ผู้เขียน หัวข้อ: วางอวนติดห่าน  (อ่าน 2400 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7164
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
วางอวนติดห่าน
« เมื่อ: มีนาคม 28, 2011, 08:52:14 pm »
หีบหนังสือหลายใบที่พบในพระราชวังโบราณกรุงปักกิ่ง มีหนังสือเก่ามากมายหลายเล่ม เล่มหนึ่ง ชื่อภาษิตรากผัก ผู้เขียนชื่อหงอิ้งหมิง

คนจีนอ่านแล้วชอบกันมาก แล้วแพร่หลายต่อในญี่ปุ่น (บุญ-ศักดิ์ แสงระวี เรียบเรียง สำนักพิมพ์ ก.ไก่)

ทุกเรื่องนับเป็นเรื่องเอก เรื่องชาวประมงจับปลา (แต่ได้นกตัวใหญ่) เป็นเรื่องเอกเรื่องหนึ่ง

หลายวันที่ผ่านมา ชาวประมงเฒ่าวางอวนในทะเลแล้ว จับปลาไม่ได้สักตัว ชาวประมงคิดว่าอวนของแกผืนเล็กเกินไป เปลี่ยนเป็นอวนผืนใหญ่ไปเรื่อยๆ

แต่ผลที่ออกมา คือยังจับปลาไม่ได้เหมือนเดิม

เช้าวันนี้ชาวประมงเฒ่า ตัดสินใจลากเอาอวนผืนใหญ่ที่สุดไปริมทะเล ท่ามกลางแสงแดดแผดกล้า ชาวประมงเฒ่าจัดการลงอวนจนเรียบร้อย แล้วก็นั่งพักบนก้อนหินใหญ่

ไม่ไกลออกไป พวกหลานๆกำลังเล่นสนุกกัน ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว เด็กๆไม่รู้ว่า ไปเก็บเศษอวนผืนเล็ก แถมยังขาดวิ่นมาจากไหน ปักไม้ไผ่แขวนอวนไว้เล่นไปตามประสา

ชาวประมงเฒ่ามองดูหลานๆเล่นเพลิน ทันใดนั้น ก็มีนกใหญ่ตัวหนึ่ง บินถลามาจากฟากฟ้า

มันโฉบลงมาเต็มกำลัง หัวของมันพลาดหลุดไปติดอยู่ในอวนของเล่นเด็ก นกใหญ่ดิ้นขลุกขลัก ปากก็ร้องเสียงดังไม่หยุด

ข้างๆนกใหญ่ มีนกกระจอกตัวหนึ่งนอนแบ็บอยู่ มันหายใจหอบฮักๆ ชาวประมงเฒ่าเข้าใจว่า มันคงหนีนกใหญ่มา เหนื่อยหนักจนหมดแรง

ที่แท้เจ้านกใหญ่ ไล่จับนกกระจอกมาโดยไม่สนใจว่ามีอะไรขวางหน้า ก็เลยถูกอวนของเด็กๆดักเอาไว้จนดิ้นไม่หลุด

แรกๆ พวกเด็กๆก็ตกใจ แต่พอตั้งสติได้ ก็กรูกันเข้าไปช่วยกันจับนกใหญ่ตัวนั้นเอาไว้

ไม่น่าเชื่อว่า เมื่อได้นกใหญ่มาเป็นอาหาร (แทนปลาที่ชาวประมงเฒ่ายังจับไม่ได้) เด็กๆยังมีน้ำใจเมตตา ช่วยกันประคับประคองนกกระจอก จนมันบินต่อไปได้

เด็กหิ้วนกตัวใหญ่กลับไปบ้าน แล้วก็หันไปบอกชาวประมงเฒ่าว่า ไม่ว่าจะจับปลาได้หรือไม่ ควรรีบกลับไปบ้าน เพราะวันนี้ อย่างน้อยก็มีเนื้อนกใหญ่ เป็นอาหารจานโปรดรอไว้แล้ว

ชาวประมงเฒ่าตอบรับคำชวนของหลาน แล้วก็หัวเราะลั่น

เขาวิจารณ์ว่า เจ้านกตัวใหญ่ก็ช่างเซ่อซ่า ฟ้าออกกว้าง ดันบินมาติดอวนขาดๆจนได้

ชะตากรรมของเจ้านกใหญ่ ทำให้ชาวประมงเฒ่านึกถึงนิทานเรื่อง ตั๊กแตนจับจักจั่น...เจ้าตั๊กแตนจ้องแต่จะจับจักจั่น แต่หารู้ไม่ ข้างหลังมันมีนกขมิ้นจับตามองดูมันอยู่

