ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง
รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
sithiphong:
8 ตัวช่วยลดหย่อนภาษี
-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/200784/8+%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5-
ใกล้โค้งสุดท้ายของปีเข้าไปเต็มที ใครที่อยากใช้สิทธิลดหย่อนภาษีก็อย่าได้ชะล่าใจว่ายังพอมีเวลา
วันอังคาร 10 ธันวาคม 2556 เวลา 10:42 น.
ใกล้โค้งสุดท้ายของปีเข้าไปเต็มที ใครที่อยากใช้สิทธิลดหย่อนภาษีก็อย่าได้ชะล่าใจว่ายังพอมีเวลา เพราะยิ่งใกล้ปีใหม่เวลาก็ยิ่งหมดไปอย่างรวดเร็ว มารู้ตัวอีกทีอาจจะไม่ทันการลงทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี วันนี้ขอแนะนำ 8 ตัวช่วยลดหย่อนภาษีมาแนะนำกันค่ะ
ตัวช่วยลดหย่อนภาษีโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม
1. สิทธิลดหย่อนอุปการะเลี้ยงดูคุณพ่อคุณแม่ ตัวช่วยแรกนี้ สำหรับลูก ๆ ที่มีคุณพ่อคุณแม่อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และคุณพ่อคุณแม่มีรายได้ไม่เกินคนละ 30,000 บาท สามารถใช้สิทธิลดหย่อนอุปการะเลี้ยงดูคุณพ่อ-คุณแม่ได้ท่านละ 30,000 บาท โดยพี่น้องจะต้องตกลงกันก่อนว่าใครจะเป็นผู้ใช้สิทธิ เพราะสิทธินี้จะไม่สามารถนำมาเฉลี่ยได้หากคุณพ่อคุณแม่มีลูกหลายคน ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่มีลูก 2 คน คุณพ่ออาจให้สิทธิลูกคนโต คุณแม่ให้สิทธิกับลูกคนเล็กก็ได้ค่ะ (รายได้ในที่นี้รวมถึงดอกเบี้ยรับจากธนาคารที่คุณพ่อคุณแม่ฝากเงินเอาไว้ด้วยนะคะ เนื่องจากบางครั้งเราเห็นว่าคุณพ่อคุณแม่เกษียณแล้วไม่น่าจะมีรายได้อะไร แต่ปรากฏว่าท่านมีรายได้จากดอกเบี้ยสูงกว่า 30,000 บาท จะไม่สามารถใช้สิทธิได้)
2. การใช้สิทธิลดหย่อนบุตร ในกรณีที่จดทะเบียนสมรส ต่างฝ่ายจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนบุตรได้คนละ 17,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 3 คน (หากบุตรไม่เรียนหนังสือ หรือเรียนต่างประเทศ จะสามารถใช้สิทธิได้เพียงคนละ 15,000 บาท) ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่มีบุตร 3 คน และบุตรทั้ง 3 อยู่ในระหว่างการศึกษาในประเทศไทย สามารถใช้สิทธิลดหย่อนบุตรได้สูงสุดฝ่ายละ 51,000 บาท
3. อุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ ในกรณีที่บุคคลในครอบครัวเป็นคนพิการ สามารถใช้สิทธิอุปการะเลี้ยงดูคนพิการได้ คนละ 60,000 บาท ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะต้องเป็นคุณพ่อคุณแม่ของเรา หรือคุณพ่อคุณแม่ของคู่สมรส เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรมก็สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ทั้งสิ้น (ไม่จำกัดจำนวนคน) ในกรณีที่เป็นบุคคลอื่น ๆ นอกเหนือจากบุคคลดังกล่าว สามารถอุปการะเลี้ยงดูได้อีก 1 คน ทั้งนี้ จะต้องทำตามเงื่อนไข โดยผู้มีเงินได้จะต้องเป็นผู้ดูแลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยมีชื่อเป็นผู้ดูแลคนพิการในบัตรประจำตัวคนพิการ ก็สามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้ค่ะ
ตัวช่วยลดหย่อนภาษีโดยการลงทุนเพิ่ม
4. ค่าเบี้ยประกันสุขภาพคุณพ่อคุณแม่ ในกรณีที่เราซื้อประกันสุขภาพให้กับคุณพ่อคุณแม่ตนเอง หรือคุณพ่อคุณแม่ของคู่สมรส ค่าเบี้ยประกันดังกล่าวสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ทั้งนี้ ประกันสุขภาพดังกล่าวจะต้องมีชื่อคุณพ่อหรือคุณแม่ หรือคุณพ่อคุณแม่คู่สมรสเป็นผู้เอาประกัน โดยที่ท่านจะต้องมีเงินได้ในปีภาษีไม่เกิน 30,000 บาท นอกจากนี้จะต้องมีชื่อเราเป็นผู้ชำระค่าเบี้ยประกัน จึงจะสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ค่ะ
