ผู้เขียน หัวข้อ: กราบพระ วัดบวรนิเวศและวัดชนะสงคราม  (อ่าน 5508 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: กราบพระ วัดบวรนิเวศและวัดชนะสงคราม
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2012, 05:46:12 am »
รักษ์วัดรักษ์ไทย : วัดบวรนิเวศวิหาร พระอารามแห่งธรรมราชา
-http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9550000120664-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
5 ตุลาคม 2555 11:03 น.    














พระอารามนาม “บวรนิเวศวิหาร” ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศเหนือของพระนคร เดิมชื่อว่า “วัดใหม่” สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ทรงสถาปนาวัดนี้ขึ้น ใกล้กับวัดรังษีสุทธาวาส วัดโบราณ ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิสรานุรักษ์ ทรงปฏิสังขรณ์ใหม่หมดในสมัยรัชกาลที่ 2

เมื่อ พ.ศ.2379 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอาราธนาสมเด็จพระอนุราชาธิราส เจ้าฟ้ามงกุฏฯ(ต่อมาคือรัชกาลที่ 4) ซึ่งทรงผนวชเป็นพระภิกษุประทับอยู่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาสในปัจจุบัน)ให้เสด็จมาครองวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเจ้าอาวาส

• วัดแรกแห่งคณะสงฆ์
ธรรมยุติกนิกาย

ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชอยู่ ทรงได้ปรับปรุงวางหลักเกณฑ์ความประพฤติ ปฏิบัติของพระสงฆ์ให้เป็นไปโดยถูกต้องตามพระธรรมวินัย โดยมีพระสงฆ์ประพฤติปฏิบัติตามอย่างพระองค์เป็นอันมาก ในคราวเสด็จมาครองวัดบวรฯ ก็ได้นำเอาการประพฤติปฏิบัตินั้นมาใช้ในการปกครองพระสงฆ์ที่นี่ด้วย

ซึ่งในครั้งเดิมเรียกพระสงฆ์คณะนี้ว่า “บวรนิเวศาทิคณะ” อันเป็นชื่อสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร ต่อมาจึงได้ชื่อว่า “คณะธรรมยุติกนิกาย” ซึ่งแปลว่า คณะสงฆ์ผู้ซึ่งปฏิบัติตามพระธรรมวินัย จึงถือว่าวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นสำนักเอกเทศแห่งคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายเป็นวัดแรก

นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งกำเนิดการศึกษาของคณะสงฆ์ คือ เป็นที่กำเนิดมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งแรกของไทยในปัจจุบัน และเป็นที่กำเนิดการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม ที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “นักธรรม” อันเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานของคณะสงฆ์ไทย

• พระอารามแห่งธรรมราชา

พุทธสถานแห่งนี้ถือเป็นพระอารามแห่งธรรมราชาโดยแท้ ด้วยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ในราชจักรีวงศ์ ผู้ทรงเป็นธรรมราชา ที่เสด็จออกทรงผนวชทุกพระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ตลอดถึงพระบรมวงศ์ชั้นสูงที่ทรงผนวชเกือบทุกพระองค์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ต่อเนื่องจนถึงรัชกาลปัจจุบัน

และยังเป็นที่เสด็จสถิตแห่งองค์สังฆราชา องค์ประมุขของคณะสงฆ์ไทย 4 พระองค์ คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

• พุทธสถานประดิษฐาน
พระพุทธรูปสำคัญของไทย

วัดบวรนิเวศวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญของไทย ได้แก่ พระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดา ซึ่งสร้างโดยพระมหาธรรมราชาลิไทย สมัยกรุงสุโขทัย สมัยเดียวกับพระพุทธชินราช และทั้ง 3 องค์เคยประดิษฐานอยู่ด้วยกัน ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก นอกจากนี้ ยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบาทคู่บนศิลาแผ่นใหญ่สมัยสุโขทัย และพระไสยา(พระนอน)สมัยสุโขทัย ที่งดงาม