ภาษิตรากผักเขียนไว้ วางอวนจับปลา ห่านป่ากลับติดอวน

ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นก็จ้องอยู่ข้างหลัง

ภาษิตเรื่องนี้ ให้แบบอย่างสอนว่า ในอุบายมีอุบาย มีการเปลี่ยนแปลง ในการเปลี่ยนแปลง (ไม่ว่าจะคิดจะทำอะไร) จึงไม่ควรพึงพอใจ ในปัญญาความสามารถที่มีอยู่

อ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว ใครจะเอาไปใช้กับเรื่องจริงในบางบ้านเมือง ที่กำลังโรมรันพันตูกันอยู่ก็คงได้ มีหลายเหลี่ยมหลายแง่ ให้คิดอยู่ไม่น้อย

เรื่องแบบว่า ตั๊กแตนเป็นเหยื่อจักจั่น แต่จักจั่นก็กลายเป็นเหยื่อนกขมิ้น ใช่ว่าจะมีอยู่ในนิทาน ในทางการเมือง มันก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ.


กิเลน ประลองเชิง
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: สายธารแห่งปัญญา "ภาษิตรากผัก"
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: เมษายน 17, 2012, 05:22:06 pm »




สายธารแห่งปัญญา "ภาษิตรากผัก"

2 ความในใจควรเปิด
ความปราดเปรื่องพึงซ่อน

ความคิดจิตใจของสุภาพชน
ดังหนึ่งตะวันเจิดจ้าฟ้าสดใส
ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งปิดปังต่อผู้ใด
ความปราดเปรื่องของสุภาพชน
ดังหนึ่งหยกเขียวใสไข่มุกงามที่เก็บงำไว้
มิควรจะเผยให้ใครรู้เห็นได้โดยง่าย



3 ยาดีมักขมปาก
คำเตือนมักขัดหู

โสตสำเหนียกเสียงขัดหูอยู่ป็นนิจ
จิตใจมักมีเรื่องข้องขัดเป็นอาจิณ
นี้คือหินฝนทองแห่งการฝึกคุณธรรมความดี
หากทุกถ้อยคำล้วนไพเราะเสนาะหู
ทุกเรื่องล้วนสมใจไม่เคืองขัด
ก็เท่ากับฝังชีวิตนี้ลงไปในปลักแห่งพิษร้ายนั่นเอง



4 จางจืดจึงรู้รสแท้
สามัญจึ่งเป็นยอดคน

สุราอาหารเปรี้ยวหวานชั้นเลิศ
หาใช่รสแท้ไม่
รสแท้มีแต่อ่อนบางจางจืด
วิเศษพิศดารเหนือชั้นคนอื่น
หาใช่คนดีไม่
คนดีมีแต่ธรรมดาสามัญ

นิทัศน์อุทาหรณ์
ลิงสวมหมวก

........มีสัตว์ชนิดหนึ่งที่มักจะอวดตัวว่าสามารถจะเลียนแบบคนได้เหมือนที่สุด เมื่อคนสวมหมวก มันก็สวมบ้าง เมื่อคนมุดเข้าไปในกรง มันก็มุดเข้าไปบ้าง แต่ในขณะที่มันพออกพอใจในตัวมันเองอยู่นั้น คนก็ปิดประตูกรงเสีย จับมันไว้ได้อย่างสะดวกง่ายดาย
........ สัตว์ชนิดนี้ ท่านทั้งหลายคงจะทราบกันดี มันก็คือลิง !

........ลิงแม้จะมีความสามารถในการเลียนแบบอย่างสูงก็จริง แต่มันไม่มีความรู้อันพอเพียงและความถ่อมตัวอันพึงมี ที่จะช่วยมันหนีพ้นจากการจับตัวของคนได้
........คนเราก็เหมือนกัน โจโฉผู้มีชื่อเสียงอยู่ในประวัติศาสตร์ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถกว้างขวางเป็นอย่างยิ่ง เขาเฉลียวฉลาด เขียนหนังสือก็เก่ง เป็นบุคลากรชั้นผู้นำที่หาได้ยาก เขานำทหารหลายร้อยหมื่นรบตะวันออกพิชิตตะวันตก
........แต่ทว่า เขาฆ่าคนเป็นว่าเล่น ฆ่าจนใครต่อใครอกสั่นขวัญแขวน คนของเขาจึงต่างพากันหลบลี้หนีหน้าไปตามๆกัน ดังนั้น เมื่อโจโฉไม่มีใครคอยให้ความช่วยเหลือสนับสนุนอยู่รอบๆตน ถึงแม้จะเฉลียวฉลาดนักหนาก็ตาม ก็จะต้องโดดเดี่ยวเดียวดายไร้คนสนิทมิตรสหายในภายหลังโดยสิ้นเชิง

