียกว่า ปุถุชน ที่ไม่ได้สดับอ่า
    เพราะไม่ได้ละธรรมสี่ประการดังนี้อ่า
    เรียกว่า รู้อะไร ก็รู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดอ่า

    อานันทสูตร
    ละธรรม ๔ ประกอบธรรม ๔ เป็นพระโสดาบัน
                 [๑๔๘๕] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรและท่านพระอานนท์อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
    อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้น เวลาเย็น ท่านพระสารีบุตร
    ออกจากที่เร้นแล้ว เข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระอานนท์ ครั้นผ่าน
    การปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระอานนท์
    ว่า ดูกรอานนท์ เพราะละธรรมเท่าไร เพราะเหตุประกอบธรรมเท่าไร หมู่สัตว์นี้ พระผู้มีพระภาค
    จึงทรงพยากรณ์ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ใน
    เบื้องหน้า?
                 [๑๔๘๖] ท่านพระอานนท์กล่าวตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เพราะละธรรม ๔
    ประการ เพราะเหตุประกอบธรรม ๔ ประการ หมู่สัตว์นี้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงพยากรณ์ว่า
    เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ธรรม ๔
    ประการเป็นไฉน? ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
    เห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ความเลื่อมใสอันไม่
    หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าเห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับ ประกอบ
    ด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติ
    โลกสวรรค์ ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าเห็นปานนั้น ย่อมมีแก่อริยสาวกนั้นว่า
    แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯลฯ เป็นผู้จำแนกธรรม.
                 [๑๔๘๗] ดูกรท่านผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่
    หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
    ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้
    ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป
    ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานนั้น ย่อมมีแก่
    อริยสาวกนั้นว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว ฯลฯ อันวิญญูชน พึงรู้เฉพาะตน.
                 [๑๔๘๘] ดูกรท่านผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่
    หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
    ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้ได้
    สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป
    ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานนั้น ย่อมมีแก่
    อริยสาวกนั้นว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ฯลฯ เป็นนาบุญของโลก
    ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า.
                 [๑๔๘๙] ดูกรท่านผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความทุศีลเห็นปานใด
    เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ความทุศีลเห็นปานนั้น ย่อมไม่มี
    แก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้วเห็นปานใด เมื่อแตกกาย
    ตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว เป็นศีลไม่ขาด ... เป็นไปเพื่อสมาธิ
    เห็นปานนั้น ย่อมมีแก่อริยสาวกนั้น.
                 [๑๔๙๐] ดูกรท่านผู้มีอายุ เพราะละธรรม ๔ ประการนี้ เพราะเหตุประกอบธรรม ๔
    ประการนี้ หมู่สัตว์นี้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงพยากรณ์ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็น
    ธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้อง
    ส่วนเรื่อง ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด
    ก็ไม่ได้เกียวกับเรื่องนี้

    ความรู้ของพระโปฎิละ ไม่ใช่รู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด อ่า
    แต่เป็นความรู้ อันเป็นสัมมาทิฎฐิ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ไม่บริบูรณ์เท่านั้น
    แต่ท่านเลยโสดาบันบุคลไปนานแย้วอ่า

    และในที่สุด ความรู้อันนั้น เมื่อบริบูรณ์  ก็ทำให้ท่านหลุดพ้นได้
    มันไม่เกี่ยวกับเรื่องรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดอ่า


     :25: :25: :25:

    ส่วนเรื่องรู้ท่วมหัว เอาตัวรอด แบบน้องต๊ะ
    ต้องไปอ่านอันนี้
    แล้วจะรู้ ว่า มันกองท่วมหัวน้องต๊ะ แถมทำให้รอดซะด้วยอ่า

