ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง

รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"

<< < (46/58) > >>

sithiphong:
รู้ไหม? ...โครงสร้างใหม่ภาษีรถ เริ่มใช้ 1 ม.ค.59 ทำรถยนต์แพงขึ้นเท่าไร !!
-http://money.sanook.com/340979/-

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมานายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยระหว่างแถลงข่าวร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมถึงความพร้อมในการจัดเก็บภาษีสรรพาสามิตรถยนต์ที่อิงจากการปล่อยมลพิษหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์(CO2)ว่ากระทรวงการคลังกระทรวงอุตสาหกรรมมีความพร้อมที่จะจัดเก็บภาษีสรรสามิตรถยนต์แบบใหม่ตั้งแต่วันที่1มกราคม2559เป็นต้นไป

โดยที่ผ่านมาได้ให้ผู้ประกอบการปรับตัวมาแล้วถึง3 ปี ซึ่งการจัดเก็บภาษีแบบใหม่จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมหันมาผลิตรถยนต์ที่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศไทยมากขึ้น


นายสมชายพูลสวัสด์อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวว่าขณะนี้กรมสรรพสามิตพร้อมจะออกประกาศเพื่อจัดเก็บภาษีสรรสามิตรถยนต์จากการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯแล้วเพื่อให้สามารถเริ่มจัดเก็บได้ตั้งแต่วันที่1มกราคมซึ่งรถยนต์กระทบกับรถยนต์ขนาดเล็ก หรืออีโอคาร์จะไม่ได้รับผลกระทบ รถยนต์ที่ขนาด 1,800-2,000 ซีซีขึ้นไป จะต้องมีการจ่ายภาษีเพิ่มในอัตรา 3-5% จากที่เคยจัดเก็บในอัตรา 30-35% ก็จะจัดเก็บเพิ่มเป็น 35-40% คาดว่าภาษีใหม่นี้ทำให้กรมจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์เพิ่มได้ 7-8 พันล้านบาท

นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ยืนยันว่ากระทบวนการตรวจสอบค่าคาร์บอนฯนั้นทำได้เร็ว ขณะนี้มีรถยนต์ที่ส่งมาตรวจสอบและได้ป้ายข้อมูลรถยนต์ หรือ อีโค สติกเกอร์ตั้งแต่ 1 ตุลาคม2558 จำนวน 677 ครอบคลุมรถยนต์กว่า 95%

-http://www.matichon.co.th/index.php#-

sithiphong:
ไม่ยากครับ

เพียงแต่รู้จักการวางแผน การใช้จ่าย และ การออมเงิน
รู้ว่า สิ่งไหนจำเป็น สิ่งไหนไม่จำเป็น
ซื้อในแต่ละครั้งให้พอกับการใช้ในแต่ละเดือน

ต่อให้ทางห้างฯจัดวางสินค้ารูปแบบไหน
ก็ไม่มีอะไร ไม่มีปัญหาใดๆ ที่จะดึงเงินจากกระเป๋าเราออกไปได้

-----------------------------------------------


เราจะจับจ่ายมากขึ้นเมื่อเดินวนขวา รู้ให้ทันทริคการค้าของห้างทั่วไป
-http://money.kapook.com/view138594.html-

 วิธีช้อปปิ้งอย่างคุ้มค่าควรศึกษาทริคทางการค้าของห้างสรรพสินค้าไว้บ้าง แล้วรู้ยังว่าหากเดินช้อปปิ้งวนขวา เราอาจควักจ่ายเงินช้อปปิ้งมากขึ้นนะ

          เวลาที่เดินช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้า น้อยคนนักที่จะรีบหยิบของใส่รถเข็นแล้วก็นำไปจ่ายเงิน นอกจากจะมีเวลาน้อยและรีบมากจริง ๆ เพราะเมื่อมีโอกาสได้ไปช้อปปิ้งแล้ว เราก็มักจะเดินเตร็ดเตร่ดูสินค้าไปเรื่อย ๆ ซึ่งจุดนี้แหละค่ะที่ทำให้เราเผลอใช้จ่ายอย่างเพลิดเพลินจนเกินงบที่เคยกะไว้คร่าว ๆ และรู้อะไรไหมคะว่าทำไมเรามักจะอ้อยอิ่งอยู่ในห้างสรรพสินค้า แถมยังได้สินค้าที่ไม่เคยคิดไว้ว่าจะซื้อติดไม้ติดมือกลับมาด้วย นั่นก็เพราะห้างสรรพสินค้าใช้หลักจิตวิทยาเดินวนขวากับเหล่าผู้บริโภคอย่างเราไง

