ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง
รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
sithiphong:
ครม. ไฟเขียวปรับโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาใหม่
-http://money.kapook.com/view76809.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
โครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาใหม่ ครม. อนุมัติปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากอัตราสูงสุด 37% เป็น 35% คาดมีผลบังคับใช้ปี 2557
วันนี้ (19 พฤศจิกายน 2556) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่ตามที่กระทรวงการคลังเสนอมา โดยปรับการคำนวณเงินได้สุทธิจาก 5 ขั้นอัตรา เป็น 7 ขั้นอัตรา พร้อมปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากอัตราสูงสุด 37% เป็น 35% มีผลบังคับใช้สำหรับเงินได้ปี 2556 และ 2557
สำหรับโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาที่มีการปรับเปลี่ยน มีรายละเอียด ดังนี้
1. ผู้ที่มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 100,001-500,000 บาท/ปี จะเสียภาษี 10% ของรายได้สุทธิ ขณะที่แบบใหม่จะขยายฐาน เป็นผู้ที่มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 300,001-500,000 บาท/ปี จะเสียภาษี 10% ของรายได้สุทธิ
2. ผู้ที่มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 500,001-750,000บาท/ปี จะเสียภาษี 15% ของรายได้สุทธิ
3. ผู้ที่มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 750,001-1,000,000 บาท/ปี จะเสียภาษี 20% ของรายได้สุทธิ (เท่าเดิม)
4. ผู้ที่มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 1,000,001-2,000,000 บาท/ปี จะเสียภาษี 25% ของรายได้สุทธิ
5. ผู้ที่มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 4,000,000 บาท/ปี ขึ้นไป เดิมจะเสียภาษี 37% ของรายได้สุทธิ เปลี่ยนเป็นเสียภาษี 35% ของรายได้สุทธิ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
ไฟเขียวปรับโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดา
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
-http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20131119/544231/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B2.html-
รายงานข่าวเปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดาสำหรับการคำนวณเงินได้สุทธิจาก 5 ขั้นอัตรา เป็น 7 ขั้นอัตรา และลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากอัตราสูงสุด 37% เป็น 35% มีผลบังคับใช้สำหรับเงินได้ปี 2556 และ 2557
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมครม.วันนี้ (19 ) เห็นชอบตามที่ กระทรวงคลัง เสนอเรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา)
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา) เป็นการปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการคำนวณเงินได้สุทธิจาก 5 ขั้นอัตรา เป็น 7 ขั้นอัตรา และลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากอัตราสูงสุด 37% เป็น 35% โดย ให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี พ.ศ. 2556 และประจำปี พ.ศ. 2557
โดยอัตราภาษีเงินได้ แบบเดิมในปัจจุบันจะเห็นว่า ผู้มีรายได้ 100,001-500,000 บาท/ปี จะเสียภาษี 10% ของรายได้สุทธิ
ขณะที่แบบใหม่จะขยายฐาน เป็น ผู้มีรายได้ 300,001-500,000 บาท/ปี จะเสียภาษี 10% ของรายได้สุทธิ
และ 500,001-750,000บาท/ปี จะเสียภาษี 15% ของรายได้สุทธิ
ส่วนผู้มีรายได้ 500,001-1,000,000 บาท/ปี ปัจจุบันเสียภาษี 20% ของรายได้สุทธิ ขณะที่แบบใหม่จะขยายฐาน เป็น
ผู้มีรายได้ 750,001-1,000,000 บาท/ปีจะเสียภาษี 20% ของรายได้สุทธิ
และ 1,000,001-2,000,000 จะเสียภาษี 25% ของรายได้สุทธิ
และสำหรับ ผู้มีรายได้ 4,000,000 บาท/ปี ขึ้นไป ปัจจุบันเสียภาษี 37% ของรายได้สุทธิ ขณะที่แบบใหม่ปรับลดเหลือ 35% ของรายได้สุทธิ
Tags : ครม. • คลัง • ปรับโครงสร้างภาษี
sithiphong:
โบรกฯ ชี้การลงทุนปีหน้า แนะลงซื้อ-ขึ้นขาย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 พฤศจิกายน 2556 18:42 น.
