ผู้เขียน หัวข้อ: « วันสงกรานต์ » (หลวงพ่อชา สุภัทโท)  (อ่าน 1823 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



« วันสงกรานต์ » (หลวงพ่อชา สุภัทโท)

อันตรายทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ทุกวันนี้ยิ่งมาก เราได้ผ่านมาแล้ว อันตรายข้างนอกก็ไม่สำคัญเท่าใด อันตรายข้างในมีการกระทำผิด การคิดผิด การพูดผิด การกระทำผิดทั้งหลายเหล่านี้เป็นของที่สำคัญมาก ดังนั้น ถ้ามาถึงจุดอันนี้แล้ว พระบรมศาสดาท่านสอนให้สำเหนียกในตัวของเจ้าของ ว่าเรามีอะไรบ้างไหมที่เราควรจะเปลี่ยน หรือที่เราจะเพิ่มต่อไปอีก มีอะไรไหม

วันตรุษสงกรานต์มีความหมายอย่างนี้ เพราะว่าของเราที่จะต้องเปลี่ยนแปลงนั้นมันอยู่ที่เรา รากฐานมูลฐานทั้งหมดมันอยู่ที่เรา อยู่ที่ตรงไหน อยู่ที่กายของเรา อยู่ที่วาจาของเรา อยู่ที่จิตใจของเรา สามประการนี้เป็นจุดใหญ่ที่สุดในบุคคลแต่ละคนนี้ คุณงามความดีทั้งหลายที่เรียกว่าบุญกุศลนั้น จะบังเกิดขึ้นในที่สะอาด ที่สะอาดที่ไหนบุญเกิดที่นั่น สะอาดที่ไหนความดีเกิดที่นั่น สะอาดอยู่ที่ไหนความสว่างไสวความสงบเกิดอยู่ที่นั่น ดังนั้น ความสะอาดและความสกปรกทั้งหลายนี้ ท่านจึงให้สรงน้ำกัน เพื่อล้างความสกปรกออก วันนี้ให้มันสะอาด ล้างถ่ายเทให้มันสะอาด

ฉะนั้น วันนี้ทุกกลุ่มทุกหมู่เหล่า ประชาชนเราทั้งหลายให้อภัยกัน เดินไปตามถนนหนทาง เดินไปที่ไหนๆก็ตาม เห็นกันแล้วก็ต้องสาดน้ำล้าง ล้างความสกปรกออก นั่นแหละให้มันสะอาด หมายถึงอันนั้น ไม่ใช่เล่นกันไปเฉยๆ เพื่อเป็นการสนุกสนานในธรรมะว่าเราพ้นมาแล้ว พ้นอันตรายมาแล้วผ่านอันตรายมาแล้ว เราเลยมาพบหน้าพบตากัน ดีอกดีใจ ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรแสดงออก ก็เอาน้ำเย็นๆ สาดกันให้เย็น อันนั้นเรียกว่าการแสดงออกทางจิตใจ เราชาวไทยซึ่งเป็นพี่เป็นน้องกัน เมื่อถึงวันตรุษเช่นนี้ถือไม่ได้ ในจังหวัดต่างๆ อำเภอต่างๆ จะรู้กันก็ตามไม่รู้กันก็ตาม เราทั้งหลายก็ต้องเสียสละทิฏฐิมานะ เอาน้ำสาดกันล้างกัน หมายถึงโอวาทของพระพุทธเจ้า ท่านเรียกว่าล้างความชั่วออกนั่นเอง ไม่ใช่อื่นไกล

ฉะนั้น วันนี้ก็เรียกว่าล้างสิ่งที่สกปรกออกให้มันสะอาด สิ่งที่สะอาดหรือสิ่งที่สกปรกนี้มันก็อยู่ที่กายของเราที่เรานั่งอยู่นี้ อยู่ที่วาจาของเรานี้ที่มันมีอยู่ อยู่ที่จิตใจของเราที่มีเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ว่าไปล้างที่อื่น เพราะตรงนี้ที่นี่มันสกปรก ทำให้มันสะอาดก็ได้ เราจะทำก็ได้ กายสกปรกทำให้กายมันสะอาดก็ได้ วาจามันสกปรกทำให้มันสะอาดก็ได้ จิตใจมันสกปรกทำให้มันสะอาดก็ได้ เพราะสิ่งทั้งหลายนี้มันอยู่ที่ตัวเราไม่ใช่อยู่ที่อื่น เห็นกันง่ายๆ เพราะฉะนั้นเราจะตรวจตราดูของเราก็ได้ไม่ต้องอื่นไกล นั่งในกลุ่มนี้ทั้งหมดนั่นแหละ ใครมีผิดอะไรบ้างไหมที่มันมีอยู่เดี๋ยวนี้ ที่มันสกปรกกายมีบ้างไหม สกปรกวาจานั้นมีบ้างไหม สกปรกภายในจิตในใจมีบ้างไหม