5. ค่าเบี้ยประกันชีวิต สามารถนำค่าเบี้ยประกันชีวิตมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้ สามารถใช้ได้เฉพาะเบี้ยประกันชีวิตเท่านั้น ไม่สามารถนำค่าเบี้ยประกันสุขภาพมาลดหย่อนได้ แม้ว่าจะอยู่ในกรมธรรม์เดียวกันก็ตาม นอกจากนี้ หากมีค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนเพิ่มเติมได้อีก 15% ของเงินได้ทั้งปี ไม่เกิน 200,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แล้วจะต้องไม่เกิน 500,000 บาทค่ะ
6. ดอกเบี้ยจากการกู้ยืมซื้อบ้าน สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้ การใช้สิทธิดอกเบี้ยจะต้องดูเงื่อนไขการกู้ยืม เช่น กรณี กู้ซื้อบ้าน 1 หลังเพียงลำพัง เสียดอกเบี้ยทั้งปี 40,000 บาท ก็สามารถนำดอกเบี้ยจำนวน 40,000 บาท มาใช้สิทธิได้เต็มจำนวน หากกู้ซื้อบ้านหลังที่ 2 โดยการกู้ร่วมกับคู่สมรส โดยเสียดอกเบี้ยของบ้านหลังที่ 2 ทั้งหมดจำนวน 60,000 บาท ดังนั้น สามารถใช้สิทธิดอกเบี้ยบ้านหลังที่ 2 ได้จำนวน 30,000 บาท เมื่อรวมกับบ้านหลังที่ 1 แล้ว จะสามารถใช้สิทธิได้จำนวน 70,000 บาท (บ้านหลังที่ 2 ไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้เต็มจำนวนเนื่องจากเป็นการกู้ร่วม ดังนั้น สิทธิในการลดหย่อนภาษีต้องแบ่งครึ่ง)
7. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) สามารถลงทุนได้ตั้งแต่ 3% ของเงินได้ทั้งปี หรือ 5,000 บาท แล้วแต่จำนวนใดต่ำกว่า สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ทั้งปี (เมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท) ซึ่งในแต่ละปีอาจจะลงทุนไม่เท่ากันก็ได้ แต่แนะนำให้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอทุกปี เพราะเงินลงทุนก้อนแรกต้องมีการลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี (นับแบบวันชนวัน) และผู้ลงทุนจะต้องมีอายุ 55 ปีบริบูรณ์ จึงจะสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้อย่างไม่ผิดเงื่อนไข
8. กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) สามารถลงทุนได้สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ทั้งปี และไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อลงทุนแล้วจะต้องถือครองนาน 5 ปีปฏิทิน หรือ 3 ปีเศษนั่นเอง การลงทุนในกองทุนประเภทนี้จะต้องรับความเสี่ยงได้พอควรเพราะมีความผันผวนจากหุ้น
8 ตัวช่วยลดหย่อนภาษีนี้ แนะนำให้ใช้ 3 ตัวช่วยแรกที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มก่อน และหากต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มก็สามารถเลือกได้อีก 5 วิธีที่ได้แนะนำไป นอกจากนี้ ยังมีตัวช่วยอื่นๆ อีก เช่น เงินบริจาค ที่จะช่วยให้เสียภาษีลดลงได้ อีกทั้งในปีภาษี 2556 ฐานภาษีได้เปลี่ยนจาก 5 ขั้น เป็น 7 ขั้น ดังนั้น แนะนำให้มีการคำนวณภาษีก่อนลงทุน เพื่อการใช้สิทธิประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ
sithiphong:
ราคาทองคำปี 2557 ทรุดหนัก มีแนวโน้มดิ่งตัวลงถึง 15%
-http://money.kapook.com/view78217.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ราคาทองคำปี 2557 ทรุดหนัก โกลด์แมนแซคส์ คาดดิ่งตัวลงถึง 15% จากปี 2556 ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายรายการ ซึ่งประกอบไปด้วยทองคำ เหล็ก ทองแดง ถั่วเหลือง และข้าวโพด ก็มีแนวโน้มอ่อนตัวลงเช่นกัน
เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2556 สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ได้เปิดเผยรายงานการศึกษาวิเคราะห์แนวโน้มความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ในปี 2557 ซึ่งจัดทำโดย โกลด์แมนแซคส์ (Goldman Sachs) พบว่า โกลด์แมนแซคส์ได้คาดการณ์ว่า ราคาทองคำ ปี 2557 มีแนวโน้มที่จะดิ่งตัวลงถึง 15% รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์หลายรายการ ซึ่งประกอบไปด้วยทองคำ เหล็ก ทองแดง ถั่วเหลือง และข้าวโพด
สำหรับราคาของทองคำนั้น มีแนวโน้มที่จะตกต่ำลงเฉลี่ยเหลือเพียงออนซ์ละ 1,050 ดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น จากที่เคยเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 1,200-1,350 ดอลลาร์สหรัฐ ในรอบปีนี้ (2556) และน่าจะถือเป็นจุดต่ำสุดของราคาทองคำนับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา ซึ่งจะส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียและสกุลเงินของแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นสกุลเงินของ 2 ประเทศที่ผลิตทองคำรายสำคัญของโลก จะต้องอ่อนค่าตามลงมา
และในส่วนของราคาเหล็ก เจฟฟรีย์ คูรี นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ว่า มีความเสี่ยงที่จะตกต่ำลงเช่นกัน เนื่องจากความต้องการใช้ทรัพยากรที่ลดลง ในขณะจำนวนทรัพยากรที่มีอยู่สต็อกนั้นกลับมีอยู่เหลือเฟือ และจากความกดดันด้านราคานี้น่าจะทำให้ราคาเหล็กในปี 2557 มีแนวโน้มที่จะดิ่งลงต่ำที่สุด นับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา
สำหรับราคาของทองแดง ถั่วเหลือง และข้าวโพด โกลด์แมนแซคส์ ก็ได้คาดการณ์ว่าน่าจะมีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากปีนี้เช่นกัน
ทั้งนี้ โกลด์แมนแซคส์ ยังได้ระบุถึงความคาดหวังว่า จากการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าครั้งใหญ่นี้ น่าจะช่วยให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ทั้งจากการกระตุ้นด้วยการเพิ่มขึ้นของการใช้ทรัพยากรในภาคเอกชน และการลงทุนในภาคธุรกิจ และเป็นที่คาดว่าน่าจะเริ่มมีการขายพันธบัตรขึ้นในเดือนมีนาคม และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปี 2557 ยังถูกคาดว่าน่าจะขยายตัวอยู่ที่ 2.6% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่มีการขยายตัวอยู่ที่ 1.7%
sithiphong:
ผู้เสียภาษีเฮ ! กรมสรรพากร ยันชัด อัตราภาษีเงินได้แบบใหม่ ใช้ทันปีนี้
-http://money.kapook.com/view78282.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
กรมสรรพากร ยืนยัน พระราชกฤษฎีกาปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีผลบังคับใช้ปีนี้ โดยสามารถยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีได้ในต้นปีหน้า
จากกรณีที่มีข้อสงสัยว่าอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบใหม่ ที่จะปรับลดจาก 10-37% เหลือ 5-35% นั้น จะสามารถนำมาใช้ทันในปี 2556 หรือไม่นั้น ล่าสุด กรมสรรพากรยืนยันแล้วว่า พ.ร.ฎ. ปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีผลบังคับใช้ในปีนี้
โดยวันนี้ (13 ธันวาคม 2556) นายสุทธิชัย สังขมณี อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยถึงกรณีที่เกิดข้อสงสัยว่าการลดภาษีบุคคลธรรมดานั้นจะทันรายได้ปี 2556 หรือไม่ ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกาปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว และคาดว่าจะสามารถประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาได้ในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปีภาษี 2556 เพื่อยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีได้ในต้นปี 2557 โดยผู้มีรายได้ไม่เกิน 20,000 บาท/เดือน ไม่ต้องเสียภาษี