          โดยผลการศึกษาจากหลายสถาบันยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะเดินช้อปปิ้งแบบเวียนทางขวาตามความเคยชิน แถมยังเป็นที่น่าสังเกตว่าห้างสรรพสินค้าที่จัดทางเข้าสโตร์ให้ง่ายต่อการเดินไปทางด้านขวา ยังมีแนวโน้มจะขายดิบขายดีกว่าห้างสรรพสินค้าที่จัดประตูให้ง่ายต่อการเดินไปทั้ง 2 ด้าน และแย่ไปกว่านั้นคือห้างที่จัดทางเดินให้ง่ายต่อการเดินวนซ้าย ยังมีแนวโน้มจะซบเซามากกว่าใครอีกด้วย


          ดังนั้นสินค้าที่จะอยู่ทางด้านขวาในตำแหน่งแรก ๆ ก็ต้องเป็นของที่ยั่วยวนใจได้มากพอดู อย่างโซนเบเกอรี่และอาหารปรุงสดกลิ่นหอมกรุ่นเตะจมูกก็มักจะอยู่ทางด้านขวามือ รวมทั้งโซนสินค้าราคาถูกมากมายก็มักจะอยู่ด้านหน้าของตัวห้างอีกด้วย นั่นก็เพราะทางห้างสรรพสินค้าต้องการโน้มน้าวให้เราสนใจในตัวสินค้า และให้เราอยู่ในห้างให้ได้นานที่สุด

          นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์ทางการจัดวางสินค้าอีกมากมายที่ใช้หลักทางจิตวิทยาเข้าช่วย อย่างสินค้าตัวท็อปที่เป็นที่ต้องการสูงก็มักจะไม่อยู่ในโซนด้านหน้าที่ฉวยหยิบง่าย แต่มักจะถูกจัดไว้ในโซนด้านหลัง โดยเราต้องเดินผ่านโซนสินค้าฟุ่มเฟือยแต่ดันลดราคาหนักมาก หรือจัดโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 ไปหลายรายการ ก่อนที่จะเจอเข้ากับสินค้าที่ต้องการจะซื้อ ซึ่งก็นับเป็นกลยุทธ์ทางการจัดสินค้าอย่างหนึ่งที่จะชักนำให้เราสนใจสินค้าตัวอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากลิสต์สินค้าในใจนั่นเองค่ะ

          ทั้งนี้ยังมีทริคในเรื่องของสีสันสดใส เช่น สีแดงสดและสีส้มของตัวสินค้าเข้ามากระตุ้นต่อมอยากช้อปปิ้งของเหล่าผู้บริโภคด้วยนะคะ ซึ่งในกรณีที่เราเป็นผู้บริโภคก็ควรจะรู้ทันเทคนิคเหล่านี้ไว้บ้าง จะได้คอยยับยั้งตัวเองไม่ให้ใช้จ่ายจนเพลินเกินคำว่าคุ้มค่าไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
CRACKED, lifehacker

sithiphong:
วิธีบริหารเงิน ที่ไม่มีสอนในโรงเรียน
-http://money.sanook.com/347863/-


สนับสนุนเนื้อหา
-https://moneyhub.in.th/-

เงินมีบทบาทกับการดำเนินชีวิตของคนเราในทุกๆด้าน เพราะสามารถใช้แลกเปลี่ยนสิ่งอำนวยความสะดวกใช้ซื้อสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ทำให้คนเราคุ้นเคยกับการใช้จ่ายเงินมากกว่าการ บริหารเงิน ที่หามาได้ เมื่อใช้จ่ายเงินไม่เป็นระบบเพราะขาดการบริหารก็กลายเป็นปัญหาและก่อให้เกิดหนี้สินตามมา


วิธีบริหารเงิน ที่ไม่มีสอนในโรงเรียน คือข้อคิดดีๆที่เรานำมาฝากในวันนี้ ซึ่งวิธีเหล่านี้พ่อแม่ควรที่จะสอนลูกด้วยตัวเอง และควรฝึกเขาตั้งแต่เด็ก เพื่อปลูกฝังการรู้จัก บริหารเงิน ให้เป็นและการเก็บออมให้กับลูกน้อยของคุณนั่นเอง ว่าแต่มีอะไรบ้างนะ เราไปดูกันค่ะ