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000145426-
นักกลยุทธ์แนะการลงทุนปลายปียังมีปัจจัยเสี่ยงจากการเมืองในประเทศฉุดดัชนีราคาหุ้นผันผวน แนะนักลงทุนปรับพอร์ตเลี่ยงขาดทุน ลงซื้อ-ขึ้นขาย เล็งหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี และจับตาต้นปี 57 ปัญหาการเมืองยุบสภาหรือไม่ และการยกเลิกมาตร QE
นายกวี ชูกิจเกษม นักกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย กล่าวในงาน SET in the city ว่า ดัชนี SET INDEX ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,400 จุดลงมา จากประเด็นการเมืองในประเทศที่จะมีการชุมนุมในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย. ทำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นออกไปจำนวนมาก อย่างไรก็ดี เป็นจุดที่นักลงทุนควรเข้าทยอยซื้อสะสมในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยคาดว่าในสัปดาห์หน้ายังมีแรงกดดันจากการขายของนักลงทุนต่างชาติ และจะยังคงมีปัญหาความขัดแย้งจากผู้ชุมนุมทางการเมืองที่ยังเป็นปัจจัยลบที่กดดันหุ้นไทยต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นโดยรวมได้รับข่าวดีจากการประกาศคาดการณ์เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ ที่ออกมาดี แต่ทั้งนี้ นักลงทุนอาจจะยังต้องระวังตลาดจะตีความว่า เฟด จะเริ่มลดมาตรการ QE และอาจทำให้ต่างชาติยังคงขายหุ้นในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงไทยอยู่ ส่วนประเด็นการเมือง รัฐบาลเริ่มมีทางเลือกน้อยลงหลังจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การแก้ที่มา ส.ว. ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจนำไปสู่การดำเนินคดีต่อ 312 ส.ส. และ ส.ว. ที่ยกมือให้กฎหมายนี้ผ่าน ทำให้นายกฯ มีโอกาสที่จะยุบสภาสูงขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อตลาด แต่คาดว่าจะยังไม่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
ดังนั้น โดยสรุปหุ้นยังมีโอกาสปรับฐานได้อยู่ โดยมองแนวรับไว้ที่ 1,350-1,365 ยังเน้นทยอยตั้งรับหุ้นพื้นฐานดี เนื่องจากเชื่อว่าเดือนธันวาคมตลาดหุ้นจะดีขึ้น หลังต่างชาติขายออกน้อยลง และกองทุน LTF จะเริ่มมีบทบาทมากขึ้นจากนักลงทุนที่เข้าทยอยซื้อเพื่อลดภาษี อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาว่าต้นปีจะมีการยุบสภาเกิดขึ้นหรือไม่
ในส่วนของการลงทุนในปีหน้านั้น คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในกรอบแคบๆ โดยเพิ่มขึ้นที่ 3-5% ซึ่งกลยุทธ์ที่นักลงทุนควรพิจารณาคือ เมื่อหุ้นปรับตัวลดลงกว่า 1,400 จุด ให้ทยอยเข้าซื้อสะสม และเมื่อหุ้นปรับตัวขึ้นเกิน 1,550 จุด ให้ทยอยขายออก โดยแบ่งพอร์ตเป็นหุ้น 30% และเงินสด 70% และเมื่อหุ้นปรับตัวสูงขึ้นเกิน 1,600 จุด ให้ทยอยขายออกให้หมด เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงจากมาตรการ QE ที่อาจเป็นปัจจัยลบการลงทุน และภาวะปิดหน่วยงานราชการในสหรัฐฯ (Government Shutdown) ตลอดจนถึงปัญหาการเมืองภายในประเทศที่จะส่งผลกระทบในระยะยาว
ทั้งนี้ นักลงทุนควรเข้าซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีมีกำไรเกิน 100% ได้แก่
CPF ซึ่งคาดว่าจะเติบโตขึ้นถึง 102%
TUF ที่จะมีกำไรจากการส่งออกกุ้งเพิ่มมากขึ้น 104%
THRE ที่ได้รับอานิสงส์จากน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ซึ่งได้เคลมประกันหมดแล้ว และคาดว่าจะกลับมามีกำไรในปีหน้า โดยคาดว่าจะทำกำไรได้เกินกว่า 137%
TTA คาดว่าจะมีกำไร เนื่องจากได้จ่ายค่าระวางเรือในปีนี้ไปหมดแล้ว ปีหน้าจึงไม่มีค่าระวางเรือที่ต้องจ่าย ซึ่งจะฟื้นตัวกลับมามีกำไรได้กว่า 154% จากเรือขุดเจาะน้ำมันที่สั่งเข้ามาใหม่ 3 ลำ
SPCG คาดว่าจะเติบโต 155% จากรับสัญญาโรงไฟฟ้าครบ 36 โรง และมีการจ่ายปันผลที่สูง
หุ้นที่มีความเสี่ยงปานกลาง มีความสามารถทำกำไรดี และมีราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Price to Book)ที่มีราคาไม่สูงมาก
ADVANC มีอัตราส่วนต่อผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity) ในอัตราที่ต่ำ
KTB มีราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Price to Book) ในราคาที่ไม่สูงมาก
MC จะมาสาขาเปิดใหม่อีกกว่า 100 สาขา และลงนามพันธมิตรร่วมค้ากับ ไทม์ เดโค่ แล้ว
PTTGC จะมีกำไรจากการแปรรูปปิโตรเคมี เนื่องจากมีความต้องการใช้ของอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มมากขึ้น
SCC จะมีกำไรต่อเนื่อง
หุ้นที่มีปันผลสูง ได้แก่
KKP, TICON, TRUBB, DCC
sithiphong:
4 เคล็ดลับเรื่องเงิน ถ้าไม่อยากจน ต้องอ่าน !
