ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง

รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"

<< < (23/58) > >>

sithiphong:
การใช้จ่ายของเรา ต้องรู้จักประหยัด ใช้จ่ายแต่จำเป็น

รู้รายรับ รู้รายจ่าย

สูตรง่ายๆทางการเงิน

รายได้ - เงินออม = ค่าใช้จ่าย

อย่าไปเต้นตามข่าวด้านล่าง

เพราะว่า หากเราไม่มีเงิน ก็ไม่มีใครเอาเงินมาให้เราใช้ครับ


------------------------------------------------


คลังสะอื้นจีดีพีหดไม่ถึง 3% ชี้โครงสร้างภาษีใหม่ปลุกใช้จ่าย

-http://money.kapook.com/view78412.html-


คลังสะอื้นจีดีพีหดไม่ถึง3% ชี้โครงสร้างภาษีใหม่ปลุกใช้จ่าย (ไทยโพสต์)

           คลังสะอื้น จีดีพีปี 56 โตแผ่วไม่ถึง 3% ส่งออก 0% อ้างการเมืองแรงฉุดท่องเที่ยวสะดุด เบิกจ่ายต่ำเป้า คลังกุมขมับการเมืองร้อนกระทบรีดรายได้ มองภาษีมนุษย์เงินเดือนช่วยใช้จ่ายเพิ่ม 2.7 หมื่นล้านบาท

           วันนี้ (16 ธันวาคม 2556) นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 26 ธันวาคมนี้ สศค. จะสรุปภาพรวมภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2556 รวมถึงปรับประมาณการเศรษฐกิจปีหน้าใหม่ โดยในเบื้องต้นคาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้เติบโตต่ำกว่า 3% ส่วนการส่งออกคาดว่าไม่เติบโต ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินไว้ว่าอยู่ที่ 0%

           "ก่อนหน้านี้ สศค.ประเมินว่าเศรษฐกิจปีนี้จะโตได้ในระดับ 3.7% หรือมีช่วงคาดการณ์ที่ 3.5-4% ซึ่งการส่งออกทั้งปีต้องอยู่ที่ 1.8% แต่จากสถานการณ์การเมืองในช่วงปลายปีทำให้นักท่องเที่ยวปรับลดลง การเบิกจ่ายงบประมาณไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ จึงส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจต่ำกว่าที่คาดไว้" นายสมชัยกล่าว

           สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2557 นั้นคงต้องปรับเป้าหมายลงจากเดิมคาดว่าจะโต 5.1% ส่วนการส่งออกคาดว่าจะโตกว่าในปี 2556 แต่จะถึงเป้าหมายเดิม 7.5% หรือไม่นั้นคงต้องดูตัวเลขอีกครั้ง โดยเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2557 คือการลงทุนจากภาครัฐและเอกชน ซึ่งหวังว่าการเมืองจะไม่ยืดเยื้อ โดยขณะนี้ต่างชาติก็ยังไม่ตื่นตระหนกกับปัญหาการเมือง เพราะไม่มีการปฏิวัติหรือนองเลือด

           ทั้งนี้ ในส่วนของการลงทุนภาครัฐนั้นเดิมทีหวังให้การลงทุนจากโครงการ 2 ล้านล้านบาท และลงทุนน้ำ 3.5 แสนล้านบาท เป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดว่าจะมีเม็ดเงินจากโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาทออกมาในปี 2557 ประมาณ 1.2 แสนล้านบาท และลงทุนน้ำอีกหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งจะสร้างผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจถึง 1% แต่เมื่อทั้ง 2 โครงการชะลอย่อมกระทบต่อเศรษฐกิจ แต่จะกระทบเท่าใดนั้นต้องดูปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย ยังไม่อยากประเมินหรือให้ตัวเลขอะไรตอนนี้