นายสุทธิชัย กล่าวต่อว่า หลังยุบสภาฯ ทำให้กฎหมายภาษีตกไปกว่า 10 ฉบับ ต้องรอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารจึงจะเสนอเข้ามาใหม่ และปัญหาการชุมนุมทางการเมือง ทำให้การบริโภคและการท่องเที่ยวชะลอตัวลงไปมาก ทำให้ยอดจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มลดลง แต่ภาพรวมเป้าหมายจัดเก็บภาษีไว้ในกรอบ 1.89 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่คำนวณเงินได้สุทธิจาก 5 ขั้นอัตรา เป็น 7 ขั้นอัตรา และลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากร้อยละ 37 เหลือ 35 ทำให้เสียภาษีลดลงร้อยละ 5-50
ตารางเปรียบเทียบภาษีที่เสียแบบเดิม กับ ภาษีที่เสียแบบใหม่ (ข้อมูลจาก @Teerat Ratanasevi)
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20131213/549581/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B5!%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89.html-
sithiphong:
--- อ้างจาก: sithiphong ที่ ธันวาคม 13, 2013, 07:26:41 pm ---ผู้เสียภาษีเฮ ! กรมสรรพากร ยันชัด อัตราภาษีเงินได้แบบใหม่ ใช้ทันปีนี้
-http://money.kapook.com/view78282.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
กรมสรรพากร ยืนยัน พระราชกฤษฎีกาปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีผลบังคับใช้ปีนี้ โดยสามารถยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีได้ในต้นปีหน้า
จากกรณีที่มีข้อสงสัยว่าอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบใหม่ ที่จะปรับลดจาก 10-37% เหลือ 5-35% นั้น จะสามารถนำมาใช้ทันในปี 2556 หรือไม่นั้น ล่าสุด กรมสรรพากรยืนยันแล้วว่า พ.ร.ฎ. ปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีผลบังคับใช้ในปีนี้
โดยวันนี้ (13 ธันวาคม 2556) นายสุทธิชัย สังขมณี อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยถึงกรณีที่เกิดข้อสงสัยว่าการลดภาษีบุคคลธรรมดานั้นจะทันรายได้ปี 2556 หรือไม่ ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกาปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว และคาดว่าจะสามารถประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาได้ในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปีภาษี 2556 เพื่อยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีได้ในต้นปี 2557 โดยผู้มีรายได้ไม่เกิน 20,000 บาท/เดือน ไม่ต้องเสียภาษี
นายสุทธิชัย กล่าวต่อว่า หลังยุบสภาฯ ทำให้กฎหมายภาษีตกไปกว่า 10 ฉบับ ต้องรอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารจึงจะเสนอเข้ามาใหม่ และปัญหาการชุมนุมทางการเมือง ทำให้การบริโภคและการท่องเที่ยวชะลอตัวลงไปมาก ทำให้ยอดจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มลดลง แต่ภาพรวมเป้าหมายจัดเก็บภาษีไว้ในกรอบ 1.89 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่คำนวณเงินได้สุทธิจาก 5 ขั้นอัตรา เป็น 7 ขั้นอัตรา และลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากร้อยละ 37 เหลือ 35 ทำให้เสียภาษีลดลงร้อยละ 5-50
ตารางเปรียบเทียบภาษีที่เสียแบบเดิม กับ ภาษีที่เสียแบบใหม่ (ข้อมูลจาก @Teerat Ratanasevi)
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20131213/549581/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B5!%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89.html-
--- End quote ---
อธิบดีสรรพากรเผยลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีผลบังคับใช้ปีนี้
