เปิดกลลวงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไทยตั้งฐานในจีน
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการเจาะข่าวเด่น, Youtube.com โพสต์โดย LadyBimbettes
ตำรวจแถลงข่าวการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวไทย ที่ไปตั้งฐานในประเทศจีน พบ มีระบบการทำงาน แบบเดียวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน ที่มาตั้งฐานในประเทศไทย ได้ทั้งเงินเดือน และยังได้เปอร์เซ็นต์หากทำงานสำเร็จด้วย
เมื่อวานนี้ (17 พฤษภาคม) มีรายงานข่าวว่า มีการแถลงข่าวการจับกุมแก็งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งเป็นคนไทย แต่ไปตั้งฐานในมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน เพื่อหลอกลวงคนไทย โดยพ.ต.อ.กิตติ สะเภาทอง รองผบก.ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ได้เปิดเผยถึงความเป็นมา ในการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าวว่า การจับกุมในครั้งนี้ สืบเนื่องจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน ที่มาตั้งฐานในเมืองไทย เพื่อหลอกลวงคนในประเทศจีนได้ จากนั้นทางการไทยจึงประสานไปยังประเทศจีน เพื่อขยายผล และแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน
โดยตนได้รับคำสั่งให้เกาะติดเรื่องนี้ ตั้งแต่ที่เคยจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนที่มาตั้งฐานในไทยได้เมื่อต้นปี 2555 แล้วจึงได้ข้อมูลคดีที่อดีตเจ้าหน้าที่ราชการโอนเงินไปให้คนร้ายเป็นจำนวนสูงถึง 29 ล้านบาท จากนั้นเมื่อสอบสวนผู้ต้องหาจึงได้ข้อมูลของ นายยุทธศักดิ์ และผู้ต้องหาอีก 5 คน รวมเป็น 6 คน เมื่อตรวจสอบข้อมูล พบว่าอีก 5 คนดังกล่าว กลับมาจากจีนแล้ว ยกเว้นนายยุทธศักดิ์ที่ยังคงอยู่ในประเทศจีน จึงส่งข้อมูลให้ทางการจีนช่วยขยายผลต่อ
หลังจากเมื่อทางการจีนส่งเรื่องกลับมายังประเทศไทย ตนและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จึงรวบรวมข้อมูลก่อนเดินทางไปประเทศจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กระทั่งไปพบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน ที่หลอกลวงคนไทย แล้วพบว่า นายยุทธศักดิ์ ที่ตามตัวอยู่นั้น เป็นตัวสำคัญผู้อยู่เบื้องหลังแก๊งดังกล่าว ต่อมาทางการจีน ก็สามารถเข้าตรวจค้น และจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้อีกแก๊งหนึ่ง โดยพบว่า ในแก๊งนี้มีคนร้ายทั้งหมด 12 คน เป็นชาวไต้หวัน 2 คนไทย 10 คน เมื่อพบหลักฐานการกระทำผิดจึงมีการส่งเรื่องกลับมายังประเทศไทย ศาลจึงออกหมายจับ เพื่อให้นำตัวผู้ต้องหามาขยายผลต่อที่ประเทศไทยทันที ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน
จากการสืบสวนบื้องต้น กลุ่มผู้ต้องหาอ้างว่า โดนหลอกไปทำงานที่ประเทศจีน และถูกบังคับให้ทำงาน เพราะโดนยึดพาสสปอร์ตไป แต่จากการตรวจสอบพบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้งชาวไทย และชาวจีน มีระบบการทำงานที่เหมือนกันคือ มีการให้เงินเดือนอย่างชัดเจน โดยใน 3 เดือนแรก ผู้ต้องหาจะได้เงินเดือน เดือนละ 12,000 บาท ถ้าผ่านงานแล้วยังทำงานต่อ ก็จะได้รับเงินเดือน 15,000 บาท โดยขั้นตอนการหลอกลวงก็ได้มีการวางบท และแบ่งงานกันเป็น 3 ทีม คือ
ทีมที่ 1 ทำการแนะนำตัว เพื่อต้องขอข้อมูลตัวบุคคลจากผู้เสียหาย เมื่อได้ข้อมูลมาก็ส่งต่อไปยังทีมที่ 2
ทีมที่ 2 อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ทำการยัดเยียดข้อหา ว่าผู้เสียหายพัวพันกับคดีค้ายาเสพติด หรือมีคดีอื่น ๆ ซึ่งอาจโดนจับกุมในไม่ช้า เป็นต้น
ทีมที่ 3 อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง เสนอให้ความช่วยเหลือ โดยผู้เสียหายต้องทำตามเงื่อนไขเพื่อให้พ้นจากการถูกจับกุม แต่การให้ความช่วยเหลือนั้น ผู้เสียหายห้ามบอกใคร เพราะการช่วยเหลือนี้ถือเป็นความลับ จากนั้นก็จะหลอกให้โอนเงินต่อไป
ซึ่งผู้ต้องหา ยังสารภาพอีกว่า การแบ่งทีมเป็น 3 ชุดนี้ เมื่อหลอกผู้เสียหายสำเร็จ ในแต่ละทีมจะได้ส่วนแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ที่แตกต่างกัน เช่น ทีมที่ 1 จะได้รับ 3.5% ทีมที่ 2 ได้รับ 4% ทีมที่ 3 ได้รับ 5% และบางกรณี เช่น ทีมที่ 2 มาช่วยทีมที่ 3 ทำงาน ก็จะได้รับเงินรวมเป็น 7% ส่วนการหาเบอร์โทรศัพท์ของผู้เสียหายนั้น หัวหน้าใหญ่ชาวไต้หวันจะเป็นผู้จัดหามาให้จำนวนหลายหมื่นเลขหมาย เพื่อให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ทำการสุ่มโทร ซึ่งขณะนี้ทางการไทยได้ข้อมูลมาแล้วว่า บุคคลดังกล่าวคือใคร และกำลังเร่งประสานงานกับทางจีน เพื่อดำเนินการขยายผลเพื่อจับกุมต่อไป
พ.ต.อ.กิตติ ยังกล่าวทิ้งท้ายอีกว่า ผู้ต้องหาได้ออกปากเตือน หากพบว่ามีเบอร์โทรศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วย 66 หรือ + และต่อท้ายด้วยตัวเลขจำนวนหลาย ๆ ตัว ให้ระวัง หรืออย่ารับสาย และการที่คนร้ายอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเสนอความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายทางโทรศัพท์ หรืออ้างว่ามีการสอบปากคำ และลงบันทึกประจำวันทางโทรศัพท์นั้น ย้ำว่าไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด ดังนั้นขอเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อพวกมิจฉาชีพเหล่านี้ เพราะอาจยังคงมีแก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบนี้อีกเป็นจำนวนมาก
เจาะข่าว - ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 17May12-http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=xw1t6qp57jU-
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
รายการ เจาะข่าวเด่น
เจาะข่าว - ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 17May12-http://www.youtube.com/watch?v=xw1t6qp57jU-
-http://hilight.kapook.com/view/71432-
.