-http://money.kapook.com/view77192.html-
เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณมาม่ากับปลากระป๋อง, creativeshooter.com
เงิน คือปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ที่แทบจะกลายเป็นปัจจัยหลักมากกว่าสิ่งใด ๆ ไปแล้ว เพราะแม้กระทั่งปัจจัย 4 อย่าง อาหาร ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า และยารักษาโรค ต่างก็ต้องใช้เงินซื้อมาทั้งสิ้น ดังนั้นการใช้เงินและเก็บเงินให้เป็น จึงเป็นเคล็ดลับชั้นเลิศที่จะทำให้คุณอยู่ห่างไกลจากความจน และเข้าใกล้ความร่ำรวยมากขึ้นได้
คุณมาม่ากับปลากระป๋อง สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ก็คืออีกหนึ่งคนที่มีเคล็ดลับเรื่องเงิน จากการปลูกฝังของครอบครัวมาหลายสิบปี และก็เต็มใจจะมาเปิดเผยเคล็ดลับดี ๆ เหล่านี้ให้ทุกคนได้นำไปใช้กัน ส่วนเคล็ดลับเรื่องเงินที่ว่าจะมีอะไรบ้าง เราลองไปอ่านดูพร้อม ๆ กันเลยค่ะ
4 เคล็ดลับที่ครอบครัวสอนผมเรื่อง "เงิน"
ปัญหาเรื่องเงิน เป็นปัญหาสุดคลาสสิกที่คนทุกผู้ทุกนามต้องเจอ หนึ่งในต้นตอสำคัญของปัญหาเรื่องเงินคือการ "การใช้เงินเกินตัว"
ซึ่งการใช้เงินเกินตัวนี้จะเป็นนิสัยที่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาทางด้านการเงินเรื้อรังได้ในอนาคต
เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ผมมองว่าต้องเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่เด็ก ๆ ให้รู้ถึงความสำคัญของมัน ในบทนี้ผมจึงขอแชร์ "เคล็ดลับ" ของตลอดหลายสิบปีที่ครอบครัวผมได้สอนผมไว้ เพื่อให้ผมใช้เงินอย่างเหมาะสม … ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์เก็บไปใช้ได้เลยครับ
1. อยู่กับความจริง
ครอบครัวบางครอบครัวตามใจเด็กมาก ด้วยความรักความเอ็นดูหรืออะไรก็ตามแต่ จึงให้เงินไว้ใช้จ่ายเงินแบบเกินพอดีตั้งแต่เด็ก โดยที่มันมากเกินความจำเป็น ซึ่งในบางทีมันมากเกินกว่าฐานะที่ครอบครัวมี และไม่อยู่กับความจริง ข้อนี้สำคัญมากเพราะถ้าไม่สอนให้รู้แต่เด็ก รอจนรู้เองตอนโตบางที่อาจสายเกินไป
เหตุการณ์สำคัญของครอบครัวผมที่ผมจะยกมาเรื่องนี้ ได้สอนให้เราอยู่กับความจริง ไม่ฟุ้งเฟ้อ เพราะ อะไรก็ไม่แน่นอน … และท่านบอกให้ทุกคนในครอบครัวรับรู้
บ้านผมเป็นครอบครัวข้าราชการชั้นผู้น้อย แต่เพื่อการศึกษาที่ดีของผม พวกท่านจึงส่งผมเรียนอนุบาลและประถมในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง เพื่อนได้เงินค่าขนมเยอะ ผมจึงไปร้องขอเพิ่มบ้าง ในท้ายที่สุดแม่ก็ยอมให้เพิ่ม ทุกอย่างเหมือนจะราบรื่น …. แต่แล้วมันก็เปลี่ยนไปเมื่อ …ครอบครัวเรามีหนี้หลักล้านบาทที่เกิดจากความผิดพลาดจนสิ้นเนื้อประดาตัว
