บทที่ ๑๖ โลกศักดิ์สิทธิ์“เมื่อมนุษย์ได้สูญเสียสายสัมพันธ์ที่มีต่อธรรมชาติต่อฟากฟ้าและแผ่นดิน
เมื่อนั้น เขาก็ไม่รู้วิธีในการบำรุงรักษาสิ่งแวดล้อม
หรือในการจัดการกับโลกของตน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกัน
มนุษย์ได้ทำลายระบบนิเวศน์ลง
และในขณะเดียวกันก็ได้ทำลายกันและกันลงด้วย
จากมุมมองนี้เองการเยียวยาบำบัดสายสัมพันธ์ส่วนตัว
อันเชื่อมโยงอยู่กับโลกแห่งปรากฏการณ์” ......ดังที่เราได้พูดกันมาแล้วในสองบทก่อนว่า ความหยิ่งยโสและความเคยชินเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงดราละ ในการที่จะค้นพบอำนายวิเศษในโลกได้ เคาจำเป็นต้องเอาชนะความผิดปกติทางใจและทัศนะเอาแต่ใจตนเอง ซึ่งขวางกั้นเราไว้จากการเข้าถึงญาณทัศนะอันอยู่เหนือขึ้นไป โดยการทำให้การมองเห็นของเราพร่ามัว มันยังขวางกั้นเราไว้ให้มิอาจยกระดับจิตวิญญาณตนเอง เพื่อแผ่กว้างช่วยเหลือผู้อื่น
......มีบางคนรู้สึกว่าปัญหาของโลกนั้นบีบคั้นยิ่ง ดังนั้นภารกิจทางสังคมและการเมืองจึงจำเป็นต้องมาก่อนพัฒนาการของปัจเจกชน เราอาจรู้สึกว่าเราจำต้องอุทิศตน จำต้องเสียสละความต้องการส่วนตนโดยสิ้นเชิงเพื่อที่จะทำงานให้ส่วนรวมในรูปการณ์อันสุดโต่งเช่นนี้เอง วิธีคิดเช่นนี้เองที่ถือว่าความผิดปกติทางใจและความก้าวหน้าของปัจเจกชนเป็นผลมาจากสังคมที่ป่วยไข้ ดังนั้นเองผู้คนเหล่านั้นจึงพยายามใช้ความผิดปกติและความก้าวร้าวเหล่านั้นเพื่อก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น
......อย่างไรก็ดีตามหลักคำสอนชัมบาลาแล้ว เราจำต้องตระหนักไว้ด้วยว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเราเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงอยู่กับทัศนะแห่งสังคมในอุดมคติ ดังนั้นเราจึงต้องก้าวไปทีละก้าว ถ้าเราพยายามที่จะแก้ปัญหาสังคมโดยไม่ได้เอาชนะความสับสนและความก้าวร้วในจิตใจของเราเองแล้ว เมื่อนั้นความพยายามทั้งมวลแทนที่จะช่วยแก้ปัยหาก้จะกลับไปเสริมปัญหาพื้นฐานให้หนักยิ่งขึ้น นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำหมนักรบจำเป็นต้องเดินทางแสวงหาไปเพียงลำพัง ก่อนที่เราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาที่กว้างใหญ่หว่านี้ อีกประการหนึ่ง จะนับเป็นเรื่องน่าเศร้ามากหากญาณทัศนะชัมบาลาถูกนำไปใช้เพียแค่เป็นความพยายามอย่างหนึ่งที่จะสร้างตนเองขึ้นมา โดยไม่สนใจต่อภาระรับผิดชอบที่มีต่อผู้อื่น เป้าหมายของความเป็นนักรบก็คือการเป็นผู้อ่อนโยน เป็นมนุษย์ที่ได้รับการขัดเกลาแล้ว