    ญาณวัตถุสูตรที่ ๑
                 [๑๑๘] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ
    บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เราจักแสดงญาณวัตถุ ๔๔ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟังซึ่งญาณวัตถุนั้น
    จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
                 [๑๑๙] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ญาณวัตถุ ๔๔
    เป็นไฉน คือความรู้ในชราและมรณะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและ
    มรณะ ๑ ความรู้ในความดับแห่งชราและมรณะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึง
    ความดับแห่งชราและมรณะ ๑ ความรู้ในชาติ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่ง
    ชาติ ๑ ความรู้ในความดับแห่งชาติ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่ง
    ชาติ ๑ ความรู้ในภพ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งภพ ๑ ความรู้ในความ
    ดับแห่งภพ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งภพ ๑ ความรู้ในอุปาทาน ๑
    ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งอุปาทาน ๑ ความรู้ในความดับแห่งอุปาทาน ๑
    ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งอุปาทาน ๑ ความรู้ในตัณหา ๑ ความรู้ใน
    เหตุเป็นแดนเกิดแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในความดับแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในปฏิปทา
    อันให้ถึงความดับแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในเวทนา ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิด
    แห่งเวทนา ๑ ความรู้ในความดับแห่งเวทนา ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความ
    ดับแห่งเวทนา ๑ ความรู้ในผัสสะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งผัสสะ ๑
    ความรู้ในความดับแห่งผัสสะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งผัสสะ ๑
    ความรู้ในสฬายตนะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งสฬายตนะ ๑ ความรู้ใน
    ความดับแห่งสฬายตนะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสฬายตนะ ๑
    ความรู้ในนามรูป ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งนามรูป ๑ ความรู้ในความดับ
    แห่งนามรูป ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งนามรูป ๑ ความรู้ใน
    วิญญาณ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งวิญญาณ ๑ ความรู้ในความดับแห่ง
    วิญญาณ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ ๑ ความรู้ในสังขาร
    ทั้งหลาย ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขาร ๑ ความรู้ในความดับแห่ง
    สังขาร ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เหล่านี้เรียกว่า ญาณวัตถุ ๔๔ ฯ
                 [๑๒๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะ
    ของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความ
    แก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา
    ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธาน มฤตยู
    ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ ความขาดแห่ง
    อินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เราเรียกว่ามรณะ ชราและมรณะ
    ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่าชราและมรณะ เพราะชาติเกิด ชราและมรณะจึงเกิด
    เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น คือ ความเห็น
    ชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ วาจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ อาชีพชอบ ๑ พยายาม
    ชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ความตั้งใจไว้ชอบ ๑ เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่
    ดับชราและมรณะ ฯ
                 [๑๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกรู้ชัดซึ่งชราและมรณะอย่างนี้
    รู้ชัดซึ่งเหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งความดับแห่งชราและ
    มรณะอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะอย่างนี้ นี้ชื่อว่า
    ความรู้ในธรรมของอริยสาวกนั้น อริยสาวกนั้นนำนัยในอดีตและอนาคตไปด้วย
    ธรรมนี้ ซึ่งตนเห็นแล้ว รู้แล้ว ให้ผลไม่มีกำหนดกาล อันตนได้บรรลุแล้ว
    อันตนหยั่งรู้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์ในอดีตกาลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ได้รู้
    ชราและมรณะ ได้รู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะ ได้รู้ความดับแห่งชรา
    และมรณะ ได้รู้ปฏิปทาอันให้ถึง ความดับแห่งชราและมรณะ เหมือนอย่างที่เรารู้
    ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาลแม้เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
    ก็จักรู้ชราและมรณะ จักรู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะ จักรู้ความดับ
    แห่งชราและมรณะ จักรู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ เหมือน
    อย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น นี้ชื่อว่า อันวยญาณของอริยสาวกนั้น ฯ
                 [๑๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรู้ ๒ อย่าง คือธรรมญาณ ๑- อันวย-
    *ญาณ ๒- ๑ เหล่านี้ของอริยสาวก เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย อริยสาวกนี้เราเรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทัศนะบ้าง
    ผู้มาสู่สัทธรรมนี้บ้าง เห็นสัทธรรมนี้บ้าง ประกอบด้วยญาณของพระเสขะบ้าง
    ประกอบด้วยวิชชาของพระเสขะบ้าง ถึงกระแสแห่งธรรมบ้าง เป็นอริยบุคคล
    ผู้มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสบ้าง อยู่ชิดประตูอมตนิพพานบ้าง ฯ
                 [๑๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชาติเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็
    ภพเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อุปาทานเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็ตัณหาเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เวทนาเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็ผัสสะเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สฬายตนะเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ก็นามรูปเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณเป็นไฉน ... ดูกร
    ภิกษุทั้งหลาย ก็สังขารเป็นไฉน ... สังขารมี ๓ คือ กายสังขาร ๑ วจีสังขาร ๑
    @๑. มรรคญาณ ฯ ๒. ผลญาณ ฯ
    จิตสังขาร ๑ นี้เรียกว่าสังขาร เพราะอวิชชาเกิด สังขารจึงเกิด เพราะอวิชชา
    ดับ สังขารจึงดับ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น คือความเห็นชอบ ๑ ความ
    ดำริชอบ ๑ วาจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ อาชีพชอบ ๑ พยายามชอบ ๑
    ระลึกชอบ ๑ ตั้งใจไว้ชอบ ๑ ฯ
                 [๑๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกรู้ชัดสังขารอย่างนี้ รู้ชัดเหตุ
    เป็นแดนเกิดแห่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดความดับแห่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดปฏิปทาอันให้
    ถึงความดับแห่งสังขารอย่างนี้ นี้ชื่อว่า ความรู้ในธรรมของอริยสาวกนั้น อริย-
    *สาวกนั้นย่อมนำนัยในอดีตและอนาคตไปด้วยธรรมนี้ ซึ่งตนเห็นแล้ว รู้แล้ว
    ให้ผลไม่มีกำหนดกาล อันตนได้บรรลุแล้ว อันตนหยั่งรู้แล้ว สมณะหรือ
    พราหมณ์ในอดีตกาลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ได้รู้สังขาร ได้รู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่ง
    สังขาร ได้รู้ความดับแห่งสังขาร ได้รู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร
    เหมือนอย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาล
    แม้เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็จักรู้สังขาร จักรู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขาร จักรู้
    ความดับแห่งสังขาร จักรู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร เหมือนอย่างที่
    เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น นี้ชื่อว่า อันวยญาณของอริยสาวกนั้น ฯ
                 [๑๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรู้ ๒ อย่าง คือธรรมญาณ ๑ อันวย-
    *ญาณ ๑ เหล่านี้ ของอริยสาวก เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย อริยสาวกนี้เราเรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทัศนะบ้าง
    ผู้มาสู่สัทธรรมนี้บ้าง เห็นสัทธรรมนี้บ้าง ประกอบด้วยญาณของพระเสขะบ้าง
    ประกอบด้วยวิชชา ของพระเสขะบ้าง ถึงกระแสแห่งธรรมบ้าง เป็นอริยบุคคล
    ผู้มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสบ้าง อยู่ชิดประตูอมตนิพพานบ้าง ดังนี้ ฯ
    จบสูตรที่ ๓
                 เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖  บรรทัดที่ ๑๔๔๐ - ๑๕๒๕.  หน้าที่  ๕๙ - ๖๒.
     http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=16&A=1440&Z=1525&pagebreak=0