พวกท่านเลือกที่จะบอกความจริงกับผม ให้รับรู้ถึงปัญหาการเงินที่เกิดขึ้น ถึงผมจะยังเด็กมากแต่ผมก็เข้าใจว่ามันสถานการณ์สาหัสเพียงไหน
เงินค่าขนมผมได้น้อยลงมากสวนทางกับน้ำตาของแม่ที่ไหนออกมามากขึ้น ๆ ทุกครั้งที่ยื่นเงินให้ผมแล้วบอกให้ตั้งใจเรียน ซึ่งผมจำมันได้แม่นและรู้สึกได้เลยว่าเงินมีค่ามากแค่ไหนในยามเราไม่มีมัน
ผมยังคงเรียนที่เดิมแต่ค่าขนมถูกลดลงไปมากซึ่งผมก็เข้าใจเพราะรู้สึกได้ว่าเรากำลังลำบาก หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นต้นมาครอบครัวเราใช้เงินอย่างรอบครอบและตามสถานะจริงตลอดมา
2. ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
เด็ก ๆ จะซึมซับ กับสิ่งที่พ่อกับแม่ทำเป็นอย่างดี บอกอย่างเดียวไม่มีประโยชน์ถ้าตัวเองทำไม่ได้ บอกปาว ๆ ว่าให้ลูกขยันแต่ ตัวเองกลับนั่งดูแต่ทีวีทุกวี่วัน บอกให้ประหยัดแต่ตัวกลับฟุ่มเฟือย ประเด็นนี้อาจจะเข้าสุภาษิตไทยที่ว่า "ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น" พ่อแม่เป็นแบบไหนลูกก็ไม่แคล้ว
ความขยัน ประหยัด มัธยัสถ์ อดออม สิ่งเหล่านี้มันค่อย ๆ ซึมเข้ามาจนไหลอยู่ในตัวผมจำนวนมาก พวกท่านทำให้ดูจนแทบไม่ต้องสอนกันเลย เพราะ พวกท่านทำให้ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาปกติ "พ่อคือสุดยอดไอดอลนักออมผู้เชี่ยวชาญพิเศษในการหยอดกระปุกออมสินมากในสายตาของผม"
สมัยยังเด็ก ผมกับพ่อเราจะมีกระปุกออมสินคนละตัว ของพ่อเป็นกระปุกหมูที่หน้าตาเหมือนม้าที่ตัวใหญ่มาก ของผมเป็นกระปุกหมูตัวน้อยในแต่ละวันเราจะมาหยอดกระปุกพร้อมกัน พ่อหยอดกระปุกม้ายี่สิบ ผมหยอดกระปุกหมูสองบาท พ่อเติมให้อีกสองบาท พอมันเต็มพ่อก็จะพาผมไปธนาคารออมสินเพื่อไปฝากเงินด้วยกัน แล้วก็จะได้ของขวัญจากธนาคารด้วย
กระปุกหมูออมสินของพ่อเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของผม เพราะเมื่อแกะมันออกมาเมื่อใด มันจะมีเหรียญจำนวนมาก และมีแบงก์กองเป็นภูเขาเลากา เมื่อผมช่วยนับผมจะได้ค่านับด้วย กระปุกหมูของพ่อตัวนี้น่าจะเป็นพี่ผม เพราะตั้งแต่ผมจำความได้ผมก็เห็นมันตั้งอยู่ในบ้านแล้ว กว่าจะลากออกมาถ่ายรูปได้ทุลักทุเลพอสมควรเพราะหนักมาก พ่อผมยังคงหยอดกระปุกนี้อยู่เดิม กระปุกออมสินหมูแดงยักษ์ของพ่อเมื่อเทียบกับผลส้ม
3. เงินทุกบาททุกสตางค์ต้องมีที่มาที่ไป
ผมสอบติดโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด วันแรก ๆ ไปโรงเรียน แม่ผมให้การบ้านมาข้อหนึ่ง ท่านถามผมว่า … "ไปโรงเรียนต้องใช้เงินวันละกี่บาท?" คำตอบต้องมีเหตุผลและต้องมีที่มา หลายวันผ่านไปผมมาส่งการบ้านพร้อมกับรายละเอียดที่จำเป็น
ค่ารถเมล์ ค่าเดินทาง
ค่าอาหารเช้า
ค่าอาหารกลางวัน
จิปาถะต่อสัปดาห์
จำได้ว่าคุณแม่พอใจกับรายการของผม และถามผมกลับมาว่า "ค่าข้าวนี่พิเศษหรือธรรมดา?" ผมตอบว่าธรรมดา แม่บอกผมว่า "เราเป็นคนกินจุงั้นเดี๋ยวแม่เพิ่มให้อีกหน่อยไว้กินพิเศษ"
พอขึ้น ม.ปลาย ก็ขยับค่าขนมอีกครั้ง ทำการบ้านใหม่ ผมสอบติดมหาวิทยาลัยก็ทำแบบเดียวกัน ถ้าจำไม่ผิดตอนมหาวิทยาลัย ผมใส่รายละเอียดขอค่าน้ำอัดลมทุกมื้อด้วย จำได้ว่าแม่ขำมากแต่ก็ให้เพิ่มมาตามที่ขอ ทักษะนี้ที่แม่สอนผม ท่านสอนถึงแก่นว่า "เพียงพอ" และ "จำเป็น" อยู่ตรงไหน
น้องสาวผมคนหนึ่งก็เช่นกัน ตอนนี้เธอเรียน ป.ตรี อยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพ เธอได้การบ้านแบบเดียวกับที่ผมเคยได้ "ต้องใช้เงินเท่าไหร่ถึงอยู่ได้" เธอก็ร่ายรายการค่าใช้จ่ายออกมา เราก็เห็นสมควรตามนั้น …. (เงินเพื่ออุปกรณ์การเรียน หนังสือเรียน หนังสือทุกชนิดแม่ผมเต็มที่ เท่าไหร่ไม่ว่ากัน เบิกได้ตามใบจริงอ้างอิงตามใบเสร็จ)
4. จัดการเงินของตัวเองให้ดีที่สุด
จัดการกับค่าขนม
หลังจากได้ค่าขนมมาแล้วต้องจัดการเงินของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่มีให้เพิ่ม!!! ถ้าเงินตัวเองเก็บได้เท่าไหร่เหลือเท่าใดเอาไปซื้ออะไรมาว่ากัน ท่านให้สิทธิเต็มที่ ท่านเด็ดขาดเรื่องนี้มาก ถ้าเงินไม่พอจัดการไม่ได้ท่านจะถามถึงที่มาที่ไปว่าเงินไปไหนทันที ถ้าเหลวไหล ฟุ่มเฟือยจะโดนตำหนิทันที …
ถ้าอยากได้อะไรเป็นพิเศษล่ะ … คำตอบ คือ ต้องหาเอง สมัยผมเรียนมหาวิทยาลัยผมจึงสารพัดทำงานพิเศษ เด็กเสิร์ฟร้านกาแฟ แจกใบปลิว สอนพิเศษ ฯลฯ น้องผมผลออกมาก็เหมือนพี่มัน ตอนนี้รับจ็อบทำงานพิเศษอยู่ร้านฟาสฟูดส์ข้างมหาวิทยาลัย ผมถามว่าถ้าให้เงินน้องตามใจเราที่เราอยากให้ได้หรือไม่ น้องจะได้ไม่ลำบาก ให้ได้ครับ แต่ผมจะตอบคำถามนี้อย่างไร … ถ้าต่อไปน้องเรียนจบออกไปทำงาน แต่แล้วได้เงินเดือนน้อยกว่าที่พ่อแม่ให้ล่ะผลจะเป็นอย่างไร?
จัดการกับบัตรเครดิต
นอกจากจัดการเงินสดแล้ว ยังต้องละเว้นบัตรเครดิตด้วย เพราะ บัตรเครดิตมันไม่ใช่เงินของเรา ตอนผมจบเรียนจบใหม่ ๆ แม่ผมเน้นมากเรื่องบัตรเครดิตบอกว่ายังไม่อยากให้ผมมีบัตรเครดิต !!
