บทที่ ๑๘ จะปกครองอย่างไรแนวคิดเรื่องการปกครองโลกของตัวเอง
ก็คือการที่คุณอาจมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและมีวินัย
โดยไม่ปล่อยปละละเลย และในขณะเดียวกันก็สามารถเบิกบานในชีวิตได้ด้วย
คุณสามารถเชื่อมโยงการหาเลี้ยงชีพกับศาสนธรรมเข้าด้วยกัน” ......การเดินทางของนักรบเพื่อค้นหาระบบธรรมชาติของความจริง และค้นหาจุดยืนของตนโลกนั้น เป็นสิ่งที่ทั้งสูงส่งและสามัญในขณะเดียวกัน มันสามัญเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ฉับพลันและกระทบรุนแรงยิ่ง มันกระทบถูกต้นกำเนิดของคุณคือตำแหน่งแห่งหนของคุณในโลกนี้ คือที่ที่คุณมาและที่ที่คุณอยู่ เหมือนดังกับว่าคุณกำลังเดินเล่นผ่านป่าในยามสนธยา คุณอาจได้ยินเสียงนกร้องและเหลือบแลเห็นแสงขมุกขมัวในฟ้า คุณอาจแลเห็นจันทร์เสี้ยวและหมู่ดาว คุณอาจชื่นชมในความสดฉ่ำของหมูไม้และความงามของดอกไม้ป่า มีเสียงสุนัขเห่าแว่วมาแต่ไกล มีเสียงเด็กร้องไห้ และได้ยินเสียงรถหรือรถบรรทุกวิ่งอยู่บนทางหลวงเป็นครั้งคราว ในขณะที่สายลมโชยพัดผ่านใบหน้าของคุณ คุณก็อาจได้กลิ่นหอมสดชื่นของป่า และบางทีคุณก็ทำให้กระต่ายหรือนกตกใจตื่นหนีไป ในขณะที่ค่ำคืนคืบคลาานเข้ามา มีความทรงจำผุดขึ้นมามากมาย ความทรงจำถึงสามีหรือภรรยา ถึงบุตร คุณตา คุณยาย ความทรงจำถึงอดีตหนหลังได้กลับคืนมา คุณจดจำได้ถึงห้องเรียนแรกในวัยเด็ก ที่ซึ่งคุณเริ่มเขียนอ่าน คุณจดจำได้ถึงการคัดลอกอักษรไอและโอ เอ็มและเอ คุณกำลังเดินอยู่ในป่าแห่งดราละ แต่ก็ยังมีความรู้สึกอยู่ว่าในป่าแห่งนี้ยังคงมีมนุษย์อื่นอาศัยอยู่แวดล้อม แม้กระนั้นเมื่อคุณเงี่ยหูฟัง ก็ได้ยินเพียงลำพังฝีเท้าของตน ขวา ซ้าย ขวา ซ้าย เสียงกิ่งไม้แห้งหักเมื่อย่างเหยียบลงไป
......เมื่อคุณเดินอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง โลกอันยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์นี้ คุณจะพบวิถีทางในการปกครองโลกของตน แต่ทว่าในขณะเดียวกัน คุณจะพบความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวอย่างลึกซึ้งอยู่ด้วย เป็นไปได้ที่โลกนี้อาจกลับกลายเป็นเวียงวังหรือเป็นอาณาจักรของคุณ แต่ในฐานะที่คุณเป็นกษัตริย์หรือเป็นราชินี คุณก็จะเป็นราชันผู้ที่ดวงใจแหลกสลาย แต่สิ่งนี้ก็มิใช่สิ่งเลวร้าย ที่จริงแล้วนี่คือหนทางที่นำไปสู่การเป็นมนุษย์ผู้มีใจเมตตาอารี และยิ่งไปกว้านั้นคือการเป็นอริยบุคคลผู้สามารถช่วยเหลือผู้อื่น