อันนี้ก็จะมอบให้แก่ทุกๆคน ที่เป็นเจ้าของกาย เจ้าของวาจาเจ้าของใจนี้ ไปตรวจดูเองก็พบ เป็นของไม่ยากเป็นของไม่ลำบาก ถ้าเราพบอยู่ที่กายของเรา พบที่วาจาของเรา พบที่ใจของเรา สิ่งสกปรกนั้นแหละ ที่ปฏิบัติของพวกท่านทั้งหลาย กายสกปรกก็ทำให้มันสะอาดขึ้นมา คือการงานอันใดที่ไม่ชอบธรรม การงานอันใดที่ไม่ดีไม่งามคือการกระทำทางกายนั้นควรถ่ายทอดออก มันสกปรกให้มันสะอาด วาจาของเราอันใดก็ตามซึ่งมันสกปรกรกร้าง เกิดขึ้นมีในใจในวาจาของเรา เราก็พอรู้น่ะ เรารู้แล้วว่าควรละมันควรถ่ายถอนมันออกไป เรื่องจิตใจของเรานี้ก็เหมือนกันฉันนั้น ที่มันสกปรกที่มันสะอาดนี้ไม่มีใครจะรู้ดีกว่าตัวของเราไป ฉะนั้น สิ่งต่างๆ สามประการนี้ ขอมอบให้ท่านทั้งหลายไปดูเอาเอง ไปพิจารณาเอาเองให้เห็นเอง เพราะว่าถ้าสกปรกแล้วมันก็ทุกข์เอง ถ้าสะอาดแล้วมันก็สบายเอง สองอย่างนี้แหละ เป็นต้น มันอยู่ที่สามประการ ที่กาย ที่วาจา ที่ใจ ซึ่งพวกเราทั้งหลายนั่งอยู่นี้มีพร้อมอยู่แล้ว

พระพุทธองค์ท่านทรงสั่งสอนทั้งหลายเหล่านี้ให้รู้จัก สมกับคำสอนของท่านตรัสไว้ว่า “สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา สจิตฺตปริโยทปนํ” การไม่กระทำความชั่วใดๆ ทั้งหมดเลยด้วยกาย วาจา ใจ นั้นแหละ “เอตํ พุทธาน สาสนํ” อันนั้นเป็นหลักของพุทธศาสนา เป็นหัวใจของพุทธศาสนา อันนั้นเป็นหน้าที่ของพวกเราจะประพฤติปฏิบัติเอง กุสลสฺสูปสมฺปทา เมื่อกายวาจาของเราสะอาดแล้วจิตใจก็สงบ เมื่อจิตใจสงบแล้วบุญกุศลก็เกิดขึ้นที่ตรงนั้นที่สะอาดนั้น สจิตฺตปริโยทปนํ เราทั้งหลายทำจิตใจของเราเป็นต้น ให้หมดความเศร้าหมอง ให้หมดความลังเลหมดความสงสัย หมดราคะ หมดโทสะ หมดโมหะนั้น จิตใจเราก็ผ่องใส “เอตํ พุทธาน สาสนํ

สิ่งทั้งสามประการนี้เป็นหัวใจพุทธศาสนา เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า อันนี้พวกเราชาวไทยทั้งหลายนับถือพุทธศาสนา อันนี้จงเอาหัวใจของพุทธศาสนานี้มาพิจารณา ให้ตั้งอยู่ในกายของเจ้าของ ตั้งอยู่ในวาจาของเจ้าของ ตั้งอยู่ในใจของเจ้าของ ถ้าเราชำระสิ่งสกปรกทั้งหลายดังนี้ออก เราก็ต้องชำระของเรา ไม่มีใครมาบังคับบัญชาเรา ชำระออกทางวาจาก็ดี ทางใจก็ดี อันนี้เป็นเรื่องของเรา เราท่านทั้งหลาย

ฉะนั้น วันนี้จึงให้พวกเราท่านทั้งหลายตรวจดูว่ามันมีอะไรบ้าง ในกายของเรามีไหม ที่วาจาของเรามีไหม ที่ใจของเรามีไหม เมื่อเราตรวจดูแล้ว เราจะมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นอันถูกต้อง บุคคลเรามีการงานหลายอย่าง ทำกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เมื่อความผิดหวังเกิดขึ้นมาย่อมเป็นเหตุให้เราเป็นทุกข์ ให้เราทำอันตรายต่างๆได้ ให้เบียดเบียนคนอื่นก็ได้ ให้อิจฉาคนอื่นก็ได้ ให้ขโมยคนอื่น ทุกอย่าง

อันนี้เพราะอะไร เพราะความผิดหวังของเรานั่นเอง ไอ้ความผิดหวังนี้เป็นเหตุให้เกิดปัญหา
ขึ้นมาให้กายเราสกปรก ให้วาจาเราสกปรก ให้จิตใจเราสกปรก เพราะเราไม่คิดถึงธรรมะ เรื่องไม่คิดถึงธรรมะอันนี้เป็นเหตุมากมายก่ายกองทั้งนั้น เช่นว่า เราไม่รับรู้คำพูดของบุคคลอื่นบางสิ่ง
บางประการ เช่นว่า เขาจะดูถูกเรา เขาจะว่าเราไม่ดี เขานินทาเรา เช่นนี้เป็นต้น เขาเข้าใจว่าเราทำผิด อย่างนี้เป็นต้น ที่เราผิด เขาว่าให้เรานะ ให้เราเข้าใจว่าปัจจุบันเดี๋ยวนั้น เรากำลังได้รับการศึกษา เราได้รับการสงเคราะห์จากบุคคลอื่นเขา ที่เขาว่าเราไม่ดีนั้น เราควรทำให้เป็นโอปนยิโก น้อมเข้ามา ที่เขาว่านั่นดีหรือไม่ถูกหรือไม่ เราควรรับรู้ว่าอันใดมันดีเราก็คงไว้ อันใดที่เขาว่ามันไม่ดีนั้น เราพยายามเขี่ยออกไปเรื่อยๆ ไป