เมื่อเรียนจบท่านเรียกผมมาคุยเล่าและบอกถึงคุณโทษของบัตรเครดิตให้ผมฟังว่าเป็นอย่างไร มันอันตรายแค่ไหนถ้าไม่มีวินัยทางการเงิน รวมทั้งผลที่จะตามมา มีได้แต่แม่บอกว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ ท่านมองออกว่าผมเป็นอย่างไรจึงขอไว้เช่นนั้น ผมทำงานมาก็หลายปี ก็ยังไม่มีบัตรเสียที จนลืมไปเลยว่าเคยอยากมีบัตรเครดิตไว้รูดโก้กับเขา … ครอบครัวผมใช้เงินสดเป็นหลัก บัตรมีไว้ใช้เมื่อเจอสินค้า 0% หรือใช้แทนเงินสด ตอนนี้บ้านผมมีบัตรเครดิต 5 ใบ แม่มี 2 ใบ ภรรยาผมมี 2 ใบ พ่อ 1 ใบ และผมไม่มีบัตรเครดิต
จัดการกับสมบัติและมรดก
ที่ดินและบ้านในสวนผม ถูกนายหน้าทาบทามซื้อทางเป็นเทือก ในราคาที่เย้ายวนใจครั้งหนึ่ง คุณตาบอกลูก ๆ หลาน ๆ พูดลอย ๆ ในโต๊ะทานข้าว เพื่อสอน และเตือนสติลูกหลานในช่วงที่ดินกำลังร้อนแรงนี้ว่า …
"อยากได้อะไร อยากซื้ออะไร ก็เก็บเงินเอาใหม่ สะสมเอาใหม่ เก็บอย่างอดทน … อย่าขายที่ ขายสมบัติที่มี … การขายเพื่อไปซื้อสิ่งที่อยากได้มันไม่ถูก … เพราะถ้าทำอย่างนั้นเดี๋ยวอีกหน่อยก็ไม่เหลือที่ให้อยู่และจะทำมาหากินได้อย่างไร"
สิ่งที่คุณตาบอกนั้นมันชัดเจนกระจ่างแจ้งว่า นอกจากดูแลรักษาเงินทองของตัวเองแล้วยังต้องจัดการดูแลสมบัติที่ทรัพย์สมบัติที่ปู่ย่าตายายทำไว้ให้ด้วย พร้อมทั้งเตือนสติว่าอย่าขายเอามรดกของบรรพบุรุษเพื่อสนองความต้องการส่วนตน …
นี่คือสี่เคล็ดลับที่ครอบครัวบอกสอนเรื่องเงินแก่ผม ท่านสอนแก่ผมให้ผมใช้เงินอย่างระมัดระวัง… มีแบบอย่างที่ดี รู้จักคำว่าพอดี มีเหตุผลที่ดี และ รู้จักรักษาสิ่งที่ตัวเองมี
สุดท้ายนี้ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเคล็ดวิชาเล็ก ๆ น้อยของครอบครัวผมเหล่านี้ จะช่วยสร้างประโยชน์ให้แก่ทุก ๆ ท่านได้บ้างนะครับ …[^_^]…
ป.ล.
- สามารถติดตามอ่านเรื่องราวงานเขียนของผมได้ในบล็อกนี้นะครับ … http://goo.gl/aE4zV
อ้างอิง ข้อ 1. บอกความจริง และ ข้อ 2. ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ตัดมาจากบทเต็มบทนี้ครับ
… รู้สึกตัวอีกที สินทรัพย์จากที่เคยติดลบ กลับทะลุสิบล้าน ไปแล้ว!!! http://goo.gl/gWTSn
ข้อ 4. เรื่องมรดกอ้างอิงจากบทเต็มบทเรื่องอสังหาฯ ในบทนี้ครับ
มีคนมาเสนอซื้อบ้านและที่ดินของผมในราคา 15 ล้าน และ ผมไม่ขาย http://goo.gl/BlBLK
ปัญหาเรื่องการใช้เงินเกินตัวนั้นย่อมก่อให้หนี้สินจำนวนมาก หนี้สินส่วนบุคคลส่งผลย่อมส่งผลถึงครอบครัว และส่งผลถึงประเทศชาติในที่สุด คิดในอีกมุม การดูแลหนี้สินของตัวเองนั้นเป็นการช่วยชาติได้อีกทางหนึ่ง …
sithiphong:
ไม่มีจุดซื้อ
โดย สุนันท์ ศรีจันทรา 28 พฤศจิกายน 2556 21:24 น.
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000147937-
ไม่มีจุดซื้อ
ตลาดหุ้นยังเคลื่อนไหวอย่างไร้ทิศทาง ขึ้นวันลงวัน สะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์ของนักลงทุนที่แปรปรวน พร้อมจะทิ้งหุ้น หรือช้อนซื้อโดยไม่ต้องรอปัจจัยชี้นำ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเมืองก็ยังเป็นประเด็นหลักที่กดดัน จนดัชนีไม่อาจโงหัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
ดัชนีวันนี้ปิดที่ 1,359.45 จุด ลดลง 13.66 จุด มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 33,613 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 393 ล้านบาท
สถานการณ์การเมืองกระชับเข้ามาทุกขณะ โดยประชาชนตื่นตัวลุกฮือขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยกระแสลุกลามไปทั่วประเทศ ศาลากลางหลายจังหวัดถูกปิด ระบบราชการแทบจะเป็นอัมพาต แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ยังไม่ยอมลงจากอำนาจ ซึ่งหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และรัฐบาลชุดนี้ยังดื้อด้านต่อไป เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบตามไปด้วย
แนวโน้มหุ้นจนถึงสิ้นปีไม่น่าจะสดใส เพราะไม่มีข่าวดีที่รอคอย และการเมืองก็คงไม่จบง่าย และต้องรอคอยประเมินสถานการณ์ต่อไป ซึ่งอาจทำให้ปลายปีนี้หุ้นอาจซึมต่อเนื่อง และแม้จะลงมาระดับนี้ก็ยังไม่น่าสนใจ เพราะนอกจากการเมืองวุ่นวายแล้ว เศรษฐกิจอาจทรุดหนักด้วย
นักลงทุนคงจะไต่นั่งรอคอยต่อไป เพราะซื้อไปตอนนี้ก็ไม่ใช่จะได้ซื้อของถูก เนื่องจากแนวโน้มยังลงได้อีก
--------------------------------------------------------------------
โบรกฯ ประเมิน 4 แนวทางแก้วิกฤตการเมือง เชื่อต่างชาติยังขายไม่หยุด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 พฤศจิกายน 2556 22:31 น.