1.สอนลูกให้รู้จักค่าของเงิน
สอนลูกให้รู้จักค่าของเงิน เป็นการสอนลูกให้รู้จักการใช้จ่ายเงินที่ถูกต้องตั้งแต่ยังเล็กๆ การเลี้ยงลูกของพ่อแม่ในปัจจุบันไม่เห็นความสำคัญของเรื่องนี้เด็กๆหลายๆคน เมื่อพ่อแม่พาเข้าร้านสะดวกซื้อก็จะหยิบจับสิ่งของที่ตนเองสนใจหรือต้องการทันที โดยไม่เห็นความสำคัญในการใช้จ่ายเงิน ซึ่งเด็กๆต้องรู้ว่าการเลือกซื้อสิ่งของควรเกิดจากความจำเป็นในการใช้มากกว่า ดังนั้นเมื่อลูกต้องการจะซื้ออะไรสักอย่างที่ไม่จำเป็น ซึ่งในเวลานั้นคุณก็ไม่ค่อยคล่องเรื่องเงินสักเท่าไหร่ ไม่ควรตามใจลูกแต่ควรสอนลูกให้เขาเข้าใจว่าสิ่งสิ่งนั้นมันไม่จำเป็นเลย โดยต้องสอนให้เขารู้คุณค่าของเงินด้วย เมื่อสอนแบบนี้บ่อยๆ เขาก็จะเข้าใจไปเอง แถมวิธีนี้ยังช่วยลดความเอาแต่ใจของลูกได้ด้วยนะ


2.ปลูกฝังวินัยการออม
การปลูกฝังวินัยการออมต้องทำให้เป็นนิสัย เชื่อว่าเด็กๆทุกคนถูกสอนให้เก็บออมโดยการหยอดกระปุกออมสิน แต่ไม่เคยสอนเด็กให้มีเป้าหมายในการออมเงิน เช่น หยอดกระปุกออมสินไว้เพื่อนำเงินที่ได้ไปเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร หรือสอนให้เด็กรู้จักเก็บออมเงินไว้เพื่อซื้อสิ่งของที่ตนเองต้องการ เช่นซื้อของเล่นราคาแพงๆ ซึ่งนอกจากเป็นการสอนให้เด็กรู้จักเก็บออมเงินแล้ว ยังสอนให้เด็กรู้คุณค่าของเงินว่าเป็นสิ่งที่หายากอีกด้วย ดังนั้นพ่อแม่อย่าลืมที่จะสอนให้เขาเข้าใจด้วยนะคะว่าเราเก็บออมเงินไปเพื่ออะไร และการเก็บออมเงินมีประโยชน์ย่างไร หรืออาจจะสอนให้เขาเก็บออมเงินไว้ซื้อของที่ต้องการด้วยตัวเขาเองก็ได้


3.เรียนรู้ก่อนลงมือทำ
พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่มักลอกเลียนแบบคนที่ประสบความสำเร็จ แล้วลงมือทำตามโดยปราศจากการเรียนรู้ทำให้คนเหล่านี้ล้มเหลวในการทำสิ่งต่างๆ มากกว่าประสบความสำเร็จ เพราะไม่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ก่อนลงมือทำ การเรียนรู้ทุกเรื่องราวก่อนลงมือทำเสมอสอนให้ทุกคนรู้จักคิด รู้จักการวางแผนและทำงานอย่างเป็นระบบ ถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่ทำให้เกิดปัญหาหรือมีภาระหนี้สินตามมาน้อยมาก และแน่นอนว่าการสอนให้เขาเรียนรู้ก่อนลงมือทำนั้นไม่ได้ทำให้ลดปัญหาทางการเงินลงเท่านั้น แต่ยังทำให้เราเป็นคนรอบคอบ คิดก่อนทำ ซึ่งจะนำไปสู่การประสบความสำเร็จอย่างง่ายดายอีกด้วย