-http://www.mcot.net/site/content?id=52aacc2c150ba0a464000067#.Uqu54OJ-X_Y-
กรุงเทพฯ 13 ธ.ค. - อธิบดีกรมสรรพากร เผย พ.ร.ฎ.ปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีผลบังคับใช้ในปีนี้ และยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีได้ในต้นปีหน้า
นายสุทธิชัย สังขมณี อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ มีพระราชกฤษฎีกาปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คาดว่าจะสามารถประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาได้ในสัปดาห์หน้า ทำให้มีผลบังคับใช้ในปีภาษี 2556 เพื่อยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีได้ในต้นปี 2557 โดยผู้มีรายได้ไม่เกิน 20,000 บาท/เดือน ไม่ต้องเสียภาษี
สำหรับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่คำนวณเงินได้สุทธิจาก 5 ขั้นอัตรา เป็น 7 ขั้นอัตรา และลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากอัตราสูงสุดร้อยละ 37 เหลือ 35 ทำให้ผู้เสียภาษีเสียภาษีลดลงร้อยละ 5-50 โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้มีรายได้น้อย มีภาระภาษีลดลงถึงร้อยละ 50
นายสุทธิชัย กล่าวยอมรับว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาฯ ทำให้กฎหมายภาษีของกรมสรรพากรต้องตกไปกว่า 10 ฉบับ เช่น ภาษีเงินได้ของคณะบุคคล ภาษีปรับโครงสร้างหนี้ เมื่อรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารจึงค่อยเสนอเข้ามาอีกครั้ง และจากปัญหาการชุมนุมทางการเมือง ทำให้การบริโภคและการท่องเที่ยวชะลอตัวลงไปมาก ส่งผลต่อยอดจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มลดลงไปมาก แต่เมื่อดูภาพรวมทั้งปีแล้วยังคงเป้าหมายจัดเก็บภาษีไว้ในกรอบ 1.89 ล้านล้านบาท. - สำนักข่าวไทย
sithiphong:
‘เบียร์ช้าง’เลิกใช้เกรต ‘S&P’ หลังโดนปรับลดเครดิตองค์กร
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 ธันวาคม 2556 02:57 น.
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000154113-
“ไทยเบฟเวอเรจ” ประกาศเลิกใช้ S&P ในการจัดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือองค์กร หลังโดนปรับลดเครดิตความน่าเชื่อถือ ด้าน S&P ไม่จบหั่นเกรตอีกรอบ พร้อมปรับสู่สถานะ “ขยะ” กดราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาดิ่ง ผู้บริหารยืนยันไม่มีผลกับภาระหนี้ ชี้เหตุเลิกใช้เพราะ S&P มีการปรับเกณฑ์ใหม่ แต่ยังคงใช้การจัดอันดับจhttp://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000154113าก “มูดีส์” และ “ทริส เรทติ้ง”ต่อไป ด้านโบรกฯเชื่ออัตราการเติบโตในครึ่งปีหลังดีขึ้น ดันปีหน้าขยายตัวและยังมีโอกาสเห็นเงินปันผล
นายสิทธิชัย ชัยเกรียงไกร กรรมการรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ THBEV ได้ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า สืบเนื่องจากบมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ได้รับทราบว่า สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส (S&P) ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือ ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ในการจัดอันดับขององค์กร (วิธีการประเมินกลุ่ม) เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2556 และต่อมา S&P ได้จัดอันดับประกาศปรับลดอันดับเครดิตด้านองค์กรในระยะยาวของบริษัท จาก BBB-/Watch Negative เมื่อวันที่ 26พ.ย.2556