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000148608-
"เอเซียพลัส" มองการเมืองไทยร้อน "ต่างชาติ" ยังเทขายต่อเนื่อง โดยตลอดเดือน พ.ย. ยอดสะสมรวมสูงกว่า 4.5 หมื่นล้าน เชื่อยังเทขายจนกว่าเหตุการณ์จะสงบ พร้อมประเมิน 4 ทางออกปัญหาการเมือง "กสิกร" คาดแนวโน้มตลาดหุ้น 2 - 6 ธ.ค. ยังคงผันผวน แนะจับตาสถานการณ์การเมือง รายงานตัวเลข ศก.สหรัฐฯ
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) เปิดถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าว่า สถานการณ์การเมืองยังทำให้เกิดแรงกดดันต่อ SET Index ต่อไป อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเมืองปัจจุบัน ถือว่าอยู่ภาวะที่ยังหาทางออกไม่เจอ ทั้งนี้แนวทางที่เป็นไปได้ในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่างๆ พอสรุปได้ดังนี้
1).ยุบสภาฯ และจัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งอาจช่วยลดความตึงเครียดและการเผชิญหน้าลงได้ชั่วคราว
2).นายกรัฐมนตรี ลาออก ซึ่งจะทำให้ ครม.ทั้งชุดต้องพ้นจากตำแหน่ง หลังจากนั้น เข้าสู่กระบวนการสรรหานายกรัฐมนตรีใหม่ รัฐธรรมนูญกำหนดว่า นายกรัฐมนตรี ต้องคัดเลือกมาจากผู้ที่เป็น ส.ส. แนวทางนี้เชื่อว่า ยังมีความวุ่นวายอีกหลายเรื่องตามมา
3).การเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการวินิจฉัยขององค์กรอิสระ ซึ่งในที่นี้น่าจะหมายถึง ป.ป.ช.เป็นหลัก เนื่องจากปัจจุบันมีหลายคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณา แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่า จะมีการวินิจฉัยแต่ละเรื่องออกมาเมื่อใด
4). การหันหน้าเข้าเจรจากัน ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด แต่จากการประเมินสถานการณ์เห็นว่า มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก สถานการณ์การเมืองดังกล่าว คาดว่าจะทำให้เกิดแรงกดดันต่อ SET Index ต่อไป โดยหากไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น SET Index น่าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบบริเวณ 1,300 - 1,340 จุด
นอกจากนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (25 - 28 พ.ย.2556) ต่างชาติยังคงเทขายหุ้นไทยอย่างหนัก รวมแล้วกว่า 1 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายสะสมตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย. 2556 สูงถึง 4.5 หมื่นล้านบาท หากนับตั้งแต่ต้นปี 2552 นักลงทุนกลุ่มนี้ ยังคงมียอดซื้อสุทธิสะสมสูงถึงราว 4 หมื่นล้านบาท
กรณีดังกล่าว ทำให้เชื่อว่าต่างชาติจะยังคงขายสุทธิหุ้นไทยต่อไป จนกว่าปัจจัยกดดันจากการเมืองในประเทศเริ่มคลี่คลาย ทั้งนี้ น่าจะมีแรงซื้อกลับเข้ามา ในช่วงเดือน ธ.ค. จากแรงซื้อของกองทุนต่างๆ เพื่อใช้ลดหย่อนภาษี
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทย ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงในวันจันทร์ โดยมีแรงขายท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองในประเทศ ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นในช่วงกลางสัปดาห์ จากแรงซื้อหุ้นกลับของนักลงทุน และการตอบรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. จากนั้น ตลาดหุ้นปรับลดลงต่อในวันพฤหัสบดี จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุน ท่ามกลางความกังวลต่อความยืดเยื้อของการชุมนุมทางการเมือง อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้นในวันศุกร์ โดยมีแรงซื้อทางเทคนิค
สำหรับแนวโน้มสัปดาห์หน้า ระหว่างวันที่ 2 - 6 ธ.ค. 2556 บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด และบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนียังคงผันผวน โดยต้องติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย สำหรับรายงานตัวเลขเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องชี้ภาคการผลิต (ISM Manufacturing) เครื่องชี้ที่อยู่อาศัย และ จีดีพี ไตรมาส 3/2556 (Second Est.) ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,340 และ 1,316 ขณะที่ แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,385 และ 1,404 ตามลำดับ
sithiphong:
ไขปริศนาเม็ดเงินต่างชาติล้างพอร์ตหุ้นไทย 2 แสนล้าน ใกล้หมดจริงหรือไม่
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 ธันวาคม 2556 13:13 น.