ทีนี้การถูกเขานินทา การถูกเขาสรรเสริญนั้น จะเพิ่มพูนประโยชน์ให้แก่ตัวของเราทั้งหลายได้ เป็นต้นว่า การนินทาและการสรรเสริญนั้นจะเป็นผลทั้งนั้นแหละ เมื่อเขานินทาเราว่าอะไรของเราไม่ดี ตรงไหนไม่ดีมีไหม บางทีมันอาจมีอยู่ ถ้ามีอยู่เขี่ยออกไป ละมันไปเสีย ที่เขาสรรเสริญเราอยู่ว่าเราดี มันดีจริงไหม หรือเราไม่ดีอยู่ เขารักเราเขาว่าเราดีเท่านั้นเอง เราต้องพิจารณาเช่นนั้น
เมื่อเรารับรู้เช่นนี้ก็เรียกว่าเราเป็นผู้ที่รับการศึกษาอยู่ทุกเวลา ตาเรามี หูเรามี จมูกเรามี ลิ้นเรามี กายเรามี จิตเรามีอยู่ เมื่อเราสัมผัสถูกต้องได้ยินอยู่ทุกสิ่งทุกประการนี้ ก็เรียกว่าเราได้รับการศึกษาอยู่ทุกเวลา


ฉะนั้น อาตมาจึงให้ความเห็นว่าวันนี้เป็นวันตรุษสงกรานต์ ควรจะล้างมันออก ที่เอาน้ำล้างออกนั่นมิใช่ล้างอันใด ละอกุศลธรรม ความชั่วความผิดทั้งหลาย เมื่อเรามีความเห็นผิดมาแล้ว
ก็ทำให้มันถูกเสีย
เมื่อเรามีความสกปรกมาแล้วก็ทำให้มันสะอาดเสีย ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าของเราเป็นของไม่ยาก ฟังง่ายดูง่าย เห็นง่าย แต่ทำยากนิดหนึ่ง


ทำไมถึงทำยาก มันไม่เห็นตามเป็นจริง ถ้าเราเห็นชัดเข้าไปแล้วก็เป็นของไม่ยาก เห็นชัดอย่างไร การกระทำความชั่วมันก็ได้ชั่ว การกระทำผิดมันก็ได้ผิดจริงๆ ถ้าใครเห็นความชั่วทั้งหลายเป็นเช่นนี้แล้ว ตามเป็นจริงแล้ว เขาก็ละความชั่วทันที ไม่ถึงกับว่าเคลื่อนจากที่นั่งนี่ไป พอได้ยินความชั่วแล้วก็ละตรงนี้ เหมือนเราเห็นยาพิษนั้นมันเป็นพิษ เมื่อเราออกจากยาพิษ รู้จักยาพิษแล้ว ก็บอกลูกเราบอกหลานเราบอกเพื่อนบ้านเราว่าอันนี้อย่าไปกินมันเลย กินแล้วจะต้องตายอย่างนี้

ถ้าเรามาคิดเช่นนี้แล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าของเรานั้นเป็นคำสอนที่ประพฤติง่ายที่สุด ไม่ยาก ขอให้เห็นธรรมะ ใครเป็นผู้เห็นธรรมะ ก็เหมือนกับว่าใครคนนั้นเห็นยาพิษ ใครเป็นผู้เห็นยาพิษ ใครเป็นผู้เห็นกำลังของยาพิษ ถ้าเราเห็นกำลังของยาพิษ เห็นเดชของยาพิษว่ามันเป็นอย่างนั้น ก็บุคคลนั้นแหละเห็นยาพิษว่าเป็นอันตรายผู้คนทั้งหลายเห็นความชั่วทั้งหลายนั้นเหมือนกันกับเห็นยาพิษ เมื่อใครเห็นความชั่วตามเป็นจริงเช่นนั้นก็คนนั้นเห็นธรรมะ เมื่อเห็นธรรมะคนนั้นต้องเลิก ปัญหาน้อย ตัดปัญหาทั้งหลายได้ทุกสิ่งทุกประการ

ทีนี้ธรรมะ มาถึงของช่วยเรา ช่วยความเป็นอยู่ของเรา ช่วยชีวิตของเรา ช่วยอะไรๆของเราทุกอย่าง คือธรรมะ ฉะนั้นวันนี้ท่านจึงบอกว่าเป็นวันตรุษสงกรานต์ เมื่อมีอะไรก็เขี่ยมันออกเสีย อย่าให้มันค้างอยู่นาน เหมือนกันกับแผลที่ร่างกายของเรามันเกิดขึ้นมานั่นแหละ หรือว่าหนามยอกเท้าเราอย่างนี้ เราจะให้มันออก เราจะถอนมันวันนี้หรือถอนพรุ่งนี้ดีกว่า หรืออีกสักอาทิตย์หนึ่งจึงถอน หรือเปรียบประหนึ่งว่าวันนี้เราปวดท้อง การปวดท้องของเรามันเป็นทุกข์ ทุกข์นี้อยากหาย และอยากจะให้มันหายวันนี้หรือพรุ่งนี้ดีกว่า หรืออีกสักอาทิตย์หนึ่งจึงจะให้มันหาย

ถ้าเราเห็นเช่นนี้ การปฏิบัติธรรมมันก็ง่ายขึ้น สิ่งที่มันไม่ดีในกาย ในวาจา ในใจของเรานั้นน่ะ อย่าให้มันนอนเนื่องไปเลยมันไม่เกิดประโยชน์ มันทำให้เราเดือดร้อน มันทำให้เราเป็นทุกข์ เป็นต้น ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงให้ละ ละสิ่งที่มันมีอยู่ในตัวของเรานี้ ไม่ใช่ไปบวชเป็นพระ ไม่ใช่ไปออกปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติอยู่ที่ไหน เป็นฆราวาสก็ได้ เป็นพระก็ได้ อยู่ในบ้านเราก็ได้ แต่ว่าให้รู้จักผิด ให้รู้จักถูกเสียก่อน ความผิดมันเป็นอย่างไร ความถูกมันเป็นอย่างไร ให้รู้จัก ถ้าไม่รู้จักอันนี้ก็ไม่รู้จักการละ ไม่รู้จักความผิดก็ไม่รู้จักการละ ถ้าไม่รู้จักการละ ก็ทำผิดก็ไม่รู้จัก