4. หาเงินก่อนใช้เงินเสมอ
เมื่อเราต้องการเงินสำหรับการใช้จ่ายสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ก็ควรหาหนทางเพื่อให้ได้เงินมาอย่างถูกต้อง เมื่อต้องการสิ่งใดก็ต้องลงมือทำเพื่อให้ได้เงินมาไม่ควรให้ความต้องการของตนเองไปทำร้ายหรือรบกวนคนอื่น หลีกเลี่ยงการนำเงินในอนาคตมาใช้ก่อน เช่น การกู้ยืมเงินประกันชีวิตหรือการกู้ยืมเงินที่ต้องนำเงินเก็บออมของเราค้ำประกันซึ่งวัยของลูกน้อยนั้นอาจไม่สามารถหาเงินได้ด้วยตัวเอง แต่คุณสามารถสอนให้เขาเก็บออมเงินเมื่ออยากได้สิ่งของที่ต้องการได้ ซึ่งจะทำให้เขาเรียนรู้ที่จะไม่รบกวนพ่อแม่เมื่อยากได้อะไรสักอย่าง แต่ขาจะเก็บเงินเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมาด้วยความพยายามของเขาเอง


5.เงินมีความสำคัญแต่ไม่ใช่ทุกสิ่งของชีวิต
การใช้เงินแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิต ทำให้คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเงินจนลืมคิดไปว่าเงินไม่ใช่ทุกสิ่งของชีวิต เมื่อคิดว่าเงินคือสิ่งที่สำคัญทำให้เกิดการแข่งขันในทุกๆด้าน แข่งกันประกอบอาชีพแข่งกันซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเพื่อบ่งบอกความมั่งมี แต่อย่าลืมว่าเงินไม่ได้ทำให้เรามีความสุขเสมอไป การมีเงินอาจไม่มีความสุข และการไปกู้ยืมเงินคนอื่นมาเพื่อให้ตนมีเงินใช้ก็ไม่ทำให้คนเรามีความสุขเหมือนกัน


วิธีบริหารเงิน ที่ไม่มีสอนในโรงเรียน จึงนอกจากจะเป็นเรื่องของวิธีปฏิบัติเพื่อปลูกฝังให้เกิดความเคยชินในการ บริหารเงิน แล้ว ยังเป็นเรื่องของแนวคิดและมุมมองที่ทุกคนควรคิดวิเคราะห์และเรียนหลักการ บริหารเงิน เพื่อการดำรงชีวิต เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มีสอนอยู่ในโรงเรียนทุกคนจึงต้องเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างถูกต้องและเข้าใจเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายเงินอย่างมีประสิทธิภาพนั้นเอง


และที่สำคัญอย่าลืมสอนลูกน้อยของคุณให้รู้จักบริหารการใช้จ่ายเงินตั้งแต่ยังเล็กนะคะ เพราะจะปลูกฝังนิสัยการใช้จ่ายเงินให้กับเขาไปจนโตนั่นเอง เมื่อถึงตอนนั้นหากเขามีวินัยในการจ่ายเงินที่ดีตั้งแต่เด็ก เขาก็จะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

sithiphong:
คน 3 ประเภทที่ยังไงก็ ออมเงิน ไม่ได้ !
-http://money.sanook.com/347811/-


สนับสนุนเนื้อหา
-https://moneyhub.in.th/-

ความร่ำรวยเป็นสิ่งที่เราทุกคนขวนขวายพอๆกับอนาคตที่เป็นไปตามที่เราอยากจะเป็น แต่เราก็ต้องยอมรับว่าระหว่างที่เราจะไปทำตามความฝันของเรานั้น ก็มีเรื่องของเงินเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่เสมอๆ จนกลายเป็นว่าเงินเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้น จนเกิดเป็นปัญหาหนี้สินต่างๆตามมามากมาย เนื่องจากการใช้เงินที่เกินความพอดีนั่นเอง


ดังนั้นหากคุณอยากมีเงินเก็บออมและเป็นคนรวยกับเขาสักทีล่ะก็ จะต้องเลิกนิสัยแย่ๆ ในด้านการใช้จ่ายเงินของคุณซะ แล้วการเงินก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน


อย่างที่หลายๆคนรู้ว่าความร่ำรวยนั้นมีรากฐานมาจากการ ออมเงิน เพราะนอกจากการ ออมเงิน จะเป็นการสร้างเงินของเราให้เพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการสร้างนิสัยการใช้เงินที่ดีให้แก่เราในระยะยาวอีกด้วย ดังนั้น เราจึงมักจะเห็นผู้ใหญ่หลายๆคนพยายามปลูกฝังนิสัยการออมให้ลูกหลานของตนตั้งแต่ยังเล็กๆอยู่ นั่นก็เพื่อหวังผลของการเงินที่ดีในระยะยาวนั่นเอง อีกอย่างการฝึกหัดตั้งแต่เด็กนั้นจะทำให้เด็กโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีวินัยในการ ออมเงิน มากขึ้น และมีวินัยในการใช้จ่ายเงิน ซึ่งจะทำให้เขาสุขสบายในวันข้างหน้าไดนั่นเอง


แต่ก็ใช่ว่าการปลูกฝังให้เด็กๆมีนิสัยที่รักในการอดออมและวินัยทางการเงินที่ดีจะช่วยให้เด็กสามารถมีเงินเหลือใช้ได้ในอนาคตเสมอไป เนื่องจากในสมัยนี้มีปัจจัยหลายๆปัจจัยที่เข้ามามีผลต่อการใช้เงินของเรา ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินที่แพงมาก ค่าครองชีพที่ดูจะสูงล้ำหน้าเงินรายได้ของคนเกือบค่อนประเทศไป เป็นต้น ซึ่งบางครั้งแค่นิสัยการเงินที่ดีก็ยังจะเอาไม่อยู่เกือบมีปัญหาทางการเงินก็หลายครั้ง


แน่นอนว่าคนที่มีพื้นฐานรักในการอดออมและมีวินัยทางการเงินที่ดีย่อมได้รับผลกระทบน้อยกว่าคนที่มีนิสัยบางอย่างที่ทำให้การอดออมดูจะล้มเหลวไปอยู่แล้ว ซึ่งนิสัยเสียๆที่จะมีผลกับการ ออมเงิน ของเรา ประกอบไปด้วย


คนที่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย
หรือคนที่มีการใช้เงินเกินความจำเป็น คนในกลุ่มนี้มักจะมีความอยากได้อยากมีมาบดบังอยู่ เมื่อเห็นสิ่งต่างๆที่กระตุ้นให้เกิดความอยากได้อยากมีก็มักจะลืมคิดไปว่าสิ่งนั้นจะสามารถนำมาใช้ได้จริงหรือไม่ หรือสิ่งนั้นมีความจำเป็นมากแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็จ่ายเงินไปแล้ว บางคนที่ดีหน่อยก็อาจจะมานึกเสียดายทีหลังว่าไม่น่าใช้เงินไปแบบนั้น แต่บางคนนั้นไม่รู้สึกตัวเลยก็มีด้วยซ้ำ อันตรายมากจริงๆ ยิ่งถ้าเป็นคนที่อยากมีอยากได้เหมือนเพื่อนด้วยแล้ว ยิ่งน่ากลัวไปใหญ่

อย่าลืมนะว่า เรากับเขาสถานะทางการเงินไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นใช้จ่ายเงินเท่าที่ความสามารถของตัวเองดีกว่า และควรยึดหลักการเก็บ ออมเงิน เป็นสำคัญด้วยนะ


คนที่ไม่มีวินัยในการออม
แน่นอนว่าการออมจะเป็นรากฐานของการมีเงินเก็บที่ดีในอนาคต ดังนั้นคนที่ขาดวินัยในการออมนั้นอาจจะมีเงินกินเงินใช้ในวันนี้ ณ ปัจจุบันนี้ แต่ถ้าวันไหนเกิดขาดรายได้ขึ้นมา คนพวกนี้ก็จะไม่มีเงินเลย ไม่ว่าจะเป็นรายได้หรือเงินเก็บก็ตาม ถึงอยากจะเอาเงินไปต่อยอดทำอะไรก็ทำไม่ได้เพราะตนเองไม่มีเงินที่สามรถนำไปใช้ได้โดยไม่มีผลต่อชีวิตประจำวันเลยนั่นเอง

เพราะฉะนั้นการเก็บออมเงินจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นรากฐานไปสู่ความร่ำรวยได้ หากคุณอยากรวยกับเขาสักทีล่ะก็ สลัดนิสัยไม่มีวินัยในการออมเงินออกไปซะ แล้วมาเริ่มการออมเงินเพื่ออนาคตวันข้างหน้ากันดีกว่า