ทั้งนี้ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ขอยืนยันว่าการปรับลดอันดับเครดิตดังกล่าวของS&P ไม่มีผลกระทบกับภาระหนี้ ในปัจจุบันของบริษัท อีกทั้งบริษัทได้ตัดสินใจขอถอนตัวจากการรับบริการด้านการจัดอันดับของ S&Pและจะยังคงที่จะรักษาข้อตกลงในการจัดอันดับเครดิตความน่าชื่อถือขององค์กรกับ มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส (Moody’s) และ บริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด ต่อไป
โดยอันดับเครดิตที่ Moody’s จัดให้กับ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ในปัจจุบันอยู่ที่ Baa3 แนวโน้มมีเสถียรภาพ และอันดับ “AA-“ โดยทริสเรทติ้ง
ต่อมาหลังจากที่บริษัทมีการชี้แจงเรื่องดังกล่าวล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้รายงานว่า S&Pได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ จาก BBB-/Watch Negative มาสู่ระดับ "BB+"พร้อมทั้งประกาศให้อยู่ในกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง (creditwatch) โดยเชื่อว่า มีแนวโน้มเป็นเชิงลบ หรือต่ำกว่าระดับน่าลงทุน และปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ สู่สถานะ "ขยะ"
โดยระบุว่า ไทยเบฟเวอรเรจ มีความน่าเชื่อถือที่อ่อนแอมาก รวมถึงกลุ่มบริษัทในกลุ่มไทยเบฟ โดยเฉพาะ บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท จำกัด มีภาระหนี้จำนวนมาก และลักษณะหนี้ที่มีสถานะด้อยสิทธิ์ ทำให้บริษัท มีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายการเงินในเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงิน, ความสามารถในการชำระหนี้ และนโยบายทางการเงินของบริษัท ขณะเดียวกัน หลังจากมีการประกาศลดอันดับดังกล่าวของS&P ก็มีผลให้ราคาหุ้นของ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ลดลงไปกว่า 2% แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 เดือนที่ 0.465 ดอลลาร์สิงคโปร์
"เราปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของไทยเบฟ เนื่องจากขณะนี้ เรามองว่าไทยเบฟเป็นสมาชิก "หลัก" ของกลุ่มบริษัทที่เราประเมินว่ามีคุณลักษณะด้านความน่าเชื่อถือที่อ่อนแอมากกว่า เมื่อเทียบกับไทยเบฟ ในขณะที่มีสถานะเป็นองค์กรเอกเทศ โดยกลุ่มบริษัทดังกล่าว ประกอบด้วย ไทยเบฟ, เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ และ ทีซีซี แอสเซ็ท มีภาระหนี้จำนวนมาก ทำให้เชื่อว่าแนวโน้มการมีภาระหนี้จำนวนมากของทีซีซี แอสเซ็ท และลักษณะหนี้ที่มีสถานะด้อยสิทธิ์ของทางบริษัท มีแนวโน้มที่จะทำให้ ไทยเบฟใช้นโยบายการเงินในเชิงรุกมากขึ้น และจะส่งผลกระทบ ในระดับหนึ่งต่อสถานะทางการเงิน รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้ และนโยบายทางการเงินของบริษัท" นายซาเวียร์ จีน นักวิเคราะห์ S&P ให้ความเห็น
อย่างไรก็ตามการปรับ อันดับบมจ.ไทยเบฟเวอเรจของS&P นั้น ส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนมุมมองใหม่เป็นการมองภาพรวมทั้งกลุ่ม แทนที่จะมองเฉพาะบมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ซึ่งเป็นการให้ความเห็นต่อเนื่องจากครั้งก่อนที่ให้แนวโน้ม “เป็นลบ” เพราะในเรื่องความสามารถในการจ่ายชำระหนี้เป็นหลัก หลังจากบมจ.ไทยเบฟเวอเรจ เข้าซื้อ เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ ได้มีผลให้เกิดการก่อหนี้และทำให้ภาระหนี้ (leverage) สูงขึ้น จนอาจกระทบกระเทือนต่อความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคต
ก่อนหน้านี้ นายวิเชฐ ตันติวานิช ผู้ช่วยกรรมการ ผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจให้ข้อมูลถึงผลประกอบการของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรก 2556 ว่า ยอดขายติดลบ 7.3% ส่วนกำไรปรับตัวลดลงตามไปด้วยที่ 13.5% เนื่องจากกำลังซื้อที่ปรับตัวลดลง ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าตามกำลังซื้อตัวเองมากขึ้น ประกอบกับ บริษัทที่ผ่านมาไม่ใช่หน้าขายของสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มแอลกอฮอล์ ขณะที่ผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกปี 2556 ถือว่าเป็นไปตามเป้าที่วางไว้
โดยในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงหน้าขาย เพราะเป็นช่วงของการเฉลิมฉลองต่างๆ ทำให้บริษัทคาดว่าภาพรวมยอดขายจะกลับมา และทำให้มีตัวเลขเป็นบวก โดยทั้งปี 2556 ยอดขายน่าจะเติบโตที่ 4-5% หากไม่มีปัจจัยลบในประเทศ อย่างเช่น การเมือง และผู้บริโภคยังคงใช้เงินในการจับจ่ายใช้สอยช่วงปลายปีเป็นปกติ
สำหรับแผนการทำตลาดจากนี้ไป ไทยเบฟเวอเรจ จะเน้นทำตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียนมากกว่าในไทย โดยสินค้าที่จะรุกทำตลาดอาเซียนจะเป็นทั้งกลุ่มนอนแอลกอฮอล์ และกลุ่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้สัดส่วนยอดขายของกลุ่มนอนแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น จาก 20% ในปัจจุบัน เป็น 30% ภายใน 1-2 ปี ซึ่งสินค้ากลุ่มนอนแอลกอฮอล์ ของบริษัท อาทิ โซดา, น้ำดื่มช้าง, โออิชิ, เอฟแอนด์เอ็น เป็นต้น
ภาพรวมโครงสร้างรายได้รวมของกลุ่มไทยเบฟเวอเรจมาจาก 4 ส่วนหลัก คือ ไทยเบฟเวอเรจ, บมจ.เสริมสุข, บมจ.โออิชิ กรุ๊ป และ บริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ จำกัด หรือ เอฟแอนด์เอ็น โดยปี 2555 ที่ผ่านมามียอดขายกว่า 1 แสนล้านบาท ไม่นับรวมยอดขายจากการควบรวมกิจการเอฟแอนด์เอ็น ที่ไทยเบฟเวอเรจเข้าถือหุ้นประมาณ 28% ซึ่งจะรวมบัญชีรายได้ในปี 2557 โดยเอฟแอนด์เอ็นมีรายได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท เมื่อรวมกันแล้วคาดว่าจะทำให้ รายได้รวมของกลุ่มไทยเบฟเวอเรจเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1.1 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนยอดขายสินค้าของบริษัท 90% ยังมาจากในไทย และอีก 10% มาจาก ต่างประเทศ โดยสินค้ากลุ่มแอลกอฮอล์ยังคง เป็นสินค้าที่ทำยอดขายหลักให้บริษัทในสัดส่วน 80% ขณะที่กลุ่มนอนแอลกอฮอล์จะมีสัดส่วน 20%
ขณะที่นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ให้ข้อมูลว่าขณะนี้มูลค่าตลาดของหุ้นไทยเบฟอยู่ที่ระดับ 3.5 แสนล้านบาท มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 12 ของตลาดหุ้นสิงคโปร์ (SGX) จากปี 2555 อยู่อันดับ 20 ซึ่งตามแผนระยะยาวตั้งเป้าหมายต้องการเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ติดอันดับ 1 ใน5 ของเอเชียในปี 2563 หรือแต่ละปีจะต้องเติบโต 15-17% จากปี 2555 ซึ่งมีรายได้ 1.6 แสนล้านบาท
ส่วนมุมมองของนักวิเคราะห์ต่อหุ้นบมจ.ไทยเบฟเวอเรจ มีราคาเป้าหมายในปี 2557 ที่ 0.66 เหรียญสิงคโปร์ หรือให้ผลตอบแทน 10% จากราคาปัจจุบันอยู่ที่ 0.55 เหรียญสิงคโปร์ นอกจากนี้ อัตราราคาเทียบกับกำไรสุทธิต่อหุ้น (พีอี) ของบริษัท อยู่ที่ 20 เท่า ต่ำกว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกันทั่วโลก เฉลี่ยอยู่ที่ 25 เท่า
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ให้เหตุผลว่า กำไรในครึ่งแรกของบริษัท ไม่เป็นไปตามคาดเพราะได้มีการเข้าซื้อกิจการ F&N แต่เชื่อว่าในครึ่งปีหลังดอกเบี้ยจ่ายจะลดลง และปี 2557 คาดว่ากำไรจะเติบโตในอัตรา 16% ส่วนปลายปีนี้คาดว่าอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) จะลงต่ำกว่า 1 เท่า ทำให้สามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version