• หลอมรวมสองวัด
เป็นหนึ่งเดียว

ในสมัยรัชกาลที่ 5 วัดรังษีสุทธาวาสเสื่อมโทรมลง กอปรกับมีพระภิกษุสามเณรจำพรรษาอยู่น้อย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ขณะทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงมีพระดำริที่จะบำรุงวัดรังษีฯให้กลับรุ่งเรือง เพราะเป็นวัดที่อยู่ติดกับวัดบวรฯ เพียงแค่คูน้ำกั้น แต่ขัดด้วยเป็นคนละวัด

ครั้นถึงรัชกาลที่ 6 จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตรวมวัดรังษีฯเข้ากับวัดบวรฯ เพื่อจะได้จัดการบำรุงได้อย่างเต็มที่ วัดรังษีฯจึงได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวัดบวรฯ และเรียกส่วนที่เป็นวัดรังษีฯเดิมว่า “คณะรังษี” มาจนทุกวันนี้

ส่วนถาวรวัตถุในเขตวัดรังษีฯเดิม อาทิ อุโบสถ วิหาร และพระเจดีย์ ได้รับการบำรุงรักษาให้คงดีโดยลำดับโดยท่านผู้ครองวัดบวรฯต่อๆมา

ขณะเดียวกัน วัดบวรฯเองก็ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์เรื่อยมา โดยสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ เนื่องในการผนวชสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฏราชกุมาร และทรงพระกรุณาโปรดให้มีการสมโภชพระพุทธชินสีห์ พร้อมทั้งฉลองพระอารามที่ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ด้วย

ต่อมาได้มีการบูรณะครั้งใหญ่อีกครั้งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว ซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดให้มีการสมโภชพระเจดีย์ที่ประดิษฐานพระบรม สารีริกธาตุ ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จไปในการพระราชพิธีฉลองสมโภช ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2508

ในปี 2550 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้โปรดให้คณะกรรมการโครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดำเนินการโครงการบูรณะพระเจดีย์และอาคารบริวาร เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550

เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2555 สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชพระเกศรัศมีทองคำลงยา ราชาวดีพระพุทธชินสีห์ และสมโภชพระอารามที่บูรณปฏิสังขรณ์เสร็จสมบูรณ์

วัดบวรนิเวศวิหาร กำหนดจัดงานฉลองพระชันษา 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ระหว่างวันที่ 3 ตุลาคม 2555 – วันที่ 3 ตุลาคม 2556





(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 142 ตุลาคม 2555 โดย สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์)

-http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9550000120664-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: กราบพระ วัดบวรนิเวศและวัดชนะสงคราม
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2012, 05:53:40 am »
108 เส้นทางออมบุญ

ออมบุญเพื่อความสำเร็จทั้งปวง (ภาคกลาง)

วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร   กรุงเทพมหานคร

โดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

 
-http://www.moohin.com/108tripsboon/108trips006c010.shtml-
 

วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร  กรุงเทพมหานคร

 

            เมือใดที่ชีวิตมีอุปสรรคหลายๆคนได้หันหน้าเข้าวัด ใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ  และวัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร  เป็นหนึ่งในศาสนาสถานอันศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพุทธมักจะนึกถึงในอันดับต้นๆ อาจจะเป็นด้วยชื่อของวัดที่มีความเป็นมงคลถึงชัยชนะเหนือการศึกสงครามและอริราชศัตรูในประวัติศาสตร์ไทย

 

            ตามประวัตินั้นเล่าว่า  วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหารนั้น  เป็นวัดที่มีตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา  มีชื่อเรียกว่า “วัดกลางนา” โดยสมัยรัชกาลที่ 1 ทรงโปรดเกล้าให้พระราชคณะฝ่ายรามัญเป็นผู้ดูแล  เพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารมอญในกองทัพของสมเด็จพรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท  ในการทำศึกสงครามครั้งสำคัญต่างๆ โดยได้ใช้ชื่อเรียกวัดแห่งนี้เป็นภาษามอญต่อมาว่า “วัดตองปุ” ตามชื่อเดิมของวัดตองปุเดิมในสมัยอยุธยา