เหมือนกับการทำบุญของคนทุกวันนี้โดยมาก คนที่ไม่รู้จักบาปไม่รู้จักบุญ วันธรรมดาๆ ยังดีกว่าเลย คนไม่รู้จักก็เรียกว่าบุญ บุญอยู่นั่นแหละ ทำแล้วก็ดีใจ ความเป็นจริงนั้นเราทำบาปน่ะ ไม่ใช่เราทำบุญ ถ้าจะทำบุญเช่นนั้นอยู่ธรรมดาของเราเหมือนวันนี้ดีกว่า เหล้าก็ไม่ได้กิน สัตว์ก็ไม่ได้ฆ่าวันหนึ่ง วันนี้คือวันทำบุญ การกระทำบุญนั้นอย่าพากันหลงในบุญ บุญนั้นคือความสุขชนิดหนึ่งเท่านั้นเกิดขึ้นมา และขอโอกาสด้วย ขอโทษ สุนัขมันก็มีความสุขได้ แมวก็มีความสุขได้ เมื่อสุนัขมีความสุขขึ้นก็เรียกว่าบุญเกิดขึ้นในสุนัข เมื่อความสุขเกิดขึ้นในแมว ก็เรียกว่าบุญเกิดขึ้นในแมวนั้น

เมื่อบุคคลสร้างบุญเฉยๆเช่นนั้น มีศรัทธาเฉยๆเช่นนั้น ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ไม่เกิดประโยชน์ คือความสุขนี้สัตว์มันก็มีของมันได้ มันก็เป็นบุญของมันได้ นี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นบุญของมัน มันถึงมีความสุขได้ สุขนั่นแหละที่เรียกว่าบุญ แต่เราไม่คิดเห็นว่าเราพูดกันว่าไปสร้างบุญสร้างกุศลน่ะ บุญชนิดนั้นมันเป็นบุญอย่างหนึ่ง ไม่เป็นกุศล

ส่วนกุศลไม่เป็นเช่นนั้น ไม่ถือแต่ความสุขอย่างเดียว ความสุขอันนี้มันเกิดมาจากอะไร ของนี้ได้มาจากอะไร มันเป็นอย่างไร ต้องมีปัญญา มันเกิดมาจากอะไร เช่นบุคคลกลุ่มหนึ่งเคยได้คิดว่า ได้มากๆนั่นแหละมันเป็นบุญ ถ้าไม่ได้มันเป็นบาป มันจะได้มาอย่างไรก็ช่างมันเถิด ขอเพียงให้มันได้มากนั่นแหละเป็นบุญ ถ้าอีกวาระหนึ่งในเวลาหนึ่งในกาลหนึ่ง เขาจะเห็นว่าหนังมนุษย์นี่มีราคามากนะ มีราคามากเหลือเกิน กิโลหนึ่งหลายหมื่นบาท คนอีกกลุ่มหนึ่งมันจะตระเวนหาเอาหนังมนุษย์ เราจะมีที่อยู่กันไหม นี่มันจะมีที่อยู่กันไหม จะฆ่ากันเสียเกลื่อนกลาดก็เกี่ยวกับเอาหนังไปขาย เพราะหนังมนุษย์มีราคา นี่มันเป็นเช่นนี้

ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น เมื่อบุคคลเราหาเลี้ยงชีพได้ทุกวันนี้ ถ้ามันได้มามากๆ นั่นยิ่งดี ถ้าได้มาในทางที่ไม่ชอบมันจะดีไหม ถ้าปล้นเขามาถ้าโกงเขามาหลอกลวงเขามา อิจฉาเขามาพยาบาทเขามา มันจะดีไหม ถ้าหากว่ามันดีเช่นนั้น ให้เขามาโกงเราจะดีไหม ให้เขามาขโมยของเราจะดีไหม

ทุกอย่างถ้าเราคิดกลับไปกลับมาเช่นนี้ จะได้เห็นว่าบุญนั้นจะต้องประกอบไปด้วยปัญญา จึงเรียกว่าสร้างบุญสร้างกุศล กุศลนั้นเรียกว่าความฉลาด คนฉลาดนั้นแหละรู้จักดีรู้จักชั่ว รู้จักบาปรู้จักบุญ คือความฉลาด


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: « วันสงกรานต์ » (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: เมษายน 10, 2012, 03:14:26 pm »



คนที่มีความสุขเฉยๆมันไม่รู้หรอก เหมือนกับหมูนั้นแหละ อยู่ในคอกนั้นแหละ มันไม่ฉลาดอะไรหรอก เขาเอาอาหารทุ่มเข้าไปเรื่อย กินเข้าไปจนอ้วนเลย ไม่รู้เรื่องว่าเขาเลี้ยงเราด้วยอะไร ไม่รู้จัก ขอแต่ให้มากินให้เราอ้วนๆ นั่นก็แล้วกัน นอนสบายนะ มันไม่นึกถึงว่า อีกหลายวันเดี๋ยวรถกระบะเขาจะมาบรรทุกเข้าไปในเมือง มันไม่เคยคิดเช่นนั้น