......ความรู้สึกโดดเดี่ยวเช่นนี้เจ็บปวดยิ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่งดงามและจริงยิ่ง จากความเศร้าอันเจ็บปวดนี้เองที่ความปรารถนาจะกระทำการร่วมกับผู้อื่นย่อมบังเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ คุณจะตระหนักได้ถึงความพิเศษของตน คุณจะแลเห็นว่ามีบางสิ่งบางอย่างซึงดีงามอยู่แล้วในการเป็นตัวของคุณเองอย่างนี้ เพราะเหตุที่คุณใส่ใจในตนเองคุณจึงเริ่มใส่ใจในผู้อื่น ผู้ซึ่งปูทางให้คุณได้เดินไปบนเส้นทางสายนี้ ดังนั้นคุณจึงรู้สึกซาบซึ้งและอุทิศตนและให้แก่สายนักรบคนผู้กล้า ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามซึ่งได้ร่วมเดินทางสายนี้เช่นกัน และในขณะเดียวกัน คุณจะเริ่มรู้สึกห่วงใยผู้อื่นซึ่งกำลังจะเริ่มเดินทาง ด้วยคุณรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นไปได้สำหรับคุณ คุณจึงตระหนักว่าตนเองอาจช่วยผู้อื่นให้กระทำได้เช่นกัน
......คุณเริ่มแลเห็นว่ามีฤดูกาลดำรงอยู่ในชีวิตของคุณ เช่นที่มีอยู่ในธรรมชาติ มีวันเวลาสำหรับเพาะหว่านและสร้างสรรค์ เมื่อคุณหล่อเลี้ยงโลกของคุณและก่อเกิดความคิดใหม่และการท้าทายอย่างใหม่ขึ้นมา มีบางเวลาซึ่งรุ่งโรจน์และเต็มเปี่ยม เมื่อชีวิตเบิกบานออกอย่างเต็มที่ เต็มไปด้วยพลังและแผ่ขยายกว้างไกล มีเวลาซึ่งชีวิตออกดอกออกผล เมื่อสิ่งต่างๆ ได้ดำเนินมาถึงจุดสุดท้าย เมื่อมันได้บรรลุจุดสุดยอดและจะต้องเก็บเกี่ยวก่อนที่จะร่วงโรยไป และสุดท้ายยังมีวันเวลาอันหนาวเหน็บและว่างเปล่า วันเวลาซึ่งฤดูใบไม้ผลิของการเริ่มต้นใหม่และดูคล้ายความฝันอันห่างไกล ลีลาของชีวิตเหล่านั้นเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เมื่อนั้นคุณก็ไม่จำเป็นต้องแกว่งไกว ไม่ต้องถูกดันขึ้นสูงหรือกดให้ต่ำลงโดยความแปรเปลี่ยนของเหตุการณ์และอารมณ์ซึ่งชีวิตนำมา คุณจะพบว่าคุณมีโอกาสที่จะดำรงอยู่ในโลกอย่างเต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลาและสามารถแสดงตนออกอย่างกล้าหาญและภาคภูมิในทุกๆ สถานการณ์
......โดยปกติแล้ว ดูคล้ายจะมีความขัดแย้งอยู่ระหว่างการหาเลี้ยงชีพและศาสนธรรม การหาเลี้ยงชีพนั้นคือการหามาซึ่งปัจจัยพื้นฐานซึ่งยืนพื้นอยู่บนการลงมือปฏิบัติภารกิจการงานและความเบื่อหน่าย ในขณะที่ศาสนธรรมตั้งอยู่บนสิ่งที่เกินเลยออกไป เป็นบางสิ่งบางอย่างที่อยู่เหนือสิ่งต่ำๆ ของคุณ แนวคิดเรื่องการปกครองโลกของตัวเอง ก็คือการที่คุณอาจมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและมีวินัยโดยไม่ปล่อยปละละเลย และในขณะเดียวกันก็สามารถเบิกบานในชีวิตได้ด้วย คุณสามารถเชื่อมโยงการหาเลี้ยงชีพกับศาสนธรรมเข้าด้วยกัน อาณาจักรซึ่งคุณปกครองอยู่นั้นก็คือชีวิตของตัวคุณเอง มันคืออาณาจักรภายในครอบครัว