 

            มีเรื่องเล่าว่าครั้งเมื่อสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท  ทรงกรีฑาทัพกลับพระนครหลังจากทรงมีชัยในสงครามเก้าทัพ  ทรงทำพิธีสรงน้ำและเปลี่ยนเครื่องทรงตามพระราชพิธีโบราณที่วัดแห่งนี้ ก่อนเสด็จเข้าพระบรมมหาราชวัง  ต่อมาภายหลังได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ขึ้นใหม่  แล้วถวายเป็นพระอารามหลวง รัชกาลที่ 1 จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า “วัดชนะสงคราม” เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทที่ทรงมีชัยชนะในศึกทั้ง 3 ครั้ง

 

            ปัจจุบันวัดชนะสงครามราชวรมหาวิหารเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ที่มีความงดงามยิ่ง  โดยพระอุโบสถนั้นแสดงถึงเอกลักษณ์ของฝีมือของสกุลช่างวังหน้าภายในพระอุโบสถนั้นเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง  ปางมารวิชัย พระราชทานนามว่า พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฏฐ์ มเหทธิศักดิ์ปูชนียะ  ชยันตะโคดม บรมศาสดาอนาวรญาณ

 

 

สถานที่ตั้ง

 

            ถ.จักรพงษ์  แขวงชนะสงคราม  เขตพระนคร  กรุงเทพฯ

 

ความเชื่อและวิธีการบูชา

 

            มีความเชื่อว่า หากได้มาสักการะพระประธานในพระอุโบสถ  และพระรูปของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทที่วัดชนะสงคราม  จะทำให้มีชัยชนะเหนือศัตรู และผ่านพ้นอุปสรรคทั้งปวงได้  รวมทั้งชีวิตนั้นจะประสบผลสำเร็จสมตามความมุ่งมาดปรารถนา  ไหว้พระประธานในพระอุโบสถ  ด้วยธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม และดอกบัว  สำหรับสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท  ไหว้ด้วยธูป 5  ดอก เทียน 1 เล่ม พร้อมด้วยดอกบัว  1 ดอก

 

เทศกาล งานประเพณี

 

            เทศกาลส่วนใหญ่ขึ้นกับวันสำคัญทางศาสนา  โดยเฉพาะเทศกาลปีใหม่  วันมาฆบูชา  วันวิสาขบูชาและวันเข้าพรรษาจะเปิดให้สักการบูชารอยพระพุทธบาท

 

วันและเวลาเปิด – ปิด

 

            เปิดให้สักการะทุกวัน  ตั้งแต่เวลา  08.00 - 16.00 น

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: กราบพระ วัดบวรนิเวศและวัดชนะสงคราม
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2012, 09:00:07 pm »
อนุโมทนาครับ พี่หนุ่ม :13:
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: กราบพระ วัดบวรนิเวศและวัดชนะสงคราม
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2012, 07:27:45 am »
วัดชนะสงคราม


-http://pirun.ku.ac.th/~b4927046/mon3_6.html-




วัดชนะสงครามเป็น ๑ ใน ๙ วัดที่ควรมากราบไหว้เพื่อเสริมความสิริมงคล มีความเชื่อกันว่า ผู้ที่มากราบไหว้บูชา จะ มีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง สิ่งอันควรสักการะคือพระประธานในพระอุโบสถ และสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท จุดธูป ๕ ดอก เทียน ๑ เล่ม พร้อมดอกบัว ๑ ดอก