           ด้าน นางเบญจา หลุยเจริญ รักษาการ รมช.การคลัง เปิดเผยว่า ยอมรับว่าการชุมนุมทางการเมืองส่งผลให้การจัดเก็บภาษีในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาลดต่ำลง แต่ในฐานะรัฐบาลรักษาการคงดำเนินการเกี่ยวกับนโยบายด้านภาษีไม่ได้ คงต้องรอให้รัฐบาลชุดใหม่มาดำเนินการ แม้ว่าฝ่ายการเมืองจะทำอะไรไม่ได้ในช่วงนี้ แต่ฝ่ายราชการทั้งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กรมภาษีทั้ง 3 แห่ง คือ สรรพากร ศุลกากร สรรพสามิต ต้องเตรียมมาตรการต่างๆ เพื่อให้การจัดเก็บภาษีในช่วงที่เหลือของปีงบ 2557 ไว้เสนอต่อรัฐบาลชุดใหม่

           สำหรับการปรับโครงร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น คาดว่าจะมีผลกระตุ้นการใช้จ่ายช่วงปลายปี เพราะภาษีลดลง และทำให้ผู้มีรายได้มีเงินในมือถึง 2.6-2.7 หมื่นล้านบาท ที่จะนำไปใช้จ่าย ซึ่งกระทรวงการคลังอยากให้บริษัทเอกชน หน่วยงานต่างๆ คำนวณอัตราภาษีใหม่ในเงินเดือนงวดเดือนธันวาคม 2556 ทันที เพื่อให้พนักงานมีเงินเหลือมากขึ้น และจะทำให้เงินเข้ามาหมุนในระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว

           ทางด้าน นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ตั้งแต่ต้นปีจนถึงต้นเดือนธันวาคม 2556 เบิกจ่ายเงินไปแล้ว จำนวน 527,336 ล้านบาท คิดเป็น 20.88% ของวงเงินงบประมาณ โดยรวมเงินที่รัฐวิสาหกิจขอเบิกไปแล้วจำนวน 109,000 ล้านบาท โดยคาดว่าสิ้นเดือนธันวาคม 2556 จะสามารถเบิกจ่ายได้สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดคือ 22% ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลักดันเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในปีนี้ได้ถึงประมาณ 700,000 ล้านบาท หรือ 27.72% ของวงเงินงบประมาณ 2,525,000 ล้านบาท


ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://www.thaipost.net/news/161213/83452-


sithiphong:
อัตราค่า พ.ร.บ. รถเก๋ง เรื่องที่คนมีรถต้องรู้ !

-http://money.kapook.com/view77729.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          อัตราค่า พ.ร.บ. รถเก๋ง มีค่าใช้จ่าย หรือคนมีรถต้องจ่าย อัตราค่า พ.ร.บ. รถเก๋ง เท่าไหร่ วันนี้เรามีบทความเรื่องนี้มาฝาก

          รถยนต์ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของคนรุ่นใหม่เลยทีเดียว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มักจะเห็นรถใหม่ป้ายแดงแล่นกันเกลื่อนถนน โดยเฉพาะรถเก๋งอีโคคาร์ที่กำลังฮิตและนับวันจะมีเยอะขึ้นเรื่อย ๆ แต่รู้หรือไม่ครับ ว่าในแต่ละปีเราต้องต่อ พ.ร.บ.รถยนต์ กันอยู่เป็นประจำ ซึ่งหากคุณเป็นมือใหม่ หรืออยากได้ข้อมูลของการต่อ พ.ร.บ. วันนี้เรานำเรื่องน่ารู้ของ “อัตราค่า พ.ร.บ. รถเก๋ง” มาบอกต่อกัน

          ซึ่งนอกจาก อัตราค่า พ.ร.บ. รถเก๋ง แล้ว เรายังรวมอัตราค่าต่อ พ.ร.บ.รถยนต์ มาฝากด้วย อัตราค่า พ.ร.บ. รถเก๋ง และรถประเภทอื่น ๆ จะราคาเท่าไหร่บ้าง ลองไปดูกันเลย

          อัตราค่า พ.ร.บ. รถเก๋ง และรถประเภทอื่น ๆ

          อัตราเบี้ยราคา พ.ร.บ. ที่กฎหมายกำหนด ของรถแต่ละประเภท  (รวมภาษี 7% แล้ว)

          รถยนต์นั่งไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง)                          เบี้ยรวม = 645.21  บาท