ไม่ว่าคุณจะมีสามี มีภรรยาและลูกหรือไม่ก็ตาม ก็ยังคงมีโครงสร้างและรูปแบบบางอย่างดำรงอยู่ในชีวิตประจำวัน มีคนเป็นจำนวนมากที่รู้สึกว่าชีวิตโดยปกติแล้วตกอยู่ภายใต้การถูกบังคับตลอดเวลา เขาปรารถนาจะมีชีวิตอย่างอื่นที่แตกต่างออกไป อยากจะชิมอาหารอย่างใหม่ทุกๆ ขณะ ทุกๆ มื้อ แต่ที่จริงแล้วจำเป็นที่จะต้องตั้งรกรากที่ไหนสักแห่ง ทำงานทำการและมีชีวิตตามสามัญ ซึ่งเต็มไปด้วยวินัย ยิ่งมีวินัยมากเท่าใด ชีวิตก็อาจเบิกบานได้มากขึ้นเพียงนั้น ดังนั้นรูปแบบของชีวิตคุณก็อาจมีความเบิกบาน มีศาสนธรรมได้ แทนที่จะเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ข้อบังคับเท่านั้น นั่นเองที่หมายถึงการปกครองอาณาจักรแห่งชีวิต
......แนวคิดเรื่องอาณาจักรในที่นี้ก็คือว่า ชีวิตของคุณเต็มไปด้วยศักยภาพ ความรุ่มรวมและความดีงาม มีความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงเกี่ยวกับความหมายของความรุ่มรวย โดยทั่วๆ ไปแล้วรุ่มรวยหมายถึงว่าคุณมีทรัพย์มาก แต่ความหมายที่แท้จริงของรุ่มรวยก็คือ การรู้ว่าจะสร้างสภาวการณ์อันสูงส่งขึ้นมาในชีวิตได้อย่างไร นั่นก็คือคุณอาจมีเงินอยู่ในบัญชีธนาคารเพียงยี่สิบเหรียญ แต่คุณก็ยังสามารถไขขานความรุ่มรวยของคุณออกมาสู่โลก
......ที่น่าสนใจยิ่งก็คือถ้าคุณเผอิญหลงทางอยู่ในทะเลทราย ไม่มีทั้งอาหารและน้ำดื่ม ถึงแม้คุณจะมีทองคำอยู่เต็มกระเป๋า คุณก็ไม่อาจกินไม่อาจดื่มมัน คุรก็ยังคงอดอยากหิวโหยอยู่ดี นั่นคือคำอุปมาอุปไมยสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนเป็นจำนวนมากซึ่งร่ำรวยเงินทอง เขาคงจนปัญญาที่ไม่อาจดื่มกินมันได้ ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับหัวหน้าเผ่าอินเดียนผู้หนึ่ง ซึ่งไปพบแหล่งน้ำมันเข้าในที่ดินของตน ก็เลยร่ำรวยขึ้นมา เขาตั้งใจที่จะซื้ออ่างล้างหน้าและอ่างอาบน้ำมายี่สิบใบพร้อมๆกันเพื่อแสดงความอัครฐาน คนเราอาจจะใช้จ่ายเงินนับพันเหรียญและก็ยังคงเต็มไปด้วยความไม่สมปรารถนาและความจ็บปวดมากมาย แม้ว่าจะแวดล้อมไปด้วยสิ่งซึ่งสมมุติกันว่าเป็นความร่ำรวย เขาก็ยังไม่อาจมีความสุขแม้จากการกินอาหารสักมื้อ
......ความมั่งคั่งที่แท้จริงนั้นมิได้อุบัติขึ้นมาเอง หากจะต้องปลูกฝังขึ้นมา คุณจะต้องได้รับมันมา มิเช่นนั้นแม้ว่าคุณจะมีเงินทองมากมาย ก็ยังคงอดอยากอยู่เช่นเดิม ดังนั้น ถ้าคุณต้องการจะปกครองโลกของตน จงอย่าได้คิดว่านั่นหมายถึงการต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมาก หากแต่ความมั่นคั่งที่แท้จริงเกิดขึ้นาจากการใช้พลังในตัวคน พลังของปัจเจกชน