........เพราะฉะนั้น "ภาษิตรากผัก" จึงบอกแก่เราว่า
........"อาหารรสเปรี้ยวหวานมันเค็มนั้น ไม่เหมาะแก่คนเรา เพราะมันมีรสชาติหลากหลายสลับซับซ้อนเกินไป สู้อาหารง่ายๆ ซึ่งหอมหวนถูกปากไม่ได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เหมาะสมกับเราอย่างแท้จริง จึงควรจะเป็นรสที่อ่อนบางจางจืด"
........คนเราก็เหมือนกัน คนที่มีความรู้ความสามารถพิเศษ มิได้แสดงว่า เขาเป็นคนสมบูรณ์เพียบพร้อมแล้ว นอกจากว่า เขาจะบ่มเพาะความประพฤติของเขาไปอีกก้าวหนึ่ง เพราะ มีแต่คนที่เสริมความรู้ของตนเองให้แน่น ฝึกฝนตนเองอย่างไม่ขาดสายเท่านั้น จึงจะเป็นคนในอุดมคติ มีค่าควรที่เราจะยึดถือเป็นตัวอย่างได้"



ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: วางอวนติดห่าน
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: เมษายน 17, 2012, 05:55:24 pm »




5 หนทางแคบควรถอยหนึ่งก้าว
อาหารรสดีควรแบ่งสามส่วน

หนทางในตอนแคบ
เหลือที่ให้คนอื่นเดินสักก้าวหนึ่ง
อาหารรสเข้มข้น
แบ่งให้คนอื่นชิมสักสามส่วน
นี้คือวิถีการดำรงชีวิตในโลก
ด้วยความสงบสุข

"ภาษิตรากผัก" กล่าวว่า
........"เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ หากประสงค์จะอยู่เย็นเป็นสุข ควรทำอย่างไรดี?
........จงจำไว้ว่า เมื่อเดินไปในทางแคบ ควรจะผ่อนปรนเว้นที่ให้คนอื่นเขาเดินสักก้าวหนึ่ง มีอาหารโอชา ก็ปันให้คนอื่นเขาลองชิมบ้างสักสามส่วน"
........คำโบราณกล่าวไว้ว่า "ถอยก้าวหนึ่ง ทะเลกว้างฟ้าไกล" หมายความว่า การรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาตามควรแก่กรณี จะทำให้คนเราจิตใจมีแต่เบิกบาน ปลอดโปร่งโล่งใจ ไม่มีอะไรรกสมอง




6 บทประพันธ์ดีเยี่ยมไม่พิศดาร
คุณธรรมสุดยอดคือธรรมชาติ

บทประพันธ์เขียนได้สุดยอด
หาใช่เรื่องพิศดาร
เพียงแต่พอเหมาะพอควร
คุณธรรมของคนขึ้นถึงสุดยอด
ก็หาใช่เรื่องแปลก
เพียงเพราะควรจะเป็นเช่นนั้น

นิทัศน์อุทาหรณ์
จิตรกรวาดวงกลม

.........มีนักเขียนลายมืออยู่คนหนึ่ง เขาใคร่อยากจะได้ตำแหน่ง "หนึ่งในแผ่นดิน" จึงใช้พู่กันฝึกวาดวงกลมด้วยความพยายาม
.........สำหรับวงกลม ทุกๆ คนก็วาดเป็นทั้งสิ้น แต่การที่จะใช้พู่กันวาดให้ได้เส้นหนาบางขนาดเดียวกันทั้งวง และกลมอย่างไม่มีที่ติ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายนัก

.........เขาฝึกฝนด้วยความอดทนนานถึงปีกว่า วันหนึ่ง เขาเห็นว่าวงกลมที่เขาฝึกวาดมานั้น พอใช้ได้แล้ว เขานำพู่กันของเขาติดตัวออกไป ท้าทายกับนักเขียนลายมือซึ่งเป็น "หนึ่งในแผ่นดิน" ให้มาประลองฝีมือกัน
.........นักเขียนลายมือ "หนึ่งในแผ่นดิน" เห็นวงกลมที่นักเขียนลายมือผู้ท้าชิงวาดอยู่บนกระดาษแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที รีบวางพู่กันในมือลง ยกตำแหน่ง "หนึ่งในแผ่นดิน" มอบให้กับนักเขียนลายมือผู้ท้าชิงอย่างไม่มีเงื่อนไข

.........คนอย่างเราท่านทั้งหลาย เมื่อได้เห็นวงกลมที่นักเขียนลายมือคนนั้นวาดออกมาแล้ว อาจจะรู้สึกว่ามันเป็นธรรมดาสามัญเหลือเกิน ไม่มีอะไรแปลก แต่มันกลับเป็นผลสำเร็จของนักเขียนลายมือที่ใช้เวลาฝึกฝนมานานถึงปีกว่า เพราะฉะนั้นจึงกล่าวกันว่า สิ่งที่ดี สมบูรณ์และงดงามที่สุด มักจะเป็นสิ่งที่เป็นธรรมดาสามัญที่สุด

......... บทประพันธ์ก็เป็นเช่นเดียวกัน บทประพันธ์ที่ดีที่สุดก็คือเป็นธรรมชาติที่สุด ที่อ่านเข้าใจได้ง่ายที่สุด เหมือนดังนิยายเรื่อง "ซ้องกั๋ง" ที่เขียนถึง วีรบุรุษ 108 คนแห่งเขาเหลียงซาน หรือดังเช่นนิยายเรื่อง "ไซอิ๋ว" ที่มี ซึงหงอคง ตือโป้ยก่าย ซัวเจ๋ง คุ้มครองพระถังซัมจั๋งไปแสวงหาพระคัมภีร์ทางตะวันตก ซึ่งล้วนแต่เป็นธรรมชาติและน่าอ่านทั้งสิ้น เมื่อเราได้อ่านนิทานเหล่านี้ ก็จะหัวเราะและร้องไห้ไปกับตัวละครในหนังสือด้วย

........."ภาษิตรากผัก"บอกกับเราว่า
........."เมื่อคุณธรรมความประพฤติของคนเรา ฝึกจนถึงขั้นสมบูรณ์ที่สุดแล้ว พฤติการณ์ของเขาก็มิได้มีอะไรแตกต่างกับคนธรรมดาสามัญเลย ก็เหมือนกับวงกลมที่สมบูรณ์วงหนึ่ง หรือบทประพันธ์ที่สร้างความประทับใจแก่ผู้คนทั้งหลายบทหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมดาสามัญที่สุด โดยไม่ได้มีอะไรแปลกปลอมพิเศษพิศดารเลยสักนิดเดียว "

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 17, 2012, 08:07:44 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: สายธารแห่งปัญญา "ภาษิตรากผัก"
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: เมษายน 17, 2012, 06:15:25 pm »




7 หลงอำนาจชั่วเวลาหนึ่ง
จักเศร้าสลดไปชั่วนิรันดร์

ผู้ดำรงรักษาไว้ซึ่งศีลธรรม
จักหดหู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

ผู้พึ่งพาอาศัยอำนาจอิทธิพล
จักเศร้าสลดไปชั่วกัลปาวสาน

ผู้รู้แจ้งจักเล็งเห็นสิ่งซึ่งอยู่นอกวัตถุ
คำนึงถึงชื่อเสียงเกียรติยศชื่อเสียงยิ่งกว่าชีวิต

ยินดีจะรับความว้าเหว่ชั่วเวลาหนึ่ง
จักไม่ยอมโศกาอาดูรไปชั่วนิรันดร


นิทัศน์อุทาหรณ์
นิทานของปาท่องโกํ

.......สมัยราชศ์ซ่ง ชนชาติจีนซึ่งอยู่ทางเหนือรุกรานลงใต้ ยึดแผ่นดินของราชวงศ์ซ่งไปครองได้ถึงกึ่งหนึ่ง มีแม่ทัพของราชวงศ์ซ่งคนหนึ่งเย่เฟย (งักฮุย) นำกองทัพออกต่อต้านทัพชนชาติจีนอย่างสุดความสามารถสามารถตีทัพจีน ให้พ่ายแพ้ไปครั้งแลัวครั้งเล่า
.......ทหารจีนพอเห็นธงประทับของงักฮุยซึ่งมีตัวอักษรว่า''งักฮักผู้จงรัก'' เท่านั้น ก็ตกใจจนขวัญบินต่างพากันแตกนี้กระเจิงไม่กล้าเข้ารบด้วย

