บทที่ ๑๙ กษัตราธิราช“การท้าทายของนักรบก็คือการก้าวออกจากรังดักแด้
ก้าวออกมาสู่ที่กว้างโล่งภายนอก
โดยมีทั้งความกล้าหาญและอ่อนโยนในขณะเดียวกัน” ......ในภาคสองเราได้พูดกันถึงเรื่องราวความเป็นไปได้ในการค้นพบอำนาจวิเศษแห่งดราละ และพูดถึงว่าการค้นพบนั้นสามารถเปลี่ยนภาวะการดำรงอยู่ของเรา ให้กลายเป็นการสำแดงออกแห่งโลกศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร ถึงแม้ว่าคำสอนเหล่านี้จะยืนพื้นอยู่บนประสบการณ์สามัญอันเรียบง่ายก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันคุณก็อาจรู้สึกท่วมท้นอยู่ด้วยทัศนะเช่นนี้ ดังประหนึ่งคุณถูกแวดล้อมอยู่ด้วยอนุสรณ์สถานแห่งปรีชาญาณ แต่คุณก็ยังอาจเกิดคำถามขึ้นในใจว่า เราจะเข้าถึงญาณทัศนะแห่งนักรบอย่างแท้จริงได้อย่างไร
......เพียงแต่อาศัยพลังความมุ่งมั่นส่วนตัวเท่านั้นหรือ จึงอาจปลุกใจให้กล้าเพื่อที่จะดำเนินตามวิถีทางนักรบแห่งชัมบาลา หรือว่าอาศัยเพียงแต่การนึกคิดจินตนาการเอาว่าคุณได้แลเห็นอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่แล้วและคาดหมายเอาว่าสิ่งที่เห็นคือ "สิ่งนั้น" ทั้งสองวิธีนี้ล้วนใช้ไม่ได้ เราได้เห็นแบบอย่างในอดีตแล้วว่ามีบางคนซึ่งพยายามจะเป็นนักรบด้วยการออกแรงผลักดันอย่างใหญ่หลวง ทว่าผลกลับกลายเป็นความสับสนเพิ่มทวีขึ้น เข้ากลับต้องค้นพบความขลาดและความไร้สามารถซ่อนลึกอยู๋ชั้นแล้วชั้นเล่า ถ้าปราศจากแนวทางปฏิบัติอันเบิกบานและลี้ลับพิสดารแล้วไซร้ คุณก็จะถูกผลักให้เข้าไปสู่ความไร้สติสัมปชัญญะได้โดยง่าย
......หนทางของนักรบ การจะเป็นนักรบนั้นมิใช่การออกแรงพยายามเล่นๆ อย่างเด็กๆ โดยหวังว่าสักวันหนึ่งจะสุกงอมเชี่ยวชาญขึ้นมาได้ มีข้อแตกต่างอยู่ระหว่างการเลียนแบบกับการดำเนินตามแบบฉบับ ในการดำเนินตามแบบฉบับของความเป็นนักรบนั้น ผู้ฝึกฝนได้ผ่านขั้นตอนต่างๆ ในการฝึกฝนและการขัดเกลาตนเอง และได้มีโอกาสทบทวนบทบาทของตนอยู่เสมอ บางครั้งคุณอาจพบร่องรอยของความก้าวรุดหน้า และบางครั้งคุณก็พบร่องรอยของความผิดพลาด อย่างไรก็ตาม นี่คือหนทางเดียวที่จะนำไปสู่วิถีทางของนักรบ