          รถยนต์โดยสารเกิน 7 คน ไม่เกิน 15 ที่นั่ง รถตู้     เบี้ยรวม = 1,182.35  บาท

          รถยนต์โดยสารเกิน 15 คน  ไม่เกิน 20 ที่นั่ง         เบี้ยรวม = 2,203.13  บาท

          รถยนต์โดยสารเกิน 20 คน  ไม่เกิน 40 ที่นั่ง         เบี้ยรวม = 3,437.91  บาท

          รถยนต์โดยสารเกิน 40 ที่นั่ง                               เบี้ยรวม = 4,017.85  บาท

          รถยนต์บรรทุกไม่เกิน 3 ตัน (ปิคอัพ)                   เบี้ยรวม = 967.28   บาท

          รถยนต์บรรทุกเกิน 3 ตัน ถึง   6 ตัน                    เบี้ยรวม = 1,310.75  บาท

          รถยนต์บรรทุกเกิน 6 ตัน ถึง 12 ตัน                    เบี้ยรวม = 1,408.12  บาท

          รถยนต์บรรทุกเกิน 12 ตัน                                  เบี้ยรวม = 1,826.49  บาท

          ทั้งนี้เมื่อไปต่อ พ.ร.บ.รถยนต์ กับตัวแทนประกันต่าง ๆ ก็จะมีส่วนลดทำให้ราคาถูกกว่าที่กฎหมายกำหนด แน่นอนส่วนจะลดมากลดน้อยก็แล้วแต่ประกัน

          อัตราค่า พ.ร.บ. รถเก๋ง นักขับหน้าใหม่หลาย ๆ ท่านอาจโยนภาระนี้ให้ไฟแนนซ์จัดการ และเสียค่าบริการตั้งแต่ 100-500 บาทเลยทีเดียว แต่การต่อ พ.ร.บ.รถยนต์และการต่อทะเบียนรถ นั้นทำปีละครั้งหากมีเอกสารพร้อม รู้ขั้นตอนแล้ว ไปทำที่ขนส่งไม่เกิน 1 ชม. ก็เสร็จ ส่วนผู้ไม่มีเวลาก็จัดการต่อได้ในเว็บไซต์ของกรมการขนส่ง www.dlte-serv.in.th รับรองคุ้มค่ากว่าที่จะไปเสียเงินรับบริการแน่นอนครับ




sithiphong:
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 ฐานภาษีใหม่บังคับใช้แล้ว
-http://money.kapook.com/view78912.html-

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก rd.go.th

          อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 ตามฐานภาษีใหม่ บังคับใช้แล้ว สรรพากรเชื่อจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม

           วันที่ 23 ธันวาคม 2556 ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานว่า พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ 575) พ.ศ. 2556 หรือโครงสร้างภาษีใหม่ (อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556) ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว

          โดยเหตุผลในการประกาศพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ รัฐบาลมีนโยบายในการบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้มีเงินได้ เพื่อสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สร้างความเป็นธรรมในสังคม และเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งการปรับโครงสร้างภาษีจะช่วยลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งมีผลสำหรับเงินได้สุทธิของผู้เสียภาษีในปี 2556 และ 2557 โดยมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก ประชาชาติธุรกิจ


sithiphong:
โปรแกรมคํานวณภาษี 2556 อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556

-http://money.kapook.com/view79058.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 อัตราภาษีใหม่ ต้องจ่ายหรือได้คืน อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 เท่าไหร่ เรามี โปรแกรมคํานวณภาษี 2556 อัตราภาษีใหม่ มาฝาก

          ใกล้จะสิ้นปีแบบนี้ คนทำงานหลายคนที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 อาจจะกำลังงง ๆ กับอัตราภาษีใหม่ ที่เพิ่งปรับใช้ จนต้องมองหา โปรแกรมคํานวณภาษี 2556 กันยกใหญ่ เพราะนอกจากจะต้องคำนวณรายได้แล้ว ยังต้องหักส่วนลดหย่อนประจำปีด้วย

          ดังนั้นเพื่อให้การคํานวณภาษี 2556 ของคุณเป็นเรื่องง่ายขึ้น กระปุกดอทคอมก็ขอนำ โปรแกรมคํานวณภาษี 2556 พร้อมอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 มาฝากให้คุณได้สะดวกสบายมากขึ้นกันจ้า

          อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556

          ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 มีการปรับลดฐานภาษีลงจากปีก่อน ทำให้อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีการปรับลดลง ดังนี้