อย่างไก่เหมือนกัน เราเลี้ยงมันไว้ ตอนเช้าก็เอาข้าวให้กิน ตอนเย็นเอาข้าวให้กิน มันรัก เมื่อเจ้าของเรียกมันมา มันก็มาเป็นกลุ่ม มันรักเจ้าของ เขาก็เอาข้าวเปลือกข้าวสารโปรยให้กิน มันก็สบาย อีกเดือนหนึ่งหรือสิบห้าวันก็จับตัวมันยกขึ้นดู ไก่มันก็นึกว่าเจ้าของนี่รักเรา ความเป็นจริงมันคิดไปคนละอย่าง ไอ้คนชั่งนี้มันได้กี่กิโลแล้วยกดูก่อน ไก่ตัวนี้มันกี่กิโลแล้วจะได้กี่บาทแล้ว นี่เจ้าของไก่นึกอย่างนี้ ไก่ไม่รู้เรื่องก็นึกว่าเขารักเรา เขายกนะ ไม่รู้เรื่อง เขาโปรยข้าวเปลือกข้าวสารให้กินก็กินไปเรื่อย จนมันโตมาได้หลายกิโลแล้วพอสมควร เขาบรรทุกเอาไปบ้านเจ๊กโน่น ก็ยังแย่งอาหารการกินกันไป บางตัวก็ยังขันสบาย ไม่รู้เรื่องอะไร ไปถึงบ้านเจ๊กเขาถอนขนคอออก ยังนึกว่าเขาทำความสะอาดให้เราอยู่อีก เพราะว่าไม่รู้เรื่องอะไร อันนี้คนมันไม่รู้จัก มันอาศัยบุญอยู่ อาศัยความสุข เขาให้กินมากมันก็สุขมาก ให้กินดีแล้วมันก็สุขดี มันไม่นึกถึงนี่คือคนไม่มีปัญญา

คนทำบุญก็เหมือนกันก็ต้องมีปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา มันก็เหมือนกับไก่กับหมูเท่านั้นแหละ เห็นว่าความสุขที่เขาให้กินดีนอนดีก็สุขอยู่นั่นแล้ว แต่วันหลังไม่เป็นเช่นนั้นนะ เขาจะเชือดคอเอาเนื้อไปกินก็ได้ หมูมันก็มีบุญอย่างนี้ ไก่มันก็ไม่รู้จักบุญอย่างนั้นคือความสุข มนุษย์เราทั้งหลายพ้นมาจากนั้นแล้ว ว่าสิ่งที่ไม่ดีไม่งามมันก็มีความสุขเหมือนกัน โกงได้มาก็มีความสุข ปล้นมาก็มีความสุข แต่ว่ามันเอาของเขามา มันไม่ถูกต้องมันไม่เป็นสัมมาอาชีวะ อันนั้นก็ไม่มี

ฉะนั้น การกระทำบุญ ให้นึกถึงว่าบุญกุศล บุญกุศลนี้ต้องเป็นคู่เคียงกันไป นี่เป็นปราชญ์ บุญนี้ก็เหมือนกันกับเนื้อ กุศลก็เหมือนกันกับเกลือ ถ้ามีแต่เนื้อเปล่าๆก็เน่าหมดเท่านั้นแหละ ถ้ามีเกลือเข้ามาขยำเข้าเนื้อนั้นก็ไม่เน่า ฉันใดก็ฉันนั้น

การกระทำความดีทั้งหลายนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น จะต้องมีปัญญา ดีอย่างเดียวก็ไม่ได้ ดีไม่มีปัญญา ดีนั้นก็ให้มีโทษ ดีมีปัญญา ดีนั้นปราศจากโทษ ดีที่ไม่มีปัญญานั้นเป็นดีนอกพุทธศาสนา ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าของเรา ดีเช่นนั้นตัวเราก็เลยว่าดี เหมือนยาพิษที่มันดีๆ เหมือนบุรุษที่โฆษณาขายยาพิษ ไอ้ยาพิษของข้านี่ดี ให้สุนัขกินก็ตาย ให้มนุษย์กินก็ตาย ให้ไก่กินก็ตาย ให้สัตว์ทั้งหลายกินตายทั้งนั้นเถอะ เชิญมาซื้อยาของฉัน ยาดี ถ้าหากว่ามันดีอย่างนั้นจริงไหมก็ให้คนขายยากินเสีย ยาพิษน่ะ ถ้ามันดีให้เจ้าของขายยากินจะกินไหม ไม่กินแล้ว เพราะกลัวว่ามันจะตาย

ดีนั้นดีนอกพระพุทธศาสนา ดีอันนั้นดีมีโทษ ดีสกปรก ดีไม่สะอาด ดีไม่สงบ ดีในทางพุทธศาสนานี้ดีปราศจากโทษ การกระทำบุญในพุทธศาสนานี้ก็เหมือนกันฉันนั้น ทำบุญต้องประกอบไปด้วยปัญญา ปัญญานี้เมื่อเราจะทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นต้น จะต้องประกอบไปด้วยปัญญา ที่เรียกว่าเป็นบุญเป็นกุศลอันนี้