     :25: :25: :25:

    .

-----------------------------------------

น้องต๊ะเจ้าเก่า

Re: ชัมบาลา : บทที่ ๕ ประสานจิตกับกาย
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: วันนี้ เวลา 08:26:09 PM »

    Unapprove
    อ้างถึง


ชัดมั๊ยครับคุณพี่หนุ่ม

รู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด แบบคุณพี่หนุ่ม
รู้ตามพระครูโลกอุดรอวตาร
รู้ตามพระครูโลกอุดรอวตาร
รู้ตามพระครูโลกอุดรอวตาร

 ที่ไม่ใช่ศาสนพุทธ ไม่ใช่เถรวาท
เป็นพวกลัทธิอื่น ศาสนาอื่น นิกายอื่นอ่าครับ

ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานนั้น ย่อมมีแก่
อริยสาวกนั้นว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว ฯลฯ อันวิญญูชน พึงรู้เฉพาะตน.

ข้อนี้แหละสำคัญอ่า
พระพุทธเจ้าท่าน ไม่เคยตรัสสอนเรื่องอวตาร อ่า
ข้อนี้แหละ คือ ไม่รู้จักในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
หาใช่วิญญูชนไม่ อ่า

พวกลัทธิเหล่านั้น ศาสนาเหล่านั้น

จึงมีอุปมาอันเป็นสังขาร ส่วนตัว เช่น ทำจิตให้เหมือนน้ำ
แต่พระพุทธเจ้า เปรียบน้ำเหมือน กิเลสอ่า

ดังนั้น  พวกลัทธิอื่น นิกายอื่น ศาสนาอืน จึงพยายามทำจิต ให้เป็นกิเลสอ่า ให้เป็นเหมือนน้ำอ่า

อุปมาส่วนตัว นี้เลยเป็นกิเลส เจ้าตัวลัทธิ คาดไม่ถึง ไม่รู้ตัวเองอ่า
หลงตัวเองอ่า
เพราะการปฎิบัติไม่พอ และก็ไม่รู้ว่าตนเองทำผิดพลาดอะไรอ่า
เพราะไม่เชื่อพระพุทธเจ้าว่าตรัสไว้ดีแล้วอ่า