......ผลจากการเดินบนหนทางนักรบก็คือประสบการณ์แห่งความดีงามปฐมกาล หรือธรรมชาติแห่งความดีงามพื้นฐานอันเพียบพร้อมและปราศจากเงื่อนไข ประสบการณ์นี้เป็นเช่นเดียวกับการประจักษ์ถึงความไร้ตัวตน หรือสัจจะแห่งการไม่แบ่งแยก การค้นพบถึงการไม่แบ่งแยกย่อมเกิดมาแต่การกระทำการร่วมกับการแบ่งแยก ซึ่งดำรงอยู่ในชีวิตของคุณ การแบ่งแยกในที่นี้เราหมายถึงบรรดาเงื่อนไขและสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งแห่งการเดินทางของชีวิต ก็คือการซักผ้า กินอาหารเช้า กลางวัน เย็น คือการชำระหนี้ สัปดาห์เริ่มขึ้นด้วยวันจันทร์ ถัดมาคุณก็มีวันอังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ คุณลุกขึ้นตั้งแต่หกโมงเช้า และแล้วยามเช้าก็ผ่านพ้นไป คุณมาถึงยามเที่ยง ยามบ่าย เย็นและค่ำ คุณรู้ว่าจะตื่นเวลาไหน จะอาบน้ำเมื่อไหร่ จะไปทำงานตอนไหน จะกินข้าวเย็นเวลาไหน จะนอนเมื่อไหร่ แม่แต่การกระทำพื้นๆ ดังเช่นการดื่มชาก็ยังบรรจุอยู่ด้วยการแบ่งแยกมากมาย คุณรินชาลงในถ้วย ตักน้ำตาลมาเต็มช้อนและนำมาใส่ถ้วย จุ่มช้อนลงไปคนให้น้ำตาลละลายเข้ากับน้ำ คุณวางช้อนลงยกถ้วยขึ้นโดยจับตรงหู นำมาสู่ปาก จิบชานิดหน่อย แล้ววางถ้วยลง ขั้นตอนเหล่านั้น เป็นการแบ่งแยกอย่างพื้นๆ ซึ่งแสดงให้คุณรู้ว่าจะเดินทางผ่านชีวิตอย่างไร
......ต่อจากนั้นคุณก็มีการแบ่งแยกซึ่งสัมพันธ์อยู่กับการแสดงออกทางอารมณ์ คุณมีเพศสัมพันธ์ คุณทะเลาะเบาะแว้ง บางครั้งคุณก็รู้สึกเบื่อหน่ายชีวิต ดังนั้นจึงเลี่ยงโดยการอ่านหนังสือพิมพ์และดูโทรทัศน์ สายใยของอารมณ์เหล่านี้ก่อให้เกิดการแบ่งแยกขึ้นในการดำเนินชีวิต
......หลักการของนักรบล้วนเกี่ยวพันกับการเรียนรู้ เพื่อที่จะตระหนักซึ้งถึงคุณค่าของขั้นตอนเหล่านั้น ซึ่งเป็นการแบ่งแยกอย่างโลกๆ แต่ครั้นแล้ว โดยการเชื่อมโยงเข้ากับภาวะสามัญของชีวิต คุณก็อาจตระหนกที่ได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่าง ในขณะที่ดื่มชาคุณอาจพบว่าตัวเองกำลังดื่มชาอยู่ในความว่าง แท้จริงไม่ได้ดื่มชาด้วยซ้ำ แต่เป็นความว่างเปล่าซึ่งดื่มชานั้น ดังนั้นในขณะที่กำลังกระทำสิ่งสามัญเล็กๆ น้อยๆ การแบ่งแยกเหล่านั้นอาจนำมาซึ่งประสบการณ์แห่งการไม่แบ่งแยก เมื่อคุณสวมกางเกงหรือกระโปรงคุณอาจพบว่าคุณกำลังแต่งตัวให้ความว่าง เมื่อคุณแต่งหน้า คุณอาจพบว่ากำลังแต่งแต้มเครื่องสำอางลงบนความว่าง คุณคือความว่างอันงดงาม เป็นความเปล่าไร้อันบริสุทธิ์
......ในความรู้สึกอย่างสามัญ เราคิดถึงความว่างว่าเป็นสูญญากาศซึ่งตายตัวและหยุดนิ่ง แต่ในกรณีนี้ความว่างคือโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลซึ่งเต็มไปด้วยศักยภาพของการซึมซับและการตระหนักรู้ ซึ่งมีประโยชน์มาก คุณอาจแต่งแต้มเครื่องประทินโฉมลงไป อาจดื่มชา อาจกินคุกกี้ด้วยความว่าง อาจขัดรองเท้าในความว่าง มีบางสิ่งอยู่ในนั้น ทว่าประหลาดยิ่ง เมื่อคุณมองหากลับไม่พบ เมื่อพยายามแตะต้องด้วยนิ้วกลับพบว่าไม่มีแม้แต่นิ้วที่จะแตะ สิ่งนั้นคือธรรมชาติแห่งปฐมกาลของความดีงามพื้นฐานและก็คือความดีงามนั้นเองซึ่งช่วยให้มนุษย์กลับกลายเป็นนักรบ กลายเป็นนักรบแห่งนักรบทั้งปวง
......โดยพื้นฐานแล้วนักรบก็คือใครคนหนึ่งซึ่งมิได้หวาดกลัวต่อความว่าง คนขลาดนั้นมีชีวิตอยู่ด้วยความกลัวเกรงความว่างตลอดเวลา เมื่อคนขลาดอยู่เพียงลำพังในป่าและไม่ได้ยินสรรพสำเนียงใดๆ เลย เขามักจะคิดว่ามีภูตผีปีศาจสิงสู่อยู่ที่ใดที่หนึ่ง ในความเงียบสงัดนั้นเองที่เขาเริ่มสร้างมโนภาพของภูติผีปีศาจขึ้นมาในจิตใจ คนขลาดกลัวความมือเพราะเขาไม่อาจแลเห็นสิ่งใดๆ เขากลัวความเงียบเพราะว่าเขาไม่ได้ยินเสียงใดๆ คนขลาดแปรเปลี่ยนสิ่งไม่มีตัวตนให้กลายเป็นความกลัวโดยการสร้างการแบ่งแยก หรือเงื่อนไขนานาชนิดขึ้นมา แต่สำหรับนักรบแล้วสิ่งไร้ตัวตนไม่จำเป็นต้องถูกทำให้มีตัวมีตนขึ้น มันไม่จำเป็นต้องตีค่าออกมาเป็นนัยบวกหรือนัยลบ แต่มันอาจเป็นกลาง เป็นดังที่มันเป็น
......โลกอาทิตย์อัสดงเกรงกลัวความว่าง กลัวสัจจะแห่งการไม่แบ่งแยกในโลกนั้นผู้คนพากันกลัวความอ่อนแอ พวกเขาไม่กล้าที่จะเปิดเผยและเปลือยเปล่า ไม่กล้าเปิดเนิ้อหนัง กระดูกและไขกระดูกออกสู่โลกภายนอก เขาไม่กล้าที่จะขึ้นอยู่เหนือเงื่อนไขและการแบ่งแยกซึ่งเขาสร้างขึ้นมาเอง ในโลกอาทิตย์อัสดงนั้น ผู้คนพากันเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมในการแบ่งยแกของตน เขาพากันคิดว่าถ้าเปิดตนออกก็เท่ากับเปิดแผลให้แก่เชื้อโรคต่างๆ อาจมีค้างคาวดูดเลือดอยู่แถวๆ นั้น และมันอาจได้กลิ่นคาวเลือด และมาดูดกิน โลกอาทิตย์อัสดงสอนว่าคุณจะต้องปกป้องเลือดเนื้อของตน สอนว่าคุณจะต้องสวมเสื้อเกราะเพื่อปกป้องตน แต่ทว่าคุณกำลังปกป้องตนเองจากสิ่งใดกันแน่ จากความว่างใช่หรือไม่
......ถ้าคุณประสบความสำเร็จในการปิดกั้นตนเองไว้อย่างสิ้นเชิง คุณอาจรู้สึกมั่นคงปลอดภัยแต่คุณก็จะรู้สึก โดดเดี่ยวอย่างร้ายกาจด้วย นี่มิใช่ความโดดเดี่ยวของนักรบ แต่เป็นความโดดเดี่ยวของคนขลาด เป็นความโดดเดี่ยวของการถูกกักขังอยู่ในดักแด้ ถูกตัดออกจากความรักความผูกพันพื้นฐานของมนุษย์ คุณไม่รู้ว่าจะถอดเกราะของตนออกอย่างไร คุณคิดไม่ออกว่าจะดำเนินชีวิตไปได้อย่างไร หากปราศจากการแบ่งแยกแห่งความมั่นคงปลอดภัยของตน การท้าทายของนักรบก็คือการก้าวออกจากรังดักแด้ ก้าวออกมาสู่ที่กว้างโล่งภายนอก โดยมีทั้งความกล้าหาญและอ่อนโยนในขณะเดียวกัน คุณอาจเปิดบาดแผลและเลือดเนื้อออก เปิดเผยปมทั้งสิ้น