ฉะนั้น อันนี้ ถ้ายังไม่มีในวันนี้ ก็พยายามให้มีขึ้น ความโง่ทั้งหลายที่คิดไม่ถึงในใจของเรานั้นก็เขี่ยมันออกไป บุคคลเราเกิดมาควรรับทุกสิ่งทุกอย่าง คำสอนของคน คำพูดของคนทุกอย่างควรรับรอง ควรฟัง มันจะถูกต้องเราก็ต้องฟัง มันจะผิดเราก็ต้องฟัง ฟังไป เพื่ออะไร เพื่อประดับความรู้ เมื่อวันนี้มันผิดเราก็เอาไปปฏิบัติ ปฏิบัติอย่างไร คือละมันทิ้งเสีย เมื่อมันถูกเราก็นำไปปฏิบัติ ปฏิบัติเพื่อความเพียรเกิดขึ้นมาเสีย เหมือนกันกับเราเห็นของสกปรก นี้ของสกปรกเราต้องรู้ สกปรกมันอยู่ตรงไหนที่สะอาดก็อยู่ตรงนั้น ความผิดอยู่ตรงไหนความถูกก็อยู่ตรงนั้น

ฉะนั้น พวกเราทั้งหลายเมื่อมีชีวิตอยู่แล้ว ก็ผ่านอยู่เรื่อยๆ ทุกวันทุกเวลา บาปบุญคุณโทษมันเปลี่ยนอยู่ทุกวัน เราก็เห็นอยู่เช่นนี้ ชีวิตที่มันผ่านมานั้นกับชีวิตที่ต่อไปนี้มันก็เหมือนกัน มันจะแปลกกันเสียว่าเราเปลี่ยนจิตใจ มีความรู้ความเห็นขึ้นมา ฉะนั้น อาตมาจึงให้พากันฟัง พากันพิจารณา อันใดที่มันสกปรกอันนั้นเราก็เช็ดออก เขี่ยมันออกเสีย ทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางจิตใจก็ดี อันใดที่มันสะอาดแล้วก็เพิ่มพูนให้มันสะอาด ให้มันสะสวยงดงาม

ถ้าเราทั้งหลายในหมู่มนุษย์ทั้งปวงนี้ ถ้าเราทั้งหลายมาลงสู่ธรรมะเช่นนี้แล้ว อาตมาว่าบ้านเมืองเรานี้จะสงบเหลือเกิน สงบมาก เพราะคนปราศจากธรรมะไม่สนใจในธรรมะ ธรรมะนี้เป็นของมีคุณค่าเหลือเกิน ถ้าเราเข้าใจแล้วทำอะไรไม่ได้ ทำความชั่วไม่ได้ ทำได้แต่สิ่งที่มันดีเท่านั้น ทุกวันนี้คนมีธรรมะเยอะไป อ่านธรรมะ พูดธรรมะมาก แต่คนปฏิบัติไม่ค่อยมี เช่นไปพูดบ่อยๆ อาตมาก็เคยได้ยินบ่อยๆ ว่าอย่าเห็นแก่ตัวกัน แต่ว่าข้างในมันก็ยังเห็นแก่ตัวอยู่เสมอ เมื่อความเห็นแก่ตัวเช่นนี้มีอยู่ พูดธรรมะออกไปไม่เป็นประโยชน์ พูดความดีออกไปไม่เป็นประโยชน์

เฉพาะอย่างยิ่งก็อย่างอาตมานี่แหละ เป็นครูเป็นอาจารย์ของคน หรือญาติโยมทั้งหลาย
นั้นเป็นต้น เป็นเจ้าเป็นนาย เป็นแบบที่ดีของมนุษย์ทั้งหลายเช่นนั้น อันนี้ควรพินิจควรพิจารณาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้มันเกิดขึ้นมา อันใดที่มันดี ทำดีไปแล้วพูดดีไปแล้ว ทำดีอันนั้นมีอำนาจ มีอำนาจมากเหลือเกิน แต่ว่าช้าไปหน่อยหนึ่งไม่ทันใจของเรา มันทางละเอียดคนไม่ค่อยเห็น

การประพฤติปฏิบัติธรรมะนี้ ถ้าหากว่าเราพูดให้มันดีฟังให้มันดีแล้ว จะได้เห็นว่าการกระทำบุญการกระทำความดีนี้ เมื่อนึกว่าจะทำมันก็ได้แล้ว การกระทำความชั่วก็เหมือนกัน นึกว่าจะทำมันก็หาทางแล้ว เดือดร้อนขึ้นมาแล้ว ได้มาแล้ว

ฉะนั้น การทำความดีก็ได้ดี การทำความ ชั่วก็ได้ชั่ว คำนี้ยังมีเหตุผล ยังมีคุณค่าอยู่กับบุคคลที่มีปัญญา ถ้าหากว่าคนไม่มีปัญญาแล้ว คำที่ว่าทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว ไม่เกิดประโยชน์เลยทุกวันนี้ เพราะเราเห็นว่าคนทำชั่วได้ดีเยอะ คนทำดีได้ชั่วก็มาก อย่างนี้ก็เพ่งไปถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นพุทธศาสนาไม่แน่นอน ไม่จริง ผมทำดีมาเหลือเกินไม่เคยได้ดีเลย ทำงานมาหลายปีเงินเดือนไม่ค่อยจะขึ้นหรอก นี่เขาเพิ่งมาเมื่อวานซืนนี้ เงินเดือนเขาวิ่งออกหน้า ช่างเจ็บใจเหลือเกิน