เลยเป็นธรรมะที่คนมีมลทินคิดค้นขี้นมาเองอ่า



 :25: :25: :25:

----------------------------------------------------


คุณน้องต๊ะ ไปอ่านเยอะๆครับ

การที่จะให้ไปกราบขอโทษ กราบขอขมา คุณน้องต๊ะ

คงเป็นไปไม่ได้

เนื่องจาก เมื่อไหร่ที่คุณน้องต๊ะ  กลับไปหาคุณพ่อของน้องต๊ะ , คุณแม่ของน้องต๊ะ และ ครูบาอาจารย์ของน้องต๊ะให้อบรมสั่งสอนมาให้ดีก่อน  เมื่อนั้น คุณพี่หนุ่ม จะบอกกราบหน้าบอร์ด

การเป็นคนดี  อย่าไปดูถูก ดูหมิ่น ปรามาส ครูบาอาจารย์ของคนอื่น

กราบเนื่องจากกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี  ไม่นำพระธรรม มาหาความชอบธรรมในโพสของตนเองครับ

คุณพี่หนุ่ม ให้คุณน้องต๊ะ โพสในหมวด(โครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ ! )นี้เท่านั้น  หลังจากนี้ไป  หากคุณพี่หนุ่มเห็นโพสคุณน้องต๊ะในหมวดอื่น  คุณพี่หนุ่มจะนำมาไว้ในหมวดโครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ !  ครับ


อ่าๆๆ นี่ไง
อสัตบุรุษ
ไม่มากราบน้องต๊ะ น้องต๊ะก็ไม่ว่าอะไรหรอก
จะเอาพ่อแม่คุณพี่หนุ่ม มากราบน้องต๊ะแทน น้องต๊ะ ก็ไม่ขัดหรอก อ่า

น้องต๊ะใจกว้างอยู่แล้วอ่า


อสัตบุรุษ อ่านธรรมะไม่รู้เรื่อง อ่านและเก็บได้ก็แต่คิดว่าปรามาส ดูหมิ่น ดูแคลน
สัจจะธรรมน่ะ ไม่รู้จัก เพราะตาบอด หลงเชื่อว่า เพราะครูบาโลกอุดรนี่เป็นครูบาอจารย์ของตน
พระพุทธเจ้าสอนอะไร จีงไม่ฟัง จึงรับฟังไม่ได้

พระไตรปิฎก ตีแตก หน้าแหก หมอไม่รับเย็บ ก็หาว่าพระไตรปิฎกปรามาส ดูถูก ดูหมิ่น อ่าๆๆๆๆ
น้องต๊ะยกพระธรรมในพระไตรปิฎก มาเทียบเตียงให้เห็นชัดๆๆ
ว่ากะปอมก่า ของปลอมมันเป็นยังไง

อสัตบุรุษ แบบคุณพี่หนุ่ม อ่านธรรมะไม่เข้าใจ ก็แบบนี้แหละครับ
พระธรรม ไม่ได้เพื่อหาความชอบหรอกนะครับ

แต่พระธรรม เป็นสิ่งที่ใช้หาความจริง คือสัจธรรม
แค่นี้ คุณพี่หนุ่มก็เข้าใจไม่ถุกแล้วอ่า

คำพูดคุณพี่หนุ่มน่ะ ไร้สาระ นะจะบอกให้
ไม่สามารถเอาพระไตรปิฎกมายืนยันได้
และคำพูดครูบาโลกอุดร
ก็ถูกพระไตรปิฎกตีแตกหน้าแตกหมอไม่รับเย็บโดนน๊อคไป
ตั้งแต่โม้อมตะเรื่องที่หนึ่งแล้ว

เดี๋ยวว่างๆ น้องต๊ะ จะยกธรรมะครูบาโลกอุดร มาเทียบเคียงพระไตรปิฎก อีกหลายๆข้อ

แน่จริงก็มาเถียงในหัวข้อธรรมะต่างๆดีกว่านะครับ
เอาหลักธรรมมาโต้ปย้ง จะดีกว่านะครับ
คุณพี่หนุ่ม อย่ามาเถียงแบบแม่ค้า เถียงแถไปแถมา อย่างเลื่อนลอย ไร้สาระอ่าครับ

ที่คุณพี่หนุ่มมาเถียงแบบแม่ค้าจนตรอกนั้น มันไม่ได้แก้ข้อกังขา เรื่องโม้อมตะไปได้ดอกครับ