คนโลภ
เป็นอีกสิ่งที่พาให้คนมีการเงินที่ล้มเหลวมาแล้วนักต่อนัก คนพวกนี้มักจะอยากได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เสมอ และมักจะเลือกที่จะเสี่ยงเพื่อให้ได้มามากกว่าเดิมโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีนั่นเอง เช่น การนำเงินไปลงทุน ซึ่งเป็นการนำเงินที่เรามีไปลงทุนในอะไรบางอย่างเพื่อสร้างกำไร แต่หากเกิดความโลภอยากได้เงินเยอะๆจนไปลงทุนในสิ่งที่ความเสี่ยงมากๆก็อาจจะทำให้ได้เงินจำนวนๆมาก แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะเสียเงินไปจนหมดก็ได้เช่นกัน และสุดท้ายเงินก้อนนั้นก็หายไป

ดังนั้นอย่าคิดว่ามีเงินเยอะแล้วจะสามารถใช้เงินทำเงินให้กับเราได้อย่างง่ายดาย เพราะการลงทุนไม่ใช่เรื่องง่าย ควรเริ่มจากจุดเล็กๆ ก่อนเพื่อป้องกันการขาดทุน และควรลงทุนแบบค่อยเป็นค่อยไป จะดีกว่านะ


ดังนั้นสรุปโดยรวมแล้วการมีนิสัยใช้เงินโดยไม่คิดน่าคิดหลังให้ดีและใช้เงินไปด้วยความโลภนั่นเองที่ทำให้เราไม่สามารถออมเงินได้ การรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมีและรู้จักประมาณตนจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของการออมเงินนั่นเอง ใครที่ยังไม่สามารถออมเงินได้สักที


ลองสำรวจดูนะว่าตัวเองมีนิสัยแย่ๆ อย่างไรถึงทำให้ออมเงินไม่สำเร็จ จากนั้นก็ให้เลิกนิสัยแย่ๆ นั้นซะ แล้วหันมาออมเงินด้วยความตั้งใจจริง แค่นี้คุณก็จะมีเงินออมจากน้อยไปมาก และกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ในที่สุด ทีนี้ก็สุขสบายไปอีกนานเลยล่ะ

sithiphong:
ภาษีและการบริหารการเงิน[ซีรีส์]
ตอน RMF ลงทุนอย่างไร จึงคุ้มค่า....ใครเหมาะจะลงทุน?
-http://money.sanook.com/343883/-

วันนี้มาดูการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคตและการบริหารเงิน ที่ได้ประโยชน์ทางภาษี  โดยการลงทุนระยะยาวในกองทุนคู่แฝดอีกกองทุน หลังจาก ครั้งก่อนเราเรียนรู้ในเรื่องกองทุน LTF ไปแล้ว

ก่อนอื่นเราต้องรู้จักกองทุน RMF ว่า เป็นการทุนแบบใด มีเงื่อนไขอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ และสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างไร..สิ่งเหล่านี้จะตอบคำถามได้ว่า ใครเหมาะจะลงทุนในกองทุน RMF อย่างไร..

 

RMF หรือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ( retirement mutual fund) โดยหลักการคือ ต้องการสนับสนุนให้ผู้ลงทุนลงทุนระยะยาวเพื่ออนาคตหลังเกษียณ ซึ่งเป็นช่วงชีวิตที่ไม่มีรายได้ประจำ ดังนั้น  รูปแบบของกองทุนนี้จึงเน้น การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย และ มีการออกแบบการลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงชีวิต ว่าแต่ละช่วงสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด

 

และการสนับสนุนโดยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีนั้นมีการกำหนดเงื่อนไขไว้ชัดเจนว่าต้องทำอย่างไรจึงจะได้สิทธิประโยชน์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

 

• ต้องสะสมเงินอย่างต่อเนื่องโดยซื้อหน่วยลงทุนของ RMF ไม่น้อยกว่าปีละ 1 ครั้ง

• ต้องลงทุนขั้นต่ำ 3% ของเงินได้ในแต่ละปี หรือ 5,000 บาท (แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะต่ำกว่า)