วัดชนะสงครามตั้งอยู่เลขที่ ๗๗ถนนจักรพงษ์ แขวง บางลำพู เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
วัดชนะสงครามในอดีต เป็นวัดโบราณขนาดเล็ก สร้างในสมัยอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้าง เดิมเรียกว่า “วัดกลางนา” เพราะบริเวณรอบวัดเป็นทุ่งนา ต่อมาสมัยรัชกาลที่ ๑ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงรวบรวมชายฉกรรจ์ชาวมอญจาก พื้นที่ต่างๆ เข้ามาเป็นกองกำลังทหารในการสู้รบกับพม่า และให้ครอบครัวทหารเหล่านั้นตั้งหลักฐานอยู่รอบวัดกลางนา พร้อมทั้งให้ก่อสร้างปฎิสังขรณ์วัดกลางนา เพื่อให้พระสงฆ์มอญจำพรรษา โดยลอกเลียนนามวัดและขนบธรรมเนียม “วัดตองปุ” ซึ่งเป็นวัดที่พระสงฆ์มอญพำนักอยู่ในกรุงศรีอยุธยาและลพบุรี
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขร้างศึกกับพม่าแล้ว สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้บูรณะวัดตองปุใหม่ทั้งวัด ได้แก่พระอุโบสถ กุฎิสงฆ์ พร้อมทั้งถาวรวัตถุอื่น ๆ เมื่อสำเร็จ แล้วจึงน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า “วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร” เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาททรงมีชัยชนะต่อพม่าใน การรบทั้ง ๓ ครั้ง ตราบจนทุกวันนี้

รัชกาลที่ ๑ ทรงโปรดให้วัดตองปุเป็นวัดพระสงฆ์ฝ่ายมอญ เพื่อตอบแทนคุณความดีและเทิดเกียรติทหารมอญใน กองทัพสมเด็จกรมพระวังบวร ฯ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้กับพม่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามเก้าทัพ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘ สงครามที่ท่าดินแดงและสามสบ เมื่อ พ.ศ.๒๓๒๙ และสงครามที่ป่าซาง นครลำปาง เมื่อ พ.ศ.๒๓๓๐

นอกจากเป็นที่พำนักสงฆ์ฝ่ายมอญซึ่งมาจากชุมชนมอญ หลายแห่งแล้ว วัดชนะสงครามในอดีตยังเป็นศูนย์กลางของคนมอญ ทั้งไปมาหาสู่และเป็นที่พักแรมของคนมอญในการสัญจรไปมาย่านพื้นที่แถบลุ่ม น้ำเจ้าพระยา เช่น บางกระดี่ พระประแดง สมุทรสาคร ปากเกร็ด สามโคก และอยุธยา เมื่อเดินทางผ่านมาถึงตรงวัดชนะสงคราม ก็เข้าจอดเรือพักแรม หุงหาอาหาร แวะเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องที่อยู่ในบริเวณใกล้วัด แล้วจึงค่อยออกเรือเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง เจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) ผู้นำทหารฝ่ายมอญ รับราชการมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากสินจนถึงรัชกาลที่ ๔ บ้านของท่านตั้งอยู่ใกล้วัดชนะสงคราม ที่ริมกำแพงพระนครตอนถนนพระอาทิตย์ เมื่อกรมพระนเรศวรฤทธิ์ประสูติในปีเถาะ พ.ศ.๒๓๙๘ นั้น เจ้าพระยามหาโยธามีความชื่นชมโสมนัสมาก ด้วยมีหลานเป็นพระราชกุมาร เป็นหลานโดยตรงทางเจ้าจอมมารดากลิ่น ถึงทำหนังสือมอบเวนที่บ้านถนนพระอาทิตย์ถวายเป็นของขวัญสมโภช กรมพระนเรศ ฯ ตั้งแต่แรกประสูติ

ในสมัยรัชกาลที่ ๒ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ทรงนำไม้ที่รื้อพระพิมานดุสิตา ซึ่งเคยเป็นหอพระในพระราชวังบวรสถานมงคล ไปสร้างเสนาสนะไว้ที่วัดชนะสงคราม แต่ถูกระเบิดทำลายเมื่อคราวเกิดสงครามมหาเอเซียบูรพา ต่อมารัชกาลที่ ๔ โปรดให้สร้างกุฎิใหม่แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๓๙๖

พระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระราชอุทิศพระราชทรัพย์ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ดำเนินการต่อ การก่อสร้างมาแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระราชทานพระราชทรัพย์ให้ราชบัณฑิตยสภาดำเนินการก่อสร้าง ขณะนั้นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงค์ราชานุภาพเป็นนายกราชบัณฑิตยสภา และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงดำเนินการก่อสร้างจนเสร็จสิ้น ได้มีพิธีอัญเชิญพระอัฐิจากพระราชวังบวรสถานมงคลไปประดิษฐานใน พ.ศ.๒๔๗๐

ปูชนียวัตถุและเสนาสนะ
พระอุโบสถ ตั้งอยู่ตรงกลางด้านทิศตะวันออก ล้อมด้วยกำแพงแก้ว เดิมในสมัยวัดกลางนาเป็นพระอุโบสถขนาดเล็ก ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๑ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทได้ขยายให้มีขนาดกว้าง ๑๓ วา ๒ ศอก ยาว ๒๐ วา ๒ ศอก สูง ๑๕ วาเศษ มีลักษณะเป็นโรงโถง มีเสารายอยู่ข้างใน ฝาผนังก่ออิฐถือปูน หน้าบันแกะสลักเป็นรูปซุ้มประตู มี นารายณ์ทรงครุฑ เบื้องบนล้อมรอบด้วยเทพชุมนุม ภายในวงล้อมลายกนก มีช่อฟ้าใบระกา หางหงส์ ซุ้มประตูเป็นรูปปั้น ลายกนก บานประตูจำหลักลายกนก ลงรักปิดทองประดับกระจก ล้อมกรอบด้วยรูปข้าวหลามตัด ด้านในมีภาพจิตรกรรม เขียนสีรูปเทวดา อสูร ยักษ์ เสี้ยวกางและรูปอื่นๆ ติดพันด้วย สัตว์ประหลาด ตามจินตนาการของช่างเขียนในสมัยนั้น


พระอุโบสถ วัดชนะสงคราม

พระประธานนามว่า “พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฎฐ์ มเหทธิศักดิ์ปูชนียะชยันตะโคดม บรมศาสดาอนาวรญาณ” เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย หน้าตัก กว้าง ๒.๕๐ เมตร สูง ๓.๕๐ เมตร ประดิษฐานอยู่บนฐานสูง ๒ เมตร เดิมสูง ๑.๓๐ เมตร มีอัครสาวกยืนประนมมืออยู่ด้านหน้าพระประธาน ๒ องค์ เบื้องหลังพระประธานมีประภามณฑลโพธิพฤกษ์ และภาพจินตนาการ เบื้องบนมีฉัตรกั้น



พระประธาน ภายในพระอุโบสถวัดชนะสงคราม


มีเรื่องเล่ากันว่า เดิมองค์พระมีขนาดเล็ก เป็นปูนปั้นบุด้วยดีบุก ครั้นเมื่อสมเด็จกรมพระราชวังบวรฯเสด็จกลับจาก สงครามเก้าทัพ ได้หยุดพัก ณ วัดแห่งนี้ ทรงถอดฉลองพระองค์ลงยันต์ (เสื้อยันต์) คลุมองค์พระถวายเป็นพุทธบูชา ช่างได้โบกปูนทับทำให้องค์พระใหญ่ขึ้นดังปัจจุบัน
กุฎิสงฆ์ แบ่งเป็น ๑๖ คณะ จัดเป็น ๔ แถว นับจาก ทิศเหนือมาทิศใต้ โดยจัดให้กุฎิแถวที่ ๑ และ ๒ สำหรับพระ สงฆ์ที่มาจากจตุรทิศ และกุฎิแถวที่ ๓ และ ๔ สำหรับพระสงฆ์ฝ่ายมอญ กุฎิที่สำคัญคือ “กุฎิเจ้าอาวาสหลังเดิม” ซึ่งปัจจุบัน ย้ายมาปลูกอยู่ภายในคณะ ๒