ของจริง สัจธรรมจริง ไม่กลัวการถูกตรวจสอบหรอกครับ
มันต้องแก้ข้อกังขาด้วยธรรมะได้อ่า

มหาวิโลกะนะที่พระพุทธเจ้าตรัส ก็กำจัดกะปอมก่า มารในพระพุทธศาสนาเถรวาท ได้ชงัดอยู่แล้ว

ก็ตอบมาซีครับ
ว่าโม้อมตะ มีชีวิตยืนยาว เกินที่พระพุทธเจ้าส่องอายุสัตว์โลก ก่อนมาประสูตินั่น
มาได้ยังไงอ่า

กุ๋ยๆๆ

โม้อมตะ เกิดโลกไหนมา กุ๋ยๆๆ อายุยืนยาว จนเกินพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วอ่า

หาคำตอบ มาให้ชื่นใจหน่อยสิครับ
หาคำตอบ หาธรรมะ มาตอบมาให้ชื่นใจหน่อยสิครับ ว่าอวตารน่ะ ต้องมีธรรมะอะไรบ้างถึงอวตารได้อ่า
อย่ามาเถียงแบบข้างๆคูๆๆนะ  ไม่เอา
หาธรรมะมาตอบ ดีกว่า อย่ามาพูดลอยๆเพ้อเจ้ออ่า
เข้าใจมั๊ย ถ้าไม่มีพระธรรมรองรับ เรียกว่าเพ้อเจ้ออ่า


 :42: :42: :42:


ให้โพสในหมวด โครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ !  เท่านั้นครับ

จะเปรียบเทียบอะไร  อย่างไร  โพสเรื่องอะไร  ก็โพสไปได้เลยครับ

ห้ามไปโพสในหมวดอื่นครับ

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

น้องต๊ะเจ้าเก่า

  • บุคคลทั่วไป
Re:หลวงปู่เทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ)
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2011, 11:05:43 pm »
ขอบคุณมากอ่าครับ
คุณพี่หนุ่ม
น้องต๊ะจะเปรียบเทียบให้

เปรียบเทียบระหว่างลัทธิเกรียนที่อ้างว่าเป็นพระอรหันต์
ที่เที่ยวไปสิงร่างโน้นร่างนี้ เพื่อมาทำบารมีต่อ

กับพระไตรปิฎกอ่าจ๊ะ

จะได้เห็นชัดๆ ว่าลัทธิเกรียนล้างสมองคุณพี่หนุ่มงอมแงมยังไงอ่า
ถ้าฉลาดขี้น ก็ถอนตัวซะ นะ
น้องต๊ะหวังดีอ่า

อย่าถลำลึกจนโงหัวไม่ขี้นอ่า


ปล. ว่างๆ คุณพี่หนุ่มแสดงบัญชีรายรับรายจ่ายธนาคารบัญชีเงินบริจาค ให้น้องต๊ะดูมั่งฮี่

 :25: :25: :25:




ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re:หลวงปู่เทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ)
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2011, 06:44:19 am »
ขอบคุณมากอ่าครับ
คุณพี่หนุ่ม
น้องต๊ะจะเปรียบเทียบให้

เปรียบเทียบระหว่างลัทธิเกรียนที่อ้างว่าเป็นพระอรหันต์
ที่เที่ยวไปสิงร่างโน้นร่างนี้ เพื่อมาทำบารมีต่อ

กับพระไตรปิฎกอ่าจ๊ะ

จะได้เห็นชัดๆ ว่าลัทธิเกรียนล้างสมองคุณพี่หนุ่มงอมแงมยังไงอ่า
ถ้าฉลาดขี้น ก็ถอนตัวซะ นะ
น้องต๊ะหวังดีอ่า

อย่าถลำลึกจนโงหัวไม่ขี้นอ่า


ปล. ว่างๆ คุณพี่หนุ่มแสดงบัญชีรายรับรายจ่ายธนาคารบัญชีเงินบริจาค ให้น้องต๊ะดูมั่งฮี่

 :25: :25: :25:

คุณน้องต๊ะ น่ารักมาก

มาเกรียนในหมวดโครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ !

เยี่ยมมากแล้ว

ปล.คุณพี่หนุ่มไม่ว่าง  งานยุ่ง เพราะว่าต้องย้ายกระทู้คุณน้องต๊ะให้มา เกรียนใน หมวดโครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ ! ถ้าว่างจะมาตอบเรื่องเงินบริจาคให้คุณน้องต๊ะว่า คุณน้องต๊ะไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยอ่า  กิ้วๆๆๆ

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)