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000151395-
โบรกฯ เกาะติดเม็ดเงินต่างชาติสะสมในตลาดหุ้นไทย 4 ปี จำนวนกว่า 2 แสนล้านบาท ถูกเทขายไปแล้วตั้งแต่ต้นปี 56 จำนวน 1.72 แสนล้าน เผยเดือน พ.ย. มีการทิ้งหนักถึง 4.8 หมื่นล้าน และในช่วง 4 วันทำการแรกเดือน ธ.ค. เทขายไปเกือบ 2 หมื่นล้าน
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยเดือนสุดท้ายของปี 2556 โดยมองว่า หากสถานการณ์ทางการเมืองไม่ทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง แรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ออกมาหนักมากในขณะนี้น่าจะเริ่มชะลอตัวลง โดยภายในเดือน พ.ย. นักลงทุนเทขายสุทธิสูงถึง 48,074.94 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมาก
ทั้งนี้ พบว่าเพียงแค่ 4 วันทำการแรกของเดือน ธ.ค.นักลงทุนต่างชาติมีการเทขายหนักไปเกือบ 2 หมื่นล้านบาท แต่เชื่อว่าช่วงกลางเดือนนี้น่าจะเริ่มชะลอตัวได้ ประกอบกับถ้าพิจารณาผลตอบแทนจากเงินปันผล และผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน น่าจะทำให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นไทยต่อไปได้
ส่วนการไหลกลับของนักลงทุนต่างชาตินั้น ต้องพิจารณาจากปัจจัยการเมืองในประเทศ และมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ของสหรัฐฯ เป็นหลัก หากการเมืองคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น และสหรัฐฯ ยังไม่ได้ชะลอคิวอี เงินลงทุนต่างชาติน่าจะทยอยกลับมาในตลาดหุ้นไทยได้บ้าง
ด้านนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด ยอมรับว่า ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไปแล้วประมาณ 70% ของเงินซื้อสะสม โดยยอดซื้อสะสมย้อนหลัง 4 ปี อยู่ที่ประมาณ 2 แสนกว่าล้านบาท ขณะที่ยอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 1.72 แสนล้านบาท หากการเมืองยังรุนแรงและยืดเยื้อ เชื่อว่าจะมีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติออกมาอีกประมาณ 10% ของเงินซื้อสะสมที่เหลืออยู่ ส่วนนักลงทุนที่เหลืออีกประมาณ 20-30% นั้น เชื่อว่าจะเป็นนักลงทุนระยะยาว
สำหรับทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในอนาคต เชื่อว่าการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจะไม่ได้ลงทุนแบบซื้อยกกลุ่มแล้ว แต่จะเลือกลงทุนหุ้นรายตัวมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีแนวโน้มดี แต่ด้วยความที่ตลาดหุ้นไทยผันผวนมาก นักลงทุนต้องใจกล้าที่จะมาลงทุน แต่อย่างที่เห็นได้ชัดในตอนนี้ คือ นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่เริ่มปรับพอร์ตการลงทุนชัดเจน และเริ่มหันไปลงทุนในตลาดหุ้นแถบเอเชียเหนือ รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปฟื้นตัว
นายปริญญ์ ย้ำว่าปัญหาการเมืองอยู่กับบ้านเรามานาน ตั้งแต่ปี 2551 จนนักลงทุนต่างชาติเริ่มชิน และที่ผ่านมา ตลาดหุ้นขึ้นต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน ประกอบกับคิวอีเริ่มลดขนาดลง เงินทุนเริ่มไหลออกกลับไปซื้อหุ้นในตลาดสหรัฐฯ ที่พร้อมจะมีอัตราเติบโตเท่ากับตลาดหุ้นไทย รวมทั้งตลาดหุ้นอื่นในจีน เกาหลี ไต้หวัน และฮ่องกง
http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000151395
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version