• ต้องไม่ระงับการซื้อหน่วยลงทุนเกินกว่า 1 ปีติดต่อกัน (ยกเว้นปีใดที่ไม่มีเงินได้ ก็ไม่ต้องลงทุน เนื่องจาก 3% ของเงินได้ 0 บาท เท่ากับ 0 บาท)

• การขายคืนหน่วยลงทุนทำได้เมื่อผู้ลงทุนอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี

 

สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเมื่อทำตามเงื่อนไขการลงทุน ผู้ลงทุนใน RMF จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีถึง 2 ทางด้วยกัน คือ

  1 เงินซื้อหน่วยลงทุนใน RMF จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15 % ของเงินได้พึงประเมินในแต่ละปี โดยเมื่อนับรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

  2 กำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (capital gain) ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้

 

จะเห็นได้ว่า การลงทุนใน RMF มีเงื่อนไขที่ต้องทำตามหาก มีการกระทำที่ผิดเงื่อนไขการลงทุนแล้ว ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอีกต่อไปและต้องดำเนินการ ดังนี้

1. กรณีที่ลงทุนไม่ถึง 5 ปี และมีการผิดเงื่อนไข

    •ต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับยกเว้นไปในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (นับตามปีปฏิทิน)

    •เมื่อขายคืนหน่วยลงทุน ต้องจ่ายภาษีของกำไรส่วนเกินทุน (capital gain) โดยนำกำไรที่ได้รับจากการขายคืนไปรวมเป็นเงินได้ของปีที่ขายคืนเพื่อเสียภาษีเงินได้  ซึ่งในทางปฏิบัติเมื่อผู้ลงทุนขายคืน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมจะหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ของกำไรส่วนเกินทุนไว้ก่อน และเมื่อผู้ลงทุนไปยื่นแบบเสียภาษีเงินได้ ก็จะคำนวณอีกครั้ง ว่าจะต้องจ่ายเงินภาษีเพิ่มอีก หรือไม่ อย่างไร

 

2. กรณีที่ลงทุนตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป และมีการผิดเงื่อนไข

     • ต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับยกเว้นไปในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (นับตามปีปฏิทิน)

การชำระภาษีตาม 1. และ 2. ต้องชำระภายในเดือนมีนาคมของปีถัดจากปีที่ผิดเงื่อนไข และ/หรือ ขายคืนหน่วยลงทุน  หากลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี 

 

จากเงื่อนไขทั้งหมด เป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่า การสนับสนุนการลงทุนใน RMF ก็เพื่อต้องการให้เป็นการลงทุนระยะยาวจริงๆ ดังนั้น หากจะลงทุนใน RMF เราต้องมาตรวจสอบเงื่อนไขก่อนว่าเราสามารถทำในสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่คือ

- ตอบตัวเองว่าต้องการออมเพื่อวัยเกษียณ

-มีวินัยในการออมอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง และระยะยาว

-รู้จักตัวเอง-รู้ว่ามีเป้าหมายการลงทุนเป็นแบบใด สามารถออมเงินได้มากน้อยเพียงไร และยอมรับความเสี่ยงในการลงทุนได้ขนาดไหน

-รู้จักผลิตภัณฑ์-รู้ว่านโยบายการลงทุนของ RMF ที่สนใจจะลงทุนเป็นอย่างไร เช่น มีความเสี่ยงต่ำ ปานกลาง หรือสูง

-พิจารณาผลงานของบริษัท คุณภาพในการให้บริการ รวมทั้งการคิดค่าธรรมเนียมจัดการและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ

-เลือกลงทุนใน RMF ที่เหมาะสมกับตัวคุณ

 

โดยสรุป ไม่ใช่เรื่องง่ายหากมนุษย์เงินเดือนจะลงทุนใน RMF หาก ไม่สามารถรับภาระและมีวินัยในการใช้จ่ายการลงทุนอย่างแท้จริง และหาก มนุษย์เงินเดือนมีการลงทุนในรูปแบบอื่นที่เป็นการลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว ก็ต้องชั่งใจให้ดีว่า พร้อมหรือไม่ที่จะลงทุนระยะยาวแบบ RMF………..

 

ขอบคุณแหล่งข้อมูล

-http://www.start-to-invest.com/webedu/content.html?menu_id=82-

-http://www.aimc.or.th/#2-

-http://www.bfiia.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=359633&Ntype=2-

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version