ถ้าเสื้อผ้าของคุณเปื้อนฝุ่นผงไม่จำเป็นต้องส่งไปให้คนซักเสียทันที หากจงซักมันด้วยตัวคุณเอง การทำดังนั้นไม่ต้องใช้เงินเลย แถมยังดีมีเกียรติอีกด้วย คุณใช้พลังงานและความพยายามเพื่อดูแลเอาใจใส่โลกของคุณเอง กุยแจที่ไขสู่ความมั่งคั่งหรือกุญแจทองก็คือความรู้สึกเห็นคุณค่าในความยากจน (หรืออาจกล่าวว่าไม่มีเงิน) แต่ก็ยังคงรู้สึกดีๆ อยู่ได้ เพราะเหตุที่คุณเข้าใจถึงความมั่งคั่งซึ่งมีอยู่ในตัวเองแล้ว นั่นคือกุญแจวิศษที่ไขไปสู่ความมั่งคั่งและร่ำรวยนั้นก่อเกิดมาจากพื้นฐานของมนุษย์ผู้มีใจเอื้ออารี คุณไม่จำเป็นต้องไปอิจฉาริษยาใครๆ ซึ่งมั่งมีมากกว่าคุณ (ตามความหมายทางเศรษฐกิจ) คุณอาจร่ำรวยแม้ว่าคุณขัดสนเงินทอง
......จุดหักมุมนี้น่าสนใจมาก และเต็มไปด้วยพลังในการที่จะจัดการกับปัญหาของโลก บ่อยครั้งทีเดียวที่ระบบการเมืองของโลกมักตั้งอยู่บนพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ถ้าประชาชนจนยาก เขาก็อยากจะเข้าครอบครองเงินทองและทรัพยากรของผู้ที่มีมาก และถ้าประชาชนมีเงินมีทองมั่งคั่ง เขาก็อยากจะรักษาทรัพย์ที่มีเอาไว้ ด้วยคิดว่าการให้หรือบริจาคจะทำให้เขาขัดสนลง ด้วยจิตใจชนิดนี้ของทั้งสองฝ่าย จึงทำให้ยากที่จะคาดหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับรากฐานใดๆ ขึ้น หรือถ้าเกิดมีขึ้น ก็คงเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดและความรุนแรง เพราะทั้งสองฝ่ายต่างยึดมั่นอยู่ในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าสำคัญ
......แน่นอนถ้าคุณอดอยาก สิ่งที่คุณต้องการก็คืออาหาร ที่จริงแล้ว อาหารคือสิ่งที่คุณต้องการ แต่ความปรารถนาที่แท้จริงของคนที่ต้องการก็อาจถูกปลุกเร้ากระตุ้นอย่างต่ำช้า สงครามซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนการฉกฉวยได้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในโลก คนซึ่งมีเงินก็พร้อมที่จะยอมให้คนนับพันๆ ตายลงไปเพื่อรักษาทรัพย์สมบัติของตนไว้ และอีกฟากฝ่ายหนึ่ง คนซึ่งขาดแคลนก็พร้อมที่จะฆ่าฟันเพื่อนมนุษย์เพื่อข้าวสักเมล็ดหนึ่ง หรือเศษสตางค์ในกระเป๋า
......มหาตมะคานธีเคยเรียกร้องให้ชาวอินเดียหันมาใช้อหิงสา และตัดทอนวิถีชีวิตของต่างด้าว ซึ่งเกี่ยวพันกับทรัพย์และความร่ำรวยลง ด้วยเหตุที่ชาวอินเดียส่วนใหญ่สวมใส่เสื้อผ้าซึ่งทำโดยอังกฤษ ท่านได้เรียกร้องให้เลิกสวมใส่เสื้อผ้าของอังกฤษและหันมาทอผ้าใช้เอง การประกาศความเป็นไทแก่ตัวเองเช่นนี้เป็นวิธีการหนึ่งซึ่งมีพลังมาก เป็นการค้นหาศักดิ์ศรีและความเคารพในตัวเอง ซึ่งมิได้มีพื้นฐานอยู่บนการมีทรัพย์สมบัติทว่ายืนหยัดอยู่บนภาวะการดำรงอยู่แห่งตน