อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > พระอริยบุคคล
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 15 : สุขวรรค
ฐิตา:
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 15 : สุขวรรค
01. เรื่องระงับความทะเลาะแห่งหมู่พระญาติ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในแคว้นสักกะ ทรงปรารภหมู่พระญาติ เพื่อระงับความทะเลาะ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า สุสุขํ วต เป็นต้น
แคว้นกบิลพัสดุ์ของพวกเจ้าศากยะ และแคว้นเทวทหะของพวกเจ้าโกลิยะ ตั้งอยู่คนละฝั่งของแม่น้ำโรหิณี พวกเกษตรกรของทั้งสองแคว้นต่างทำนาด้วยการใช้น้ำจากแม่น้ำแห่งนี้ มีอยู่ปีหนึ่ง เกิดภาวะฝนแล้งมาก น้ำในแม่น้ำมีน้อยไม่เพียงพอที่จะนำไปใช้ในการในเลี้ยงข้าวกล้าและพืชอย่างอื่นที่เพาะปลูกไว้ ทำให้ข้าวกล้าและพืชอย่างอื่นเหี่ยวเฉาและตายไป เกษตรกรของทั้งสองแคว้นต้องการจะผันน้ำจากแม่น้ำไปใช้ในส่วนของตนเพิ่มปริมาณมากขึ้น และไม่ต้องการให้อีกฝ่ายหนึ่งผันน้ำไปใช้ ทั้งสองฝ่ายอ้างว่า หากข้าวกล้าของฝ่ายตนเสียหายแต่ละฝ่ายก็ไม่พร้อมที่จะนำเงิน หรือทรัพย์อื่นไปซื้อหรือแลกเปลี่ยนอาหารจากอีกฟากฝั่งหนึ่งมาใช้บริโภค
เมื่อประชาชนของทั้งสองแคว้นต่างต้องการน้ำเพื่อนำมาใช้ของฝ่ายตนเพียงฝ่ายเดียวอย่างนี้ และก็มีการกล่าวกระทบกระทั่งเปรียบเปรย มีการกล่าวหา และมีการนำเรื่องบรรพบุรุษของอีกฝ่ายมาก่นด่าประณามประชดประชันซึ่งกันและกัน จึงเกิดความขัดแย้งกันขึ้น เริ่มแรกก็เป็นการขัดแย้งระหว่างเกษตรกรกับเกษตรกรของทั้งสองฝั่ง และได้ลุกลามเป็นความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าของทั้งสองเมือง และระหว่างผู้ปกครองประเทศในที่สุด จึงเกิดความตึงเครียดระหว่างสองเมือง เมื่อการเจรจาต่อรองกันทางการทูตไม่เป็นผล ก็มีการตระเตรียมอาวุธยุทโธปรณ์ที่พร้อมนำมาใช้ประหัตถ์ประหารกัน เป็นการพัฒนาความขัดแย้ง ไปสู่การใช้อาวุธเป็นเครื่องมือในนโยบายต่างประเทศ
พระศาสดา ทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทอดพระเนตรเห็นหมู่พระญาติทั้งสองฝ่าย ตั้งกองกำลังเรียงรายอยู่สองฝั่งแม่น้ำ กำลังตระเตรียมทำสงครามแย่งน้ำกันเช่นนั้น ทรงดำริว่า หากพระองค์ไม่เสด็จไปห้ามปรามพวกเขาไว้ พวกพระญาติก็จะรบกันถึงแก่พินาศทั้งสองฝ่าย พระองค์จึงได้เสด็จไปทางอากาศ แล้วประทับนั่ง อยู่ในอากาศตรงกลางแม่น้ำโรหิณี เมื่อพวกพระญาติเห็นพระศาสดาก็ทิ้งอาวุธ และทำการถวายบังคม พระศาสดาเมื่อได้ทรงสอบถามทั้งสองฝ่ายแล้ว ได้ตรัสเตือนพระญาติทั้งสองฝ่าย แล้วตรัสว่า “ มหาบพิตร เพราะเหตุไร? พวกท่านจึงกระทำกันแบบนี้ หากไม่มีตถาคตเสียแล้ว ในวันนี้ โลหิตก็จะไหลนอง ท