วัดชนะสงคราม: พระอุโบสถ, กุฏิพระสงฆ์

ลำดับเจ้าอาวาสที่ปกครองวัดชนะสงคราม ๑. พระมหาสุเมธาจารย์ พ.ศ.๒๓๒๕
๒. พระสีลวราลังการ (มรณภาพ พ.ศ.๒๔๐๐)
๓. พระสุเมธาจารย์ (ศรี) พ.ศ.๒๔๑๐-๒๔๕๕
๔. พระประสิทธิศีลคุณ (พุธ) พ.ศ.๒๔๕๕-๒๔๕๖
๕. พระครูภาวนาพิจารณ์ (ลืม) พ.ศ.๒๔๕๗-๒๔๖๔
๖. พระสุเมธมุนี (ลับ สงฺกิจโจ) พ.ศ.๒๔๖๔-๒๔๘๕
๗. พระธรรมทัศนาธร (ทองสุก สุทัสโส) พ.ศ.๒๔๙๒-๒๕๐๘
๘. สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสรมหาเถร) พ.ศ.๒๕๐๙-ปัจจุบัน

พระบรมราชประวัติสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
บรรพบุรุษของพระองค์สืบเชื้อสายจากขุนนางไทยเชื้อสายมอญกับ เจ้าแม่วัดดุสิด เชื้อสายราชวงศ์สุโขทัย มาตั้งแต่ รัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.๒๑๗๒-๒๑๙๙) จนถึงพระราชบิดา คือ พระพินิจอักษร (ทองดี) เสมียนตรากรม มหาดไทยกับพระราชมารดา คือ ดาวเรือง (บางแห่งว่าหยก) เป็นครอบครัวมีฐานะมั่งคั่งได้สร้างวัดใกล้บ้านชื่อ วัดทอง (ใน รัชกาลที่ ๔ เปลี่ยนเป็น วัดสุวรรณดาราม ตามชื่อผู้สร้าง ดังเห็นว่าพ้องกับชื่อ ดาวเรือง) ทั้งสอง มีบุตรด้วยกัน ๕ คน คือ
๑. กรมพระเทพสุดาวดี (หญิง) พระนามเดิม สา สิ้น พระชนม์ในรัชกาลที่ ๑ พ.ศ.๒๓๔๒
๒. ขุนรามณรงค์ (ชื่อเดิมไม่ทราบ) ถึงแก่กรรมครั้งกรุงเก่า ภายหลังได้รับสถาปนาเป็น พระเจ้ารามณรงค์
๓. กรมพระศรีสุดารักษ์ (หญิง) พระนามเดิม แก้ว สิ้นพระชนม์ ในรัชกาลที่ ๑ ก่อนพระพี่นาง ๔ เดือน
๔. สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระนามเดิม ทองด้วง พระปฐมบรมกษัตริย์ราชวงศ์จักรี พระบรมราชสมภพ พ.ศ.๒๒๗๙ เสด็จสวรรคต พ.ศ.๒๓๕๒
๕. สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระนามเดิมว่า บุญมา ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๒๘๖ (ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีกุน) เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัส บดีที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๔๖ (แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีกุน)
สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท มีพระภคินี และพระอนุชาต่างพระมารดา อีก ๒ พระองค์คือ กรมหลวงนรินทรเทวี (หญิง) พระนามเดิม กุ ต้นสกุล นิรินทรกุล ณ อยุธยา และเจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา (ชาย) พระนามเดิม ลา ต้นสกุล เจษฎางกูร ณ อยุธยา
เมื่อบุญมาอายุได้ ๑๖ ปี บิดาได้นำไปถวายตัวเป็น มหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็นนาย สุจินดา ตำแหน่งมหาดเล็กหุ้มแพร เมื่ออายุ ๒๐ ปี
นายสุจินดา ได้เข้าร่วมกับพระยาตากสิน ที่เมืองจันทบุรี ต่อมาได้รับตำแหน่งพระมหามนตรี เจ้ากรมพระตำรวจ ศักดินา ๒,๐๐๐ ขณะมีอายุ ๒๔ ปี และได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์ เป็นลำดับดังนี้
พ.ศ. ๒๓๑๑ เมื่อพระเจ้าตากสินไปตีก๊กเจ้าพิมายสำเร็จ ได้เลื่อนพระมหามนตรี เป็น พระยาอนุชิตราชา
พ.ศ.๒๓๑๒ เมื่อพระยาอนุชิตราชาไปตีเขมร ได้เมืองเสียมราฐกลับมาได้เลื่อนขึ้นเป็น พระยายมราช
พ.ศ.๒๓๑๓ เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินตีก๊กเจ้าพระฝางสำเร็จ โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระยายมราชขึ้นเป็น เจ้าพระ ยาสุรสีห์พิษณวาธิราช ผู้สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลก
พ.ศ.๒๓๒๕ เมื่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นแล้ว สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ตำแหน่งพระมหาอุปราช (วังหน้า)
ครั้น พ.ศ.๒๓๒๘ พระเจ้าปดุงแห่งพม่าแต่งทัพทั้งทางบกและทางเรือรวม ๙ ทัพ เคลื่อนเข้าไทย ๕ ทิศทาง เรียกศึก ครั้งนี้ว่าศึกเก้าทัพ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เป็นแม่ทัพไปยับยั้งทัพพม่าทางด่านเจดีย์สามองค์ได้สำเร็จ ทั้งที่มีกำลังพลน้อยกว่าครึ่งของพม่า แสดงถึงพระปรีชาสามารถในการทหาร และยากจะหาผู้ใดเปรียบ
ตลอดพระชนม์ชีพที่ทรงรับราชการ รวมระยะเวลา ๓๕ ปี จนกระทั่งสงครามครั้งสุดท้ายกับพม่าที่เมืองล้านนา และ รวมตลอดพระชนม์ชีพ พระองค์ทำสงครามถึง ๒๔ ครั้ง เพื่อกอบกู้เอกราชและสร้างความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
ความยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล พูดอย่างชาวบ้าน ว่า ท่านเกิดมาเพื่อรบ หรือ เกิดมาพร้อมกับดาบ แม่ทัพพม่าที่เป็นคู่รบให้สมัญญานามว่า “พระยาเสือ” ตรงกับพระนามที่ได้รับการอุปราชาภิเษก นับว่าท่านเป็นนักรบ โดยแท้