อย่าเพิ่งไปทวงมันเลย เราทำการงานอะไรเล่า ก็ให้มันดีในการงานของเรา มันชั่วในการงานของเรา ทำที่การงานของเรานั่น ทำไปเถอะ มันมีแค่นี้ก็เอาแค่นี้ไปก่อนอย่าไปทวงมัน ถ้าทวงแล้วมันน้อยใจเลย คนอื่นมาทีหลังเราวิ่งออกหน้าเราทีเดียวนะ เราอยู่นี่นมนานแล้วเหลือเกิน เราคิดอาภัพใจไม่สบาย เมื่อไปทวงมันทุกทีทุกข์ขึ้นทุกที เมื่อไปทวงมันทุกทีไม่ดีขึ้นทุกที เกิดไม่ดีขึ้นในใจของเจ้าของแล้ว เกิดคิดอาภัพอับจนไปเช่นนั้น อันนี้ก็ให้ทำไปก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อถึงคราวถึงเวลามัน มันจึงจะมาได้เพราะการกระทำ เงินเดือนไม่ดีทำการงานนี้ให้มันดีขึ้นมาเถอะ มันจะดีขึ้นที่ตรงนี้ มันไม่เคยอยู่ที่ขอร้องเอา มันดีที่การกระทำนี้ การกระทำดีนี้แหละมันจะให้ดี ไม่ใช่ที่อื่น ทำมันดีทำไปเถิด ทำมันช้าเถิด ไม่มีใครให้เงินเดือนขึ้นเราก็ได้ความดีของเรา มันไม่เสียหายอะไรหรอก ทำอันนี้มันก็ดี ดีอยู่เรื่อยๆไป อย่างน้อยที่สุดก็เป็นคนรวย รวยความอดทน รวยความสงบระงับ รวยความดี รวยสิ่งในที่พวกทั้งหลายเรียกว่าบุญนั้น อันนี้ควรเอาไปพินิจพิจารณา

ฉะนั้น ถึงวันตรุษสงกรานต์เช่นนี้ ควรถ่ายเทมัน ควรมองดูอดีตที่เราดำเนินงานการมาแล้ว มันเป็นอย่างไร มีอะไรบ้างไหม ที่เราทำมานั่นมันผิดไหมมันถูกไหม มีอะไรแก้ไขไหม ที่เราจะทำต่อไปข้างหน้านี้ การงานเราจะทำอย่างไร มันจะถูกไหม มันจะผิดไหม อะไรเป็นต้น ให้พินิจให้พิจารณา เมื่ออาการกระทำผิดเมื่อทำไปแล้วมันแก้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าความผิดเล็กๆน้อยๆ เมื่อข้ามมันไปแล้วก็อย่าให้มันเลย

ความดีน้อยๆ อย่าเข้าใจว่ามันจะไม่ให้ผล มันจะต้องให้ผลเมื่อใดเมื่อหนึ่งจนได้ ความดีกับความชั่วอันนี้ นี่มันเป็นเช่นนี้ ความดีน้อย อย่าเพิ่งว่ามันไม่ดี ความชั่วน้อยอย่าเพิ่งว่ามันไม่ให้โทษเรา อย่าไปเข้าใจเช่นนั้น ของที่มันใหญ่มันโตมานี้มันเกิดจากของเล็กๆน้อยๆ

อย่างชีวิตของเราอายุของเราเพิ่มมาได้ห้าสิบหกสิบนี่ มันต้องนับมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ตั้งแต่หนึ่งวันหนึ่งนาทีหนึ่งวินาที มาตลอดกาลนั้น มันโตขึ้นมาเพราะความเล็ก อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น ผู้มีปัญญาแล้วเมื่อการงานหรือหน้าที่ของเจ้าของนั้นไม่มีโทษแล้ว เกิดสบาย ความดีทำแล้ว กรรมที่ไม่ดีทำแล้วเดือดร้อนภายหลัง การงานอะไรทำแล้วเดือดร้อนในภายหลังกรรมนั้นไม่ดี กรรมอะไรที่เราทำด้วยกายแล้ว ด้วยวาจาแล้ว ด้วยใจแล้ว ภายหลังไม่เดือดร้อนกรรมนั้นดี อันนี้จริงหรือไม่ก็ดูเอาเถิด ถ้าทำอะไรไม่ค่อยดีแล้วมันก็เดือดร้อนภายหลัง

ฉะนั้น จึงให้มองถึงธรรมะ ธรรมะมันอยู่ที่ตัวของเรา ถ้าอยู่ที่ตัวของเรา เราพิจารณาธรรมะ เรารู้จักดีชั่วทั้งหลาย ฉะนั้นการกระทำความชั่วการกระทำความดี อย่าไปมองคนอื่นเลย จะทำความชั่วไปมองๆคนอื่นเขาเสีย เมื่อคนอื่นไม่มีแล้วเราก็กระทำ อย่าไปคิดอย่างนั้น ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น กลัวนายจะเห็น กลัวคนอื่นจะรู้ เราก็หลบๆไปทำคนเดียวเสียดีกว่า

นี่คนโง่ก็ต้องเป็นอย่างนี้ นึกว่าจะไปทำคนเดียวก็นึกว่าคนไม่เห็น แต่ทำนั่นใครไปทำ คนหรือใครไม่รู้ เราก็เป็นคน ไม่รู้เรื่อง อันนั้นมันดูถูกตัวเจ้าของเสียแล้ว เราไปทำอยู่ที่ไหนก็เราทำ เราทำอยู่ที่ไหนคนก็เห็น คนก็คือเราไม่ใช่คนอื่น ถ้าเราเห็นเช่นนี้แล้วไปทำที่ไหนก็ไม่ได้