    โปรแกรมคํานวณภาษี 2556

          -  เครื่องมือคำนวณอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556
-https://www.financialplanning.scbam.com/th/Calculation/Tax-
https://www.financialplanning.scbam.com/th/Calculation/Tax

          -  ดาวน์โหลดโปรแกรมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556
-http://www.scbam.com/brochure/funds-tax56.xls?n=14032013-
http://www.scbam.com/brochure/funds-tax56.xls?n=14032013

          การคำนวณภาษี

          สำหรับปีภาษี 2556

          (1) การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมิน มีสิทธิคำนวณภาษีโดยใช้อัตราภาษีใหม่ตั้งแต่ เดือนมกราคม 2556 สำหรับการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายของ เดือนธันวาคม 2556 ผู้จ่ายเงินได้มีสิทธิคำนวณภาษีตามอัตราภาษีใหม่ เช่น การจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ให้นำเงินได้ที่จ่ายให้ผู้มีเงินได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงทั้งปี หักค่าใช้จ่ายในอัตราร้อยละ 40 ของเงินได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 60,000 บาท แล้วนำไปหักลดหย่อน ตามที่ผู้มีเงินได้แจ้งไว้ เหลือเงินได้สุทธิเท่าใด ให้คำนวณภาษีตามอัตราภาษีใหม่

          จากนั้นให้นำภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่หักไว้แล้ว ถึงเดือนพฤศจิกายน 2556  มาหักออก  ถ้ามีภาษีที่ต้องเสียเพิ่มเติมเท่าใด ก็ให้หักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งไว้เท่านั้น ถ้าไม่มีภาษีที่ต้องเสียเพิ่มเติม (เนื่องจากจำนวนเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่หักไว้แล้ว ถึงเดือนพฤศจิกายน 2556  มีจำนวนมากกว่าภาษีที่คำนวณได้) ผู้จ่ายเงินได้ ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายแต่อย่างใด

          ตัวอย่างการคำนวณภาษี

          นาย ก. สถานะโสด ได้เงินเดือน 30,000 บาท (360,000 บาทต่อปี) มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ ตั้งแต่ เดือนมกราคม - เดือนพฤศจิกายน 2556 เดือนละ 1,000 บาท (รวมเป็น 11,000 บาท) แต่ในเดือนธันวาคม 2556 ต้องคำนวณภาษี ณ ที่จ่าย ตามอัตราภาษีใหม่ ดังนี้

           รายได้ทั้งปี = 360,000 บาท

           หักค่าใช้จ่าย (ร้อยละ 40 แต่ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000 บาท

           หักลดหย่อน = 30,000 บาท

           เหลือเงินสุทธิ = 270,000 บาท

           รวมภาษีที่ต้องจ่าย คิดตามอัตราภาษีใหม่ (รายได้ 150,001-300,000 บาทต่อปี ต้องเสียภาษี 5%) = 6,000  บาท

           นำมาลบกับภาษี ณ ที่จ่ายที่หักไว้แล้วตามอัตราเดิม = 11,000 บาท

           จะสามารถขอคืนภาษีได้ = 5,000 บาท

          (2) การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี (ภ.ง.ด. 90 และ ภ.ง.ด. 91) ซึ่งคำนวณภาษี โดยนำเงินได้พึงประเมิน หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนเหลือเท่าใดเป็นเงินได้สุทธิ ให้คำนวณภาษีตามอัตราภาษีใหม่

          ได้รู้จักกับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 พร้อมโปรแกรมคำนวณภาษีอัตราใหม่แล้ว ก็อย่าลืมใส่ข้อมูลให้ถูกต้อง เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการชำระภาษีนะคะ


http://money.kapook.com/view79058.html

sithiphong:
นิสัยไม่ดี...ที่ทำให้เราไม่รวยสักที

-http://money.sanook.com/170964/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5...%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5/-


ถ้าให้ขอพรหนึ่งข้อ เชื่อแน่ว่าผู้คนจำนวนมากจะขอให้รวย แต่ไม่ว่าจะขอยังไง หากไม่ปรับเปลี่ยนนิสัยบางอย่างก็คงไม่มีวันรวยขึ้นมาได้ ลองมาดูกันว่านิสัยอะไรที่ฉุดรั้งเราไม่ให้เดินไปถึงคำว่ารวยสักที

1. กลัวและไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง คนส่วนใหญ่มักคิดว่าสิ่งที่เป็นอยู่นั้นดีแล้ว จึงชอบที่จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่พัฒนา ไม่ขวนขวายที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต บางคนติดอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าคอมฟอร์ตโซน ทำให้ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต

2. ไม่ขยันไม่พอ ขี้เกียจอีกต่างหาก คนประเภทนี้มักจะมีข้ออ้างให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ใช้เวลาอย่างไม่มีคุณค่า โดยไม่ได้นึกว่าเวลาในชีวิตคนเรามีจำกัดมาก เวลาทำงานก็อยากมีเวลาว่าง แต่ไม่เคยคิดที่จะใช้เวลาว่างนั้นให้เกิดประโยชน์กับชีวิตของตัวเองเลย

3. ฟุ้งเฟ้อ ชอบซื้อของแพงตามแฟชั่น สำรวจดูว่ารายได้กับรายจ่ายของเราไม่สัมพันธ์กันหรือไม่ ใช้จ่ายเกินตัวแบบคนรวย เปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ไม่ขาดหรือเปล่า ทั้งๆ ที่สินทรัพย์เหล่านี้ขาดทุนทันทีตั้งแต่ซื้อ และยิ่งถือนานก็จะล้าสมัยและเสื่อมค่าลง ถ้าลองเปลี่ยนค่านิยมใช้รถหรูมาเป็นรถอีโคคาร์แทน ขณะที่มือถือ แท็บเล็ตและโน้ตบุ๊ค เลือกใช้ในสเปคที่เหมาะกับการใช้งานและยี่ห้อรองลงมา เพียงเท่านี้ก็จะทำให้มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นเป็นหลักแสนหลักล้านได้

4.ชอบกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ หนุ่มสาวสมัยนี้มีค่านิยมผิดๆ คือชอบกู้ยืมเงินเพื่อจับจ่ายหรือซื้อของฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะการรูดบัตรเครคิต บางคนรูดจนเพลิน แต่ต้องมานั่งกลุ้มใจตอนสิ้นเดือน

5.ชอบถือครองทรัพย์สินที่ไม่เป็นประโยชน์ ส่วนใหญ่เป็นของสะสมฟุ่มเฟือยราคาแพง เช่น กระเป๋า น้ำหอม และรองเท้าแบรนด์เนมราคาแพง ฯลฯ ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าสิ่งเหล่านี้เหมาะสมที่จะทำต่อเมื่อรวยแล้วเท่านั้น

6. ไม่เคยคิดที่จะเก็บออม อย่างน้อยที่สุดควรออมเงิน 10% ของรายได้ทุกเดือน โดยเมื่อได้เงินเดือนมาแล้วต้องหักเงินออมออกทันที แต่คนส่วนใหญ่มักจะใช้ก่อนเหลือเท่าไรค่อยเก็บ ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่ค่อยเหลือเก็บ

7. ไม่หาความรู้เรื่องการลงทุน การเก็บเงินไว้ในธนาคารอย่างเดียวไม่ใช่วิธีการลงทุนที่ดีที่สุด หากต้องการทำให้เงินของคุณงอกเงยมากขึ้น ต้องรู้จักวางแผนการลงทุน เช่นลงทุนในหุ้น กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ  ซึ่งเรื่องเหล่านี้ต้องรู้จักหาความรู้เพิ่มเติม ทั้งการอ่านหนังสือ ไปอบรม ไปงานสัมมนา เป็นต้น

8.ไม่มีวินัยทางการเงิน สิ่งสำคัญทั้งหมดทั้งปวงคือ คุณต้องมีวินัย ถ้าต้องจะเก็บออมก็ต้องบอกตัวเองว่าต้องทำให้ได้ ไม่ใช่ทำ 2-3 เดือนก็เลิก

ทั้งหมด 8 ข้อที่ว่ามานี้ ถ้าหากคุณทำได้ อนาคตทางการเงินของคุณจะสดใสแน่นอน หากไม่เชื่อลองเริ่มทำดูตั้งแต่วันนี้กันเลยครับ



นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version