แต่ในขณะเดียวกัน ด้วยความเคารที่มีที่มีต่อญาณทัศนะของคานธีอันว่าด้วยความไม่ก้าวร้าว ซึ่งท่านเรียกว่าสัตยาเคราะห็หรือการยึดมั่นในสัจจะ เราจะต้องไม่สับสนปนเประหว่างหลักการของท่านกับหลักการของทฤษฎีอันสุดขั้ว ในการที่จะค้นหามรดกแห่งความมั่งคั่งในตนเอง ไม่จำเป็นที่จะต้องตัดทอนทรัพย์สมบัติและจุดมุ่งหมายในทางโลกเสียทุกอย่าง ถ้าสังคมยังจำเป็นต้องมีการปกครองและการควบคุมบังคับ ดังนั้น ก็ยังเป็นเรื่องจำเป็นที่ใครบางคนยังคงต้องสวมเสื้อชุดใหญ่ไปนั่งที่โต๊ะเจรจา และใครบางคนก็ยังคงต้องสวมเครืองแบบเพื่อรักษาสันติภาพอยู่
......สาระสำคัญอันเป็นพื้นฐานของคำสอนชัมบาลาก็คือ สิ่งอันประเสริฐสุดของชีวิตมนุษย์อาจประจักษ์ได้ภายใต้ภาวะแวดล้อมสามัญ นั่นคือปรีชาญาณพื้นฐานของชัมบาลา ซึ่งก็คือเราอาจค้นพบชีวิตมนุษย์ซึ่งดีงามมีความหมายได้ในโลกนี้ อย่างที่มันเป็น เป็นชีวิตซึ่งอาจรับใช้ผู้อื่นได้ด้วย นี่เองคือความร่ำรวยที่แท้จริงของเรา ในยุคซึ่งโลกกำลังเผชิญหน้าอยู่กับหายนะภัยจากนิวเคลียร์และความยากจนรวมถึงความอดอยากหิวโหย การปกครองชีวิตไว้บนโลกดังคนปกติแต่ทว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นมนุษย์ ภาพของนักรบในโลกนี้จะไม่แตกต่างไปจากนี้
......ในแง่ของการปฏิบัติ เราจะนำความเข้าใจถึงความมั่งคั่งและการปกครองมาใช้กับชีวิตปกติได้อย่างไร เมื่อนักรบได้บรรลุถึงภาวะจิตบางระดับได้เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งถึงหลักการพื้นฐานแห่งศักดิ์ศรีและความอ่อนโยน ทั้งได้ซาบซึ้งในหลักการดราละ หลักการลา เนียน และลู่ เมื่อนั้นเขาก็อาจสะท้อนออกมาถึงความรุ่มรวยมั่งคั่งในชีวิตของตน รากฐานการปฏิบัติเพื่อไปสู่ความรุ่มรวยชนิดนี้ ก็คือความร่ำรวยที่จะรวบรวมความดีงามซึ่งดำรงอยู่ในตนขึ้นมา เพื่อว่าความรู้สึกถึงความดีงามจะได้เปล่งประกายออกไป ความดีงามนั้นอาจสะท้อนให้เห็นในการหวีผม ในการแต่งเนื้อแต่งตัว ในการจัดแต่งห้องนั่งเล่น ในอะไรก็ตามซึ่งดำรงอยู่ในโลกของคุณ ต่อจากนั้นก็อาจเป็นไปได้ที่จะไปให้ไกลขึ้น สัมผัสถึงความมั่งคั่งได้ลึกซึ้งขึ้น โดยการพัฒนาสิ่งที่เรียกว่าแก้วเจ็ดประการแห่งกษัตราธิราช นี่เป็นราชธรรมเนียมแต่โบราณซึ่งใช้กันในอินเดีย เพื่อบ่งบอกถึงคุณสมบัติของกษัตริย์ แต่ในกรณีนี้ เรากำลังกล่าวถึงการพัฒนาคุณสมบัติเหล่านั้นขึ้นมาในปัจเจกชน