ฉะนั้น เมื่อเราทำอะไรๆแล้ว ถ้าถูกต้องตามธรรมะแล้วมันสบาย จะนอนก็สบาย ยืนก็สบาย เดินก็สบาย ความสบายเช่นนี้ มันจะมีเงินล้านเงินโกฏิก็ช่างมันเถิด มีแล้วมันเดือดร้อนนั้นไม่เกิดประโยชน์อันใด บางทีบ้านหลังใหญ่โตก็จริงแต่มันเดือดร้อน อะไรทุกสิ่งทุกอย่างวุ่นวาย ก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน ไม่เกิดประโยชน์เลย เราทำงานทุกวันนี้ พอมีพอกินพอใช้พอสมควรแล้วนะ อันนี้ก็สามีภรรยามีความเห็นถูกต้องกันแล้วกลมเกลียวกันแล้ว อยู่นั้นก็พอสบายแล้ว แต่ความคิดของคนมันย่อมเป็นอย่างนี้นะ ถ้าจนแล้วอยากรวย ถ้ารวยแล้วอยากจนอีก ไปทำเหตุให้มันจนไปอีก ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ล่ะ

ครั้งแรกมันจนก็หาเงินหาทองก็รวยขึ้นมา เมื่อรวยขึ้นมาก็ลืม มีบ้านหลังนี้ก็อยากมีบ้านหลังนั้นอีก มีรถคันนี้ก็อยากมีรถคันนั้นอีก มีเมียคนนี้ก็อยากมีเมียคนนั้นอีก นี่แสวงหาทุกข์มาอีกแล้ว วุ่นอีก อันนี้เรียกว่าคนลืมตัวของเจ้าของ ไม่ใช่อย่างนั้น เราสันตุฏฐี ความยินดีในของที่มีอยู่นั่นแหละ เป็นคาถาเศรษฐีที่พระพุทธเจ้าของเราสอนไว้

ฉะนั้น วันนี้ที่ให้โอวาทแก่ญาติโยมทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้มีเกียรติทั้งหลาย มานั่งฟังโอวาทวันนี้ ถ้าหากวันใดที่มันผิดพลาดไม่สมเจตนาหมายของพวกท่านทั้งหลายนั้น ก็จงให้อภัย เลือกเอาแต่สิ่งที่มันดีนั้นไปประพฤติปฏิบัติ ธรรมะอันนี้เป็นธรรมะง่ายๆ เป็นธรรมะไม่ยาก ฟังง่ายๆ แต่ว่าปฏิบัติยากสักหน่อยหนึ่ง แต่ว่าถ้าหากใครเห็นโทษมันอย่างจริงจังแล้วก็ปฏิบัติง่าย และทิ้งมันทันที มันเป็นเช่นนั้น เหมือนกันกับคนไม่เห็นความจริงแล้ว ไม่เห็นความจริงนั้นไม่ยอม ทิ้ง เหมือนบุรุษเขาไปสุ่มปลา เมื่อสุ่มเข้าไปแล้วล่ะ เอามือล้วงลงไปคลำดู ไปจับสัตว์ตัว หนึ่งคล้ายงูคล้ายปลาไหล นี่สงสัยแล้ว ไปจับมันไว้ก็กลัวว่ามันจะกัด กลัวมันจะเป็นงู จะทิ้งมันก็กลัวมันจะเป็นปลาไหล สองอย่างก็เลยทั้งกลัวทั้งเอา ก็ไปจับมันขึ้นมา เมื่อมันพ้นน้ำขึ้นมาแล้วเห็นแต่คอมันลายๆ เป็นงู ไม่มีใครบอก นี่มันง่ายที่สุดถ้ามันเป็นอันตราย เพราะงูนี่มันกัดคน ถ้าเห็นว่าเป็นงูชัดเจนแล้ววางทันทีเลย ไม่มีใครบอกหรอก ตัวเราก็บอกเราไม่ทัน มันบอกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้จักของมัน

ถ้าเห็นเป็นบาปเป็นอกุศลทั้งหลายแล้วจิตเห็นแล้วก็วางทันที อันนี้ง่าย อะไรทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อเราเห็นโทษมันแล้ว เราก็ปฏิบัติได้ฉันนั้น อันใดเรายังไม่เห็นโทษมันนั้น ครึ่งๆ กลางๆ อยู่นั้นก็เห็นยากหน่อย จะต้องพิจารณา จะต้องภาวนา

อันนี้เป็นเหตุผลในวันนี้สำหรับในวันตรุษสงกรานต์ ที่พวกท่านทั้งหลายมารับโอวาทวันนี้ ผลที่สุดนี้ขอมอบธรรมะโอวาทคำสั่งสอนเหล่านี้ ให้พวกท่านทั้งหลาย ไปพินิจไปพิจารณา อันใดมันสมควรแก่ตน ท่านทั้งหลายแล้วก็นำมาประพฤติปฏิบัติให้สมควร เหมาะกับกาลกับเวลาของเจ้าของ

ผลที่สุดนี้ด้วยอำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยอันนี้ ขอพวกท่านทั้งหลายจงพากันอยู่เย็นเป็นสุขประสบธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราตลอดกาลนานเทอญ

.....................................................
ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดมีดับเป็นธรรมดา

-http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=30335


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 11, 2012, 02:01:06 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: « วันสงกรานต์ » (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: เมษายน 12, 2012, 08:59:40 pm »
 :13: อนุโมทนาครับ ขอบคุณนะครับพี่แป๋ม
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ สายลมที่หวังดี

  • ทีมงานกัลยาณมิตร
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 840
  • พลังกัลยาณมิตร 319
    • ดูรายละเอียด
Re: « วันสงกรานต์ » (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: เมษายน 13, 2012, 02:09:55 pm »
อนุโมทนา ขอบคุณนะค่ะพี่แป๋ม  :yoyo045: