ไม่เห็นความตายปิดบังของตน หลวงปู่สิม พุทธาจาโร เราทุกๆ คนที่เกิดมาแล้วนี้ ย่อมมีความตายเป็นผลที่สุด...
ถ้าผู้ใดมาระลึกได้ นึกถึง
มรณํ เม ภวิสติ ความตาย เราต้องตายอย่างนี้ได้เสมอแล้ว จิตใจก็ย่อมมีความสงบระงับ
ไม่หลงใหลไปตามรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ...ถ้าผู้ใดระลึกได้ในมรณภัย คือ ความตายนี้ จิตใจของผู้นั้นก็ย่อมมีความสงบระงับ ไม่ดิ้นรนวุ่นวายไปตามอำนาจของตัณหาภายในใจถ้ามองไม่เห็นใจมันก็วิ่งไป วุ่นวายไป ...ดู
ให้เห็นจริงว่าอันสมบัติทั้งหลายของคนเราในโลก เป็นสมบัติของแผ่นดิน ยังไม่ตายก็แตกดับลงไปในแผ่นดิน ให้เรารู้ ถ้าตายลงเมื่อใด เวลาใด
ทั้งรูป ทั้งกาย ทั้งจิต ก็ต้องแตกดับลงไปสู่แผ่นดิน สมบัติทั้งหลายให้เห็นว่าเป็นสมบัติของแผ่นดิน จมอยู่ในแผ่นดินนี้เอง จิตใจผู้ภาวนาอยู่เสมอ
กำหนดให้ได้ว่าสิ่งทั้งหลายไม่ใช่ของเราสักอันหนึ่งอันเดียวเลย
จิตใจผู้รู้ ผู้เห็น ผู้ภาวนาอยู่ภายในดวงใจนี้แหละสำคัญ... นั่งก็ดี ยืนก็ดี เดินไปมาที่ไหนก็ตาม จง
มองให้เห็น
กำหนดให้ได้
คำว่า
มรณกรรมฐานนั้นไม่ใช่ว่ามันไม่มี มันมีอยู่แล้ว คนเราและสัตว์ทั้งหลายเกิดดับแตกดับตายให้เราเห็นอยู่
แต่จิตไม่ยอมเอามาคิดมานึก มาภาวนาในใจของตัวเอง จิตใจก็ประมาทมัวเมาเลินเล่อเผอเรอ ไม่กลัวในความแตกความดับ ความทำลายนี้ เมื่อจิตมันอาศัยความประมาทอย่างนี้ เวลาความแตกดับทำลายมาถึงเข้าจริงๆ พอเกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ตื่นเต้นตาโตฟุ้งซ่านรำคาญกลัวตาย เมื่อกลัวตาย มันก็ดิ้นไปตามอารมณ์ของ
กิเลส...
ลองคิดดูให้ดี สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาแล้วมีความตายเป็นผลที่สุด ทั้งที่อยู่ใกล้เรา ทั้งที่อยู่ห่างไกลออกไป จะเป็นชาติใดภาษาใดก็ตาม คนในโลกที่เกิดมาแล้ว สัตว์ทั้งหลายมากมายจนกระทั่งนับไม่ถ้วน ผลที่สุดสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ก็ย่อมตายหมด
เมื่อเรา
กำหนดได้ว่าทุกตัวสัตว์ตัวคนที่เกิดมาแล้วต้องตาย ไม่ใช่แต่สัตว์อื่น คนอื่น ผู้อื่นเท่านั้นตาย ขั้นสุดท้ายความตายนี้ก็จะปรากฏการณ์ขึ้นมาในตัวเรา เมื่อมาปรากฏในตัวเราแล้ว จิตมันก็จะวุ่นวายที่สุด
เราจะไปแก้เอาเวลานั้นไม่ได้ ทางที่แก้นั้นก็คือว่า
ภาวนารวมจิตใจลงไปในหลักปัจจุบัน ขณะนี้เดี๋ยวนี้เวลานี้ ตั้งมั่นลงไปในหัวใจ อย่าให้จิตใจสะทกสะท้านเกรงกลัวต่อภัยอันตรายกำหนดให้ได้ พิจารณาให้ได้เห็นแจ้งภายในจิตใจทีเดียว จนเห็นว่า
จิตหนึ่งที่มันเข้าใจเห็นว่าเราไม่แก่ จิตหนึ่งก็ต้อง
เห็นว่ามันแก่ไปทุกเวลา แก่ไปเป็นธรรมดาอยู่อย่างนี้ ไม่มีเวลาที่จะหยุดยั้ง เหมือนกับไฟป่าไหม้มาอย่างนั้นแหละ ธรรมดาไฟป่าไหม้มานั้นไม่มีใครที่จะไปดับได้ มันก็ไหม้เรื่อยไป ความแก่มันไหม้เรื่อยไป ความเจ็บไข้ได้ป่วยมันก็ลุกไหม้ขึ้นมา แล้วความตายจะไม่มาถึงบุคคลมีหรือไม่
ความจริงไม่มีเลย
เมื่อผู้ปฏิบัติมาหยั่งเห็นใน
มรณกรรมฐานอย่างนี้แล้ว ทุกคนก็เรียกว่ารีบเร่ง ไม่ต้องรั้งรอ คนอื่นไม่ทำ ไม่ภาวนา ไม่ทำ
ความเพียรละกิเลสก็ช่างเขา ให้ใจเราผู้มีอยู่ในตัวในใจนี้ ตั้งจิตตั้งใจให้มั่นคง ระลึกอยู่เสมอซึ่งความตาย มันยังไม่ตายก็ให้เห็นว่ามันต้องตายแน่ๆ อันมันตายปิดบังอยู่ คนเราไม่รู้สึก ไม่กำหนดพิจารณาก็ไม่เห็น และไปเห็นว่าโน้นความตายเมื่อแก่ชราหมดลมหายใจโน้นมันจึงตาย แต่แท้ที่จริงมันตายไปโดยลำดับๆ อยู่...
ถ้าเรากำหนดตั้งใจดูให้ดีแล้ว จะเห็นความตายมันใกล้เข้ามาอยู่ทุกขณะทุกเวลา ทุกชั่วโมง นาที วินาที ถ้าเราดูให้ดีก็ย่อมเห็นได้ว่าร่างกายสังขารของเรานี้แก่ชราชำรุดทรุดโทรมอยู่ทุกเวลา เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เสมอ ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งหลายเขาตายให้ปรากฏการณ์อยู่ แต่ว่า
จิตมันประมาท สัตว์ตายมันก็ไม่สนใจ คนตายที่อื่นก็ไม่สนใจ ถ้าหากว่าความตายนั้นมาใกล้ตัวเรา มาใกล้หมู่คณะหรือว่าญาติของเราแล้ว ทีนี้ก็ตื่นเต้นตกใจหาทางหลบหลีก หาทางแก้ไข เมื่อมันแก้ไขไม่ได้ก็เป็นทุกข์เป็นร้อน
เพราะไม่กำหนดพิจารณาให้ถึงความจริง
เมื่อผู้ใดมาระลึกให้ได้ถึงความจริง อันมันเกิดมีขึ้นอยู่ทุกขณะทุกเวลาว่า
เรามีความแก่เป็นธรรมดา หนีให้พ้นไปไหนก็ไม่ได้ เรามีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา หนีไปข้างไหนก็ไม่พ้น เรามีความตายเป็นธรรมดา จะหลบหลีกไปที่ไหนก็ไม่พ้น เราจะต้องกำหนดให้รู้แจ้งรู้จริงว่า เราเกิด เราแก่ เราเจ็บ เราไข้ เราตายโดยสมมตินั้นมันอยู่ที่ไหน
ใจที่จะรู้ได้เข้าใจนั้นมีอยู่ในกาย ในจิต ในตัวเราหรือไม่ ต้องรวมจิตใจเข้าไปภายใน เมื่อรวมจิตใจเข้าไปภายในจนตามรู้ตามเห็นอยู่ทุกเวลา หรือว่าทุกลมหายใจเข้า ทุกลมหายใจออก มันก็ตายให้ปรากฏอยู่ ทั้งคน ทั้งสัตว์เป็นอยู่อย่างนี้ จนเกิดความไม่ประมาท รู้สึกสำนึกตัวอยู่ทุกขณะทุกเวลา เรียกว่าทำความแจ่มแจ้งในจิตใจของตนนี้ให้ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดๆ ก็ตาม มีความเพียรเพ่งอยู่ในใจของตัวเองตลอดเวลาว่า มรณกรรมฐาน มรณํ เม ภวิสติ นี้อยู่ใกล้ที่สุด มีอยู่ทุกลมหายใจเข้า มีอยู่ทุกลมหายใจออก ลมหายใจที่เข้าออกก็เตือนจิตใจดวงนี้ให้รู้สึกสำนึกตัวทีเดียวว่า อันความแตกดับทำลายนื้มันแก้ไม่ได้ มันต้องแก้ใจของเรา ไม่ใช่แก้ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย ถึงเวลาแล้วสิ่งเหล่านั้นมันแก้ไม่ตก มาแก้ใจเดี๋ยวนี้เวลานี้ ดูให้เห็น กำหนดให้ได้ มีลมหายใจเข้า ในขณะลมหายใจเข้าไปมันก็ตายไปพักหนึ่ง เวลาลมหายใจออกไปมันก็ตายเสียพักหนึ่ง มันตายไปทุกขณะทุกลมหายใจเข้าออก
เตือนจิตนี้ไม่ให้ประมาท มีสติระลึกได้อยู่เสมอ ในกาย เวทนา จิต ธรรม ในกาย ในรูปพรรณสัณฐาน สีสัน วรรณะเหล่านี้ ย่อมแสดงความแตกต่างความทำลายอยู่เสมอเมื่อเด็ก เมื่อเล็กร่างกายสังขารเป็นอย่างหนึ่ง เมื่อวัยกลางคนหรือวัยแก่วัยชราร่างกายสังขารมันชำรุดทรุดโทรมไปตามธรรมดาของสังขารทั้งหลาย นั่นแหละมันแสดงความเจ็บ ความไข้ และความตายให้ปรากฏการณ์อยู่ในใจของ
ผู้ที่กำหนดภาวนานั้น