ซึ่งอาจสร้างสรรค์สิ่งดีงามขึ้นในโลกนี้ได้ การเดินทางของนักรบมีพื้นฐานอยู่บนการค้นหาว่าอะไรคือธรรมชาติพื้นฐานแห่งความดีงามกับผู้อื่นได้อย่างไร มีกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติและความกลมกลืนอยู่ในโลกนี้ซึ่งเราอาจค้นพบได้ แต่เราไม่อาจศึกษามันเพียงในเชิงวิทยาศาสตร์ หรือคิดคำนวณด้วยคณิตศาสตร์เท่านั้น เราจำเป็นต้องสัมผัสถึงมัน ในกระดูก ในใจและในจิต ถ้าเราได้ฝึกฝนมาอย่างเข้มข้นในวินัยของนักรบโดยอาศัยการปลุกหลักการดราละขึ้นมา เราก็อาจพบถึงสายสัมพันธ์อันแนบแน่นกับสัจจะได้อีกครั้ง สิ่งนี้เอื้อให้เกิดพื้นฐานให้เรากระทำการร่วมกับผู้อื่นได้อย่างแท้จริงและอ่อนโยน
......เมื่อคุณปลุกดราละขึ้นมา คุณก็เริ่มจะสัมผัสได้ถึงความดีงามพื้นฐานซึ่งสะท้อนให้เห็นในทุกสิ่ง ในตัวคุณเอง ในตัวผู้อื่นและในโลกทั้งมวล คุณมิได้มือบอดอยู่ในโลกอาทิตย์อัสดง หรือหลงอยู่ในภาวะเบื้องต่ำ ทว่าคุณอาจแลเห็นได้อย่างกระจ่างชัด เพราะเหตุที่คุณเต็มไปด้วยความตื่นตัวฉับไว แต่คุณก็อาจแลเห็นอีกด้วยว่าในทุกๆ สภาวะการณ์ของชีวิตมีพลังเบื้องสูงอยู่ นั่นก็คือมีพลังของความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในทุกๆ สถานการณ์ ดังนั้นเองคุณจะเริ่มแลเห็นจักรวาลดังประหนึ่งโลกอันศักดิ์สิทธิ์ โลกศักดิ์สิทธิ์นั้นก็คือโลกซึ่งดำรงอยู่ด้วยตัวของมันตามครรลองธรรมชาติในโลกแห่งปรากฏการณ์นี้ เมื่อคุณมีทองคำ ทองนั้นก็อาจนำมาหลอมหล่อเป็นรูปทรงใดๆ ก็ได้ ทั้งที่สวยงามหรือน่าเกลียด แต่มันก็ยังคงเป็นทองเนื้อแท้อยู่ดังเดิม เพชรมณีนั้นอาจสวมใส่อยู่ในตัวคนชั้นสวะทว่ามันก็ยังคงเป็นเพชรแท้
......ในทำนองเดียวกันนี้แนวคิดของโลกศักดิ์สิทธิ์ก็คือ ถึงแม้คุณจะแลเห็นถึงความสับสนและปัญหาที่หลากล้นอยู่ในโลก คุณก็ยังมองเห็นด้วยว่า ในการดำรงอยู่ของปรากฎการณ์ต่างๆ นั้น ล้วนแฝงเร้านไว้ด้วยญาณทัศนะแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ ที่จริงแล้วเราอาจพูดได้ว่า มันถือเอาคุณลักษณะของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่เป็นของตน โลกศักดิ์สิทธิ์ซึ่งย้อนกลับไปผ่านประวัติศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ใดๆ ก่อนที่จะมีความคิดอุบัติขึ้น ก่อนที่จิตใจจะได้คิดถึงสิ่งใดๆ ดังนั้นการเข้าถึงความยิ่งใหญ่ของโลกศักดิ์สิทธิ์ ก็คือการตระหนักรู้ในการดำรงอยู่ของปรีชาญาณปฐมการอันกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งสะท้อนออกผ่านปรากฏการณ์ ปรีชาญาณนี้ทั้งเก่าแก่และใหม่ในขณะเดียวกัน ทั้งไม่เคยเสื่อมถอยอ่อนล้าลงด้วยปัญหานานาที่มีอยู่ในโลก