......ตามปกติเมื่อคุณมีบาดแผล คุณก็ปิดผ้าไว้จนกว่าจะหาย ครั้นแล้ว คุณก็แก้ผ้าพันแผลออก เปิดแผลซึ่งหายแล้วออกสู่โลกภายนอก แต่ในกรณีนี้คุณเปิดปากแผลออก เปิดเลือดเนื้อออกอย่างไม่มีเงื่อนไข คุณอาจเป็นคนดิบๆ และเปิดเผยออกอย่างหมดจด ต่อสามีต่อภรรยา ต่อนายธนาคาร ต่อเจ้าที่ดิน และต่อใครก็ตามซึ่งคุณได้พบ
......จากการนี้เองที่สิ่งอันพิเศษสุดจะถือกำเนิดขึ้น เป็นการก่อเกิดของกษัตราธิราช คำจำกัดความของชัมบาลาที่มีต่อกษัตริย์ก็คือ ใครก็ตามซึ่งปราศจากความเสแสร้างและอ่อนไหวยิ่งเป็นผู้พร้อมที่จะเปิดเผยใจออกสู่ผู้อื่น นั่นเองคือการที่คุณได้เป็นกษัตริย์หรือราชินี เป็นผู้ปกครองโลกของตน หนทางในการปกครองจักรวาลก็คือการเผยใจออก เพื่อผู้อื่นจะได้แลเห็นหัวใจของคุณเต้น เห็นเนื้อสีแดงและเห็นเลือดไหลเวียนโคจรในเส้นโลหิต
......โดยทั่วๆ ไป แล้วเรามักนึกถึงกษัตริย์ในแง่ลบ คิดว่าเป็นใครบางคนซึ่งถือตนเหนือผู้อื่น ซ่อนตัวอยู่ในพระราชวังและสร้างอาณาจักรขึ้นมาเพื่อกำบังตนเองออกจากโลก แต่ในที่นี้เรากำลังพูดเรื่องการเปิดตนออกสู่มนุษย์คนอื่น เพื่อที่จะช่วยผลักดันความสุขสมบูรณ์ของมนุษย์ อำนาจของกษัตริย์ในโลกของชัมบาลาเกิดมาแต่ความนุ่มนวล มันอุบัติขึ้นจากการเปิดเผยหัวใจออก เพื่อที่จะได้แบ่งปันใจดวงนั้นกับผู้อื่น คุณไม่มีสิ่งใดจะต้องซ่อนเร้น ไม่ต้องสวมเสื้อเกราะ ประสบการณ์ของคุณเปล่าเปลือยและชัดตรง มันเหนือยิ่งกว่าความเปล่าเปลือยด้วยซ้ำ มันเป็นสิ่งดิบ ซึ่งยังมิได้ปรุงแต่ง
......นี่คือผลบั้นปลายของความเป็นนักรบ เป็นการตระหนักอย่างสมบูรณ์ถึงความดีงามพื้นฐานปฐมกาล จากระดับภาวะนี้ จะไม่มีความสงสัยใดๆ เกี่ยวกับความดีงามพื้นฐานหรือเกี่ยวกับตนเองอีกต่อไป เมื่อคุณเปิดเผยเนื้อหนังอันเปล่าเปลือยออกสู่จักรวาล คุณก็อาจกล่าวว่า "ฉันควรจะใส่หนังเข้าไปอีกชั้นหนึ่งไหม เปลือยเกินไปไหม" ที่จริงคุณไม่อาจเพิ่มเติมอะไรเข้าไปอีก ตรงจุดนั้นเองไม่มีที่ว่างพอสำหรับความลังเลสงสัยอีก คุณไม่มีอะไรจะต้องสูญเสียและไม่มีอะไรที่จะได้มา คุณเพียงแต่เปิดหัวใจออกอย่างหมดจด