http://pirun.ku.ac.th/~b4927046/mon3_6.html

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: กราบพระ วัดบวรนิเวศและวัดชนะสงคราม
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2012, 07:32:45 am »
พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฎฐ์ มเหทธิศักดิ์ปูชนียะชยันตะโคดม บรมศาสดาอนาวรญาณ





พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฎฐ์ มเหทธิศักดิ์ปูชนียะชยันตะโคดม บรมศาสดาอนาวรญาณ.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: กราบพระ วัดบวรนิเวศและวัดชนะสงคราม
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2012, 07:06:45 pm »
.



เคยมีประสบการณ์ที่อัศจรรย์

สมัยก่อน พระบรมรูปฯองค์กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ยังไม่มีศาลา มีเพียงแต่สัปทนกั้น

ผมจะไปถ่ายรูป(สมัยนั้นเป็นฟิมล์) ผมขอท่านขอให้ลมไม่พัด (รูปจะได้ออกมาสวย หากลมพัด ปลายสัปทนจะปลิวตามแรงลม) ปรากฎว่า ลมหยุดพัดครับ พอถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อย ลมพัด(ค่อนข้างแรง)ต่อครับ

หากมีเวลา เข้าไปกราบองค์พระประธานและพระบรมรูปกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ดีมากครับ


.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)