......โลกศักดิ์สิทธิ์นี้สัมพันธ์อยู่กับทิศตะวันออก ด้วยเหตุที่มีความเป็นไปได้แห่งการแลเห็นดำรงอยู่เสมอในโลกนี้ ทิศตะวันออกหมายแสดงถึงรุ่งอรุณแห่งการตื่นขึ้น เป็นขอบฟ้าแห่งจิตสำนึกของมนุษย์ซึ่งมีญาณทัศนะผุดขึ้นมา ไม่ว่าคุณจะอยู่แห่งหนใด เมื่อคุณเปิดตาขึ้น คุณย่อมมองไปเบื้องหน้าสู่ทิศตะวันออก คุณมีทางที่จะเข้าถึงญาณทัศนะแห่งการตื่นขึ้นอยู่ตลอดเวลา แม้ในสถานการณ์ที่สับสนเลวร้ายที่สุด ประการสุดท้าย โลกศักดิ์สิทธิ์นี้ยังมีดวงอาทิตย์ส่องสว่าง ดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นหลักการแห่งความสว่างไสวและประภารัศมีอันไม่มีที่สิ้นสุด ดวงอาทิตย์นี้ยังสัมพันธ์อยู่กับการแลเห็นถึงการมีอยู่ของความเป็นไปได้แห่งคุณงามความดีและความเต็มเปี่ยมในโลก ตามปกติแล้เมื่อคุณแลเห็นแสงสว่างเจิดจ้า แสงสว่างนั้นย่อมอุบัติขึ้นจากแหล่งกำเนิดพลังงานอันมีขอบเขตจำกัด ความสว่างไสวของเทียนขึ้นอยู่กับความใหญ่ของไส้และปริมาณขี้ผึ้งที่ห่อหุ้มอยู่ ความสว่างของหลอดไฟขึ้นอยู่กับกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านทว่าดวงอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่นั้นเจิดจ้าเรืองรองอยู่ตลอดกาล มันไม่ต้องการเชื้อเพลิงใดๆ มาหล่อเลี้ยงเลย ทั้งยังมีประภารัศมีอันยิ่งใหญ่ซึ่งเรืองรองอยู่โดยไม่ต้องการเชื้อ ไม่ต้องมีแม้หัวจุด การแลเห็นถึงโลกศักดิ์สิทธิ์คือการได้เป็นประจักษ์พยานถึงญาณทัศนะอันยิ่งใหญ่ ซึ่งดำรงอยู่ที่นั่นตลอดเวลา
.....ประสบการณ์แห่งโลกศักดิ์สิทธิ์จะแสดงให้คุณเห็นว่า คุณถูกถักทอขึ้นมาจากความรุ่มรวยเจิดจ้าของโลกแห่งปรากฏการณ์อย่างไร คุณเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของโลกนั้น และคุณจะเริ่มเห็นถึงความเป็นไปได้ของระบบลดหลั่นตามธรรมชาติและกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ ซึ่งอาจเป็นแบบอย่างของการดำรงชีวิต โดยทั่วๆ ไปแล้ว ระบบลดหลั่นมักจะถูกมองไปในแง่ร้ายว่าเป็นบันไดหรือเป็นโครงสร้างของอำนาจแนวดิ่ง โดยมีอำนาจสูงสุดอยู่บนสุด ถ้าคุณอยู่ตรงขั้นสุดท้ายของบันไดนั้น คุณก็จะรู้สึกถูกกดดันจากผู้ที่อยู่ด้านบน และคุณก็พยายามที่จะถอนตนออกมาหรือไม่ก็พยายามไต่ขึ้นไปให้สูงขึ้น แต่สำหรับนักรบ การค้นพบระบบลดหลั่นก็คือการแลเห็นถึงอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่ว่าฉายฉานอยู่ทุกแห่งหนและในทุกสิ่ง คุณอาจแลเห็นถึงกฎเกณฑ์ความเป็นไปได้ในโลกซึ่งมิได้ตั้งอยู่บนการดิ้นรนต่อสู้หรือความก้าวร้าว อีกนัยหนึ่งคุณได้ค้นพบถึงหนทางที่จุประสานกลมกลืนเข้ากับโลกแห่งปรากฏการณ์ ซึ่งมิใช่ทั้งสิ่งที่หยุดนิ่งตายตัวหรือกดดัน ดังนั้นการเข้าใจถึงระบบลดหลั่นย่อมแสดงออกถึงการจัดระเบียบตามธรรมชาติ หรือเป็นการรู้ซึ้งถึงสิ่งที่ควรจะเป็น นั่นคือ คุณได้แลเห็นว่าจะเป็นไปตามธรรมชาติได้อย่างไรในโลกนี้ เพราะเหตุที่คุณได้สัมผัสถึงศักดิ์ศรีและความงามสง่าโดยที่มิต้องบ่มเพาะขึ้นมาในตัว
......ความมีระเบียบเรียบร้อยของนักรบนี้ก็คือความสงบและความเป็นเอกภาพตามธรรมชาติ ซึ่งอุบัติขึ้นมาจากความรู้สึกประสานกลมกลืนทั้งกับตนเองและสิ่งแวดล้อม คุณไม่จำเป็นต้องพยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ทว่าสถานการณ์จะปรับตัวเองโดยธรรมชาติ เมื่อคุณได้บรรลุถึงระดับภาวะนี้ คุณก็อาจละทิ้งร่องรอยสุดท้ายของความเคยชินมหึมาซึ่งคุณได้แบกพาติดตัวมาเป็นเวลานานเพื่อปกป้องตนเองออกจากธรรมชาติ คุณอาจชื่นชมในคุณลักษณะที่เป็นธรรมชาติล้วนๆ และคุณจะเห็นว่าคุณไม่จำเป็นต้องใช้ถุงแห่งแล่ห์กลของอัตตาอีกต่อไป คุณจะตระหนักได้ว่าคุณอาจใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติดังที่มันเป็นและดังที่คุณเป็น คุณอาจรู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายเป็นกันเอง ย่อมรู้สึกเป็นสุขสบายอยู่ในโลกของคุณ
......ในทำนองนี้ การปลุกหลักการดราละขึ้นมาจึงช่วยเราให้มีชีวิตอยู่อย่างกลมกลืนกับคุณลักษณะพื้นฐานของความจริง ทว่าโลกปัจจุบันนี้มักชอบใช้วิธีการเอาชนะสิ่งพื้นฐานต่างๆ มีระบบเครื่องทำความร้อนเพื่อเอาชนะความหนาวของฤดูหนาว มีเครื่องปรับอากาศเพื่อเอาชนะความร้อนของฤดูร้อน เมื่อเกิดความแห้งแล้งหรือน้ำท่วมหรือพายุเฮอริเคน สิ่งเหล่านี้มักจะถูกมองในทำนองของการต่อสู้กับพลังธรรมชาติ เป็นความรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของมันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก ทว่าแนวทางของนักรบนั้น แทนที่จะพยายามเอาชนะมูลธาตุ เขากลับเคารพพลังและกฎเกณฑ์ของมันในฐานะที่เป็นเครื่องชี้นำแนวทางของมนุษย์ ในปรัชญาโบราณของจีนและญี่ปุ่น หลักการทั้งสามประการแห่งฟ้า ดินและคนได้แสดงถึงทัศนะที่ว่าชีวิตมนุษย์และสังคมควรจะผสานเข้ากับกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ หลักการเหล่านี้ตั้งอยู่บนความเข้าใจแต่โบราณถึงระบบลดหลั่นตามธรรมชาติ ข้าพเจ้าได้พบว่าในการนำเสนอถึงหลักการนักรบ หลักการเกี่ยวกับฟ้า ดิน และคนช่วยได้มากในการอธิบายว่า นักรบควรจะดำรงสถานะของตนในโลกศักดิ์สิทธิ์อย่างไร ถึงแม้ระบบคุณค่าทางสังคมและการเมืองของเราจะแตกต่างจากจีนและญี่ปุ่น แต่เราก็ยังอาจยกย่องปรีชาญาณพื้นฐานซึ่งบรรจุอยู่ในหลักการของกฎเกณฑ์ธรรมชาติเหล่านี้
......ฟ้า ดิน และคน อาจมองเห็นได้จากตัวหนังสือ ซึ่งมีฟ้าอยู่เบื้องบน มีโลกอยู่เบื้องล่าง และมีคนยืนหรือนั่งอยู่ระหว่างกลาง ตามความเชื่อดั้งเดิมฟ้าเป็นอาณาจักรของทวยเทพ เป็นอาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ถ้าถือตามนัยแห่งสัญลักษณ์แล้ว หลักการของฟ้าแสดงให้เห็นอุดมคติทางนามธรรมหรือประสบการณ์แห่งความกว้างใหญ่ไพศาลและความศักดิ์สิทธิ์ความยิ่งใหญ่และญาณทัศนะของฟ้าคือสิ่งที่ดลใจมุษย์ให้เข้าถึงความยิ่งใหญ่และการสร้างสรรค์ ดินเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นจริงและการรองรับ คือพื้นแผ่นดินหรือมิใช่ที่รองรับและหล่อเเลี้ยงชีวิต แผ่นดินนั้นอาจแลดูแน่นแข็งและโง่เง่า ทว่าแผ่นดินนี้อาจขุดเจาะลงไป อาจทำการงานใดๆ ได้ อาจเพาะปลูกพืชพันธุ์ ความสัมพันธ์อย่างสอดคล้องเหมาะสมระหว่างฟ้าและดิน จะช่วยทำให้หลักการของดินยืดหยุ่นได้ คุณอาจคิดว่าความเว้นว่างของฟ้านั้นดูแหห้งแล้งและเป็นนามธรรมเกินไป แต่ทว่าก็อาจมีความอบอุ่นและความรักอุบัติขึ้นจากฟ้าได้ด้วย ฟ้าเป็นต้นกำเนิดแห่งฝนซึ่งตกลงบนพื้นโลก ดังนั้นฟ้าจึงมีความเห็นอกเห็นใจเชื่อมโยงอยู่กับดิน เมื่อสายสัมพันธ์นั้นถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ดินก็เริ่มยอมสยบ มันเริ่มอ่อนโยน นุ่มและยืดหยุ่น เพื่อว่าบรรดาพืชพันธุ์เขียวเจีอาจงอกเงยขึ้นและมนุษย์จะสามารถเพาะปลูกพืชพันธุ์ต่างๆ ได้
......ถัดมาก็คือหลักการของมนุษย์ซึ่งเชื่อมโยงอยู่กับความเรียบง่ายหรือการมีชีวิตอย่างประสานกลมกลืนกับฟ้าและดินเมื่อ มนุษย์สามารถเชื่อมโยงความมีอิสระของฟ้าเข้ากับความเป็นจริงของดิน เขาก็อาจมีชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมมนุษย์ที่ดีงาม ตามหลักความเชื่อดั้งเดิมกล่าวว่าเมื่อมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนกับหลักการของฟ้าดิน เมื่อนั้นฤดูกาลทั้งสี่และธาตุมูลต่างๆ ในโลกก็จะกระทำการร่วมกันอย่างกลมกลืนสอดคล้อง เมื่อนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น และมนุษย์ก็จะมีชีวิตร่วมประสานอยู่ในสรรพสิ่ง เรามีฟ้าเบื้องบนและมีผืนแผ่นดินรองรับอยู่เบื้องล่าง และเราย่อมแลเห็นคุณค่าในพืชพันธุ์ไม้และสิ่งต่างๆ เราจะเริ่มเห็นคุณค่าในสิ่งเหล่านี้
......แต่ถ้าคนทำลายสายสัมพันธ์หรือหมดความเชื่อถือในฟ้าและดิน เมื่อนั้นก็จะเต็มไปด้วยความปั่นป่วนสับสนในสังคมและเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ ในภาษาจีน คำที่ใช้เขียนถึงผู้ปกครองหรือกษัตริย์ ใช้เส้นตั้งเชื่อมโยงเส้นนอนสามเส้นเข้าด้วยกัน ซึ่งหมายแสดงถึง ฟ้า ดิน และคน นี้หมายถึงว่ากษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจแห่งการเชื่อมโยงฟ้า และดินเข้าด้วยกัน ในสังคมที่ดีงามมีความเชื่อดั้งเดิมว่าถ้ามีฝนตกต้องตามฤดูกาล มีพืชผลอุดมสมบูรณ์ นี่แสดงให้เห็นว่ากษัตริย์เป็นผู้ทรงธรรม เพราะเขาสามารถเชื่อมโยงฟ้าและดินเข้าด้วยกัน แต่เมื่อเกิดความอดอยากแห้งแล้งหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่นๆ เช่นน้ำท่วมหรือแผ่นดินไหว เมื่อนั้นอำนาจบารมีของกษัตริย์ก็เป็นที่น่ากังขา ความคิดที่ว่าความสมดุลทางธรรมชาตินั้นสัมพันธ์กับความสมดุลในสังคมมนุษย์ มิใช่ความคิดของทางตะวันเท่านั้น ดังตัวอย่าง ซึ่งมีอยู่หลายเรื่องในคัมภีร์ไบเบิ้ล เช่นเรื่องของกษัตริย์เดวิดซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างฟ้ากับดิน การณ์นี้ก่อให้เกิดความกังขาในตัวกษัตริย์อย่างใหญ่หลวง
......ถ้าเรานำหลักการของฟ้าดินและคนมาประยุกต์เข้ากับสถานการณ์ในโลกปัจจุบัน เราจะเริ่มและเห็นว่ามีจุดเชื่อมโยงอยู่ระหว่างปัญหาทางสังคมและธรรมชาติ หรือปัญหาสภาพแวดล้อมซึ่งเราเผชิญอยู่
......เมื่อมนุษย์ได้สูญเสียสายสัมพันธ์ที่มีต่อธรรมชาติ ต่อฟากฟ้าและแผ่นดิน เมื่อนั้นเขาก็ไม่รู้วิธีในการบำรุงรักษาสิ่งแวดล้อมหรือในการจัดการกับโลกของตน - ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกัน มนุษย์ได้ทำลายระบบนิเวศน์ลงและในขณะเดียวกันก็ได้ทำลายกันและกันลงด้วย จากมุมมองนี้เอง การเยียวยารักษาสังคมของเรา จึงต้องดำเนินควบคู่ไปกับการเยียวยาบำบัดสายสัมพันธ์ส่วนตัวอันเชื่อมโยงอยู่กับโลกแห่งปรากฏการณ์
......เมื่อมนุษย์ไม่รู้วิธีที่จะอยู่กับฟากฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลเบื้องบนและโลกอันเขียวขจีเบื้องล่าง เมื่อนั้นก็ยากมากที่ญาณทัศนะของเขาจะหยั่งลึกลง เมื่อเรารู้สึกว่าฟ้าเป็นเสมือนฝาชีเหล็กและโลกเป็นดั่งผืนทะเลทรายแห้งแล้ง เมื่อนั้นเราก็ต้องการที่จะหลบหนีไปจากมัน แทนที่จะแผ่ขยายตนเองออกเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ญาณทัศนะชัมบาลามิได้ปฏิเสธเทคโนโลยี หรือมุ่งที่จะ "กลับไปหาธรรมชาติ" อย่างไร้เดียงสา ทว่าในโลกซึ่งเรามีชีวิตอยู่มีที่ว่างพอให้เราเห็นคุณค่าของตัวเอง เห็นคุณค่าของฟากฟ้าและแผ่นดิน เราอาจรักตัวเอง อาจเงยหน้าและยืดไหล่ขึ้นเพื่อแลดูดวงอาทิตย์แจ่มจรัสในฟากฟ้า
......การท้าทายของความเป็นนักรบก็คือการมีชีวิตอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในโลกดังที่มันเป็น และเพื่อค้นหาถึงแก่นแท้และด้านตรงข้ามของปัจจุบันขณะภายในโลกนี้ ถ้าเราเปิดตาขึ้นมา ถ้าเราเปิดจิต ถ้าเราเปิดใจขึ้น เราจะพบว่าโลกนี้เป็นสถานที่วิเศษ มันมิใช่สถานที่วิเศษเพราะว่ามันอาจเสกเราให้กลายเป็นบางสิ่งบางอย่างโดยไม่คาดฝัน แต่มันเป็นสถานที่วิเศษ เพราะว่ามันเป็นสถานที่ที่จริงยิ่งและเรืองรองยิ่ง อย่างไรก็ตาม การค้นพบถึงอำนาจวิเศษนั้นอาจเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเราได้ข้ามพ้น ความเคอะเขินในการมีชีวิตอยู่ เมื่อเรามีความกล้าพอที่จะประกาศถึงความดีงามและศักดิ์ศรีของชีวิตมนุษย์โดยไม่ลังเลหรือหยิ่งยโส เมื่อนั้นอำนาจวิเศษหรือดราละก็อาจลงมาสู่ภาวะการดำรงอยู่ของเรา
......โลกนี้เต็มไปด้วยพลังอำนาจและปรีชาญาณซึ่งเราอาจเข้าถึงได้และในบางแง่มุมเราก็มีอยู่แล้วด้วย โดยการปลุกหลักการดราละขึ้นมา เราก็พบช่องทางที่จะเข้าถึงโลกศักดิ์สิทธิ์ โลกซึ่งมีความรุ่มรวยเรืองรอง ดำรงอยู่ด้วยตัวของมันเอง และเหนือขึ้นไปกว่านั้น เราก็มีช่องทางเข้าถึงระบบลดหลั่นตามธรรมชาติหรือกฎเกณฑ์ธรรมชาติ กฎเกณฑ์นั้นประมวลไว้ด้วยทุกแง่มุมของชีวิตรวมถึงแง่มุมซึ่งน่าเกลียด ซึ่งขมชื่นหรือเศร้าโศกด้วย และแม้แต่แง่มุมด้านลบเหล่านี้ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเส้นใยอันสมบูรณ์ของการดำรงอยู่ ซึ่งอาจนำมาถักทอขึ้นในตัวตนของเรา แท้ที่จริงแล้ว เราก็ถูกถักทอเข้าไปในเส้นใยเหล่านั้นแล้ว ไม่ว่าเราจะปรารถนา หรือไม่ก็ตาม การตระหนักถึงสายใยดังกล่าวนับว่าเป็นโชคดี และเป็นพลัง ในขณะเดียวกัน มันช่วยให้เราหยุดบ่น และต่อสู้กับโลกของเรา นอกจากนี้ เรายังอาจเริ่มเฉลิมฉลอง และช่วยผลักดันความศักดิ์สิทธิ์ของโลก โดยการดำเนินตามวิถีทางของนักรบ มีทางเป็นไปได้ที่จะหยั่งลึกขึ้นในญาณทัศนะและอาจมอบความกล้าให้แก่ผู้อื่น โดยนัยนี้ เราก็อาจพบการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงโลกได้ แต่โดยการเปิดตนเองออกสู่โลก รับรู้มันอย่างที่มันเป็น เราก็อาจค้นพบว่าความอ่อนโยน ความสุภาพกล้าหาญเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้มิใช่เพียงเฉพาะกับเรา แต่กับมนุษย์ทุกคน