......แก้วมณีดวงแรกของผู้ปกครองก็คือนางแก้ว ราชินี หรือถ้าคุณอยากจะเรียกว่าภรรยาหรือสามีก็ตาม หมายแสดงถึงหลักการแห่งความดีงามในครอบครัว เมื่อคุณใช้ชีวิตอยู่กับใครบางคนซึ่งคุณอาจแบ่งปันทุกข์สุขร่วมกัน ทั้งแบ่งปันปรีญาณและด้านลบของชีวิต คนผู้นี้จะช่วยคุณให้เปิดเผยตัวตนออกมา คุณไม่จำเป็นต้องเก็บกดซ่อนเร้น อย่างไรก็ตาม บุคคลแห่งชัมบาลาอาจไม่จำเป็นต้องแต่งงานก็ได้ มีที่ทางสำหรับคนโสดอยู่เสมอ คนโสดนั้นเป็นมิตรของตนเองเช่นเดียวกับที่มีแวดวงของมิตรสหาย หลักการพื้นฐานก็คือการพัฒนาความดีงามและความีเหตุมีผลขึ้นมาในความสัมพันธ์
......แก้วมณีดวงที่สองของกษัตราธิราช ก็คือเสนาบดีแก้ว หลักการของเสนาบดีก็คือการมีที่ปรึกษา คุณมีคู่ครองซึ่งช่วยส่งเสริมให้เกิดความเอื้อเฟื้อ และถึดมาคุณก็มีเพื่อนซึ่งให้คำปรึกษา กล่าวกันว่าเสนาบดีนี้จะต้องเป็นผู้สุดหยั่งถึง ความสุดหยั่งถึงในที่นี้มิใช่หมายถึงว่าเพือนของคุณเป็นคนชั่วร้ายหรือยากที่จะคาดเดา หากหมายถึงว่าเขามิได้มีจุดมุ่งหมายหรือแผนการใดๆ ซ่อนอยู่ในจิตใจ ซึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์กับคุณมัวหมอง คำแนะนำหรือความช่วยเหลือของเขาเปิดกว้างชัดเจนยิ่ง
......แก้วดวงที่สามคือขุนพลแก้ว ซึ่งหมายแทนความไม่หวาดหวั่นและการปกป้องภัย ขุนพลนี้ก็คือเพื่อนเช่นกัน เป็นเพื่อนผู้ซึ่งปราศจากความกลัว พร้อมที่จะปกป้องช่วยเหลือคุณ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ ก็ตาม ขุนพลคือเพื่อนผู้ซึ่งกังวลห่วงใยคุณอย่างจริงจัง เมื่อเปรียบกับผู้ให้คำปรึกษา
......แก้วดวงที่สี่คือม้าแก้ว ม้าหมายถึงความตรากตรำ รับภาะหนักและนำพาคุณผ่านพ้นสถานการณ์ คุณจะไม่ตกหลุมพรางแห่งความเกียจคร้าน หากมุ่งมั่นไปเบื้องหน้ากระทำการร่วมกับสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิต
......แก้วดวงที่ห้าคือช้างแก้ว ซึ่งหมายถึงความมั่นคงสม่ำเสมอ คุณจะไม่สั่นคลอนด้วยลมแห่งความหลอกหลวงและความสับสน คุณมั่นคงเหมือนดังช้าง ในขณะเดียวกันช้างก็มิได้ปักอยู่ในดินเหมือนต้นไม้ หากมันสามารถเดินเหินเคลื่อนไหว ดังนั้นคุณจึงอาจเดินและเคลื่อนที่ไปเบื้องหน้าอย่างสม่ำเสมอมั่นคง ดังประดุจนั่งอยู่บนหลังช้าง
......แก้วดวงที่หกคือจินดามณี ซึ่งเกี่ยวพันอยู่กับความเมตตาปรานี คุรไม่ได้ยึดมั่นอยู่กับความมั่งคั่ง ซึ่งคุณได้รับมาโดยการประยุกต์หลักการวิเศษมาใช้ หากแต่คุณยอมสละออกไป ยอมให้อย่างมีไมตรีจิต อย่างเปิดเผยและมีอารมณ์ขัน
......แก้วดวงที่เจ็ดคือจักรแก้ว ตามหลักโบราณแล้ว ผู้ปกครองแห่งจักรวาลนั้นทรงถือจักรทอง ในขณะที่กษัตริย์ผู้ปกครองโลกเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ได้รับมอบจักรเหล็ก เพราะเหตุที่ท่านเป็นผู้ปกครองโลกนี้ ในความหมายส่วนตัวแล้ว จักรหมายถึงการบังคับบัญชาโลกของตน คุณอาจดำรงอยู่ในสถานะของตนอย่างเหมาะสมและเต็มเปี่ยมในชีวิต เพื่อว่าหลักการอันสูงค่าเหล่านั้นจะได้ผสานสอดคล้องผลักดันความมั่นคั่งและศักดิ์ศรีให้เกิดขึ้นในชีวิต
......โดยการประยุกต์ใช้แก้วเจ็ดประการนี้ คุณก็อาจจัดการกับชีวิตครอบครัวได้อย่างหมาะสม คุณมีสามีหรือภรรยาซึ่งช่วยเสริมความเอื้ออารี คุณมีกัลยาณมิตรเป็นที่ปรึกษา มีผู้คุ้มครองหรือมิตรสหายซึ่งไม่กลัวที่จะรับคุณ คุณยังมีพาหนะสำหรับการเดินทาง มีเครื่องมือช่วยประกอบกิจการงานซึ่งใช้ม้าเป็นสื่อแทนความหมายคุณขับขี่ไปบนพลังงานของตนตลอดเวลา คุณจะไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อปัญหาใดๆ ในชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน คุณจำเป็นต้องดีนติดดิน ต้องมั่นคงเหมือนดังช้าง เมื่อมีสิ่งเหล่านี้แล้วจะมัวพอใจอยู่เพียงนี้หาได้ไม่ คุณจะต้องเมตตาปรานีต่อผู้อื่นเหมือนดังจินดามณีหรือแก้วสารพัดนึก ด้วยเหตุเหล่านั้นเอง คุณจึงปกครองบ้านได้อย่างสมบูรณ์ คุณถือจักรแห่งอำนาจ นั่นคือญาณทัศนะที่ว่าด้วยการจัดการกับบ้านและครอบครัวอย่างอริยะ
......เมื่อได้กระทำสิ่งเหล่านี้แล้ว คุณจะรู้สึกว่าชีวิตของคุณได้สะสางจัดการอย่างถูกต้องเหมาะสมและเต็มเปี่ยมแล้ว คุณอาจสัมผัสได้ถึงฝนทองซึ่งตกลงมาอย่างต่อเนื่อง มันหนักแน่น เรียบง่ายและชัดตรง เมื่อนั้นคุณจะบังเกิดความรู้สึกอันอ่อนโยนและเปิดเผย ดังประหนึ่งมีบุปผาอันงดงามเบิกบานออกอย่างรุ่งโรจน์ในชีวิต ไม่ว่าจะในการกระทำใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับหรือปฏิเสธ คุณเริ่มที่จะเปิดตัวเองออกสู่ทิพยสมบัติแก่งปรีชาญาณชัมบาลา ประเด็นอยู่ตรงที่ว่าเมื่อมีความประสานกลมกลืนเกิขึ้น เมื่อนั้นก็มีความมั่งคั่งพื้นฐานอยู่ด้วย แม้ว่าในขณะนั้นคุณอาจไม่มีเงินแม้สักแดง แต่นั่นมิใช้ปัญหาเลย เพราะคุณได้มั่นคงอยู่ชั่วนิรันดร์แล้ว
......ถ้าคุณต้องการจะช่วยแก้ปัญหาของโลก คุณจะต้องเริ่มจัดการกับบ้าน จัดการกับชีวิตของคุณให้เป็นระเบียบเสียก่อน นั่นดูเหมือนเป็นคำเปรียบเปรย ผู้คนมักจะมีความต้องการอันสูงส่งที่จะขึ้นอยู่เหนือชีวิตอันอ่อนล้าของตน เพื่อที่จะช่วยเหลือโลก แต่ถ้าคุณยังไม่ได้เริ่มขึ้นที่บ้านก็นับว่าไม่มีความหวังที่จะช่วยโลกได้ ดังนั้นขั้นตอนแรกของการเรียนรู้ที่จะปกครองก็ คือการเรียนรู้ที่จะปกครองบ้านของตนโลกของตน ไม่น่าสงสัยเลยว่า ถ้าคุณทำดังนั้นแล้วขั้นตอนต่อไป จะไม่ติดตามมาโดยธรรมชาติ แต่ถ้าคุณพลาดที่จะทำดังนั้น เมื่อนั้นบรรณาการทั้งสิ้นที่คุณมอบให้แกโลก ก็รังแต่จะก่อให้เกิดความปั่นป่วนสับสนยิ่งขึ้น