.......แต่ราชวงศ์ซ่ง มีฮ่องเต้โฉดเขลาเบาปัญญาอยู่องค์หนึ่ง พระนามว่าพระเจ้าซ่งเกาจงฮ่องเต้ พระองค์ต้องประสงค์แต่เพียงให้สามารถครองราชบังลังค์อยู่ได้ตลอดไปเท่านั้น แม้จะต้องสูญเสียดินแดนไปเรื่อยๆ พระองค์ก็ไม่สนพระทัย ซ้ำยังทรงฟังคำเพ็ดทูลของฉินฮุ่ยคนขายชาติส่งป้ายทองไปเรียกเย่เฟยกลับจากแนวหน้าถึง12ครั้ง และในที่สุดเย่เฟยก็ถูกฉินฮุ่ยประหารชีวิตด้วยความผิดที่ ''ไม่จำต้องมี''!

.......ประชาชนรับฟังข่าวนี้ด้วยความเดือดแค้น ต่างร้องไห้อาลัยรักเย่เฟยกันทั่วหน้า เพื่อถ่ายทอดแสดงออกซึ่งความโกรธแค้น พวกเขานำแป้งสาลีมาปั้นเป็นรูปของฉินฮุ่ยกับภรรยาแล้วติดกันเป็นคู่ นำไปทอดในกะทะน้ำมันเพื่อแก้แค้นแทนเย่เฟยเรียกว่า "อิ๋วจ้าฮุ่ย" หรือ "ฉินฮุ่ยทอดน้ำมัน"(เมืองไทยสมัยก่อนเรียกว่า "อิ้วจาก้วย ต่อมาเพี้ยนเป็น "ปาท่องโก๋" แต่ทางใต้ยังเรียก "จาก้วย" อยู่)

.......ในปัจจุบัน ที่ข้างสะพานซีหลิ่งริมทะเลสาบซีหูในเมืองหังโจวมีสุสานของเย่เฟยอยู่ ผู้ที่ไปทัศนาทะเลสาบซีหู จะต้องพากันไปเยือนเพื่อเคารพวีรชนเย่เฟยท่านนี้ทั่วกันทุกคน

.......ส่วนรูปหุ่นเหล็กหล่อของฉินฮุ่ยสามีภรรยาซึ่งคุกเข่าอยู่หน้าหลุ่มศพของเยเฟ่ยกลับถูกเตะถีบถ่มน้ำลายจากผู้ไปเยือนไม่เว้นแต่ละวัน แม้รูปหล่อนี้จะชำรุดและซ่อมแซมเป็นหลายครั้งก็ตามก็ยังถูกผู้คนทั้งหลายที่ชิงชังในพฤติกรรมของฉินฮุ่ยถีบกระทืบและถ่มน้ำลายรดอยู่ไม่ขาดฉินฮุ่ยผู้รักตัวกลัวตาย เมื่อตอนที่มีอำนาจอยู่ได้กระทำแต่เรื่องเลวๆ อย่างหึกเหิม กล้าแม้กระทั่งขายชาติหาศีลธรรมอะไรไม่ได้เลย เขาจึงได้รับแต่การด่าทอสาปแช่งชื่อเสียงเหม็นคลุ้งไปทั่วฟ้าดิน ตราบเท่าทุกวันนี้
.......ส่วนเย่เฟย แม้จะถูกกล่าวหาต่างๆนานา และต้องตายในเงื้อมมือของคนเลวแต่นามอันทรงเกียรติของเขาได้จารึกอยู่ในใจของประชาชนจีนอยู่เป็นนิรันดร์ และขจรขจายไปชั่วฟ้าดินสลาย

.......เพราะฉะนั้น ผู้ดำรงคงไว้ซึ่งศีลธรรม จะเหงาเศร้าก็แต่ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น ส่วนผู้ถืออำนาจบาตรใหญ่แต่ประพฤติชั่ว กลับจะโศกสลดรันทดใจไปชั่วกัปชั่วกัลป์


จากหนังสือ
สายธารแห่งปัญญา หงอิ้งหมิง สมัยราชวงศ์หมิง เขียน
บุญศักดิ์ แสงระวี เรียบเรียง
-http://www.dhammachak.net/board/viewtopic.php?t=254&sid=760bbf04feb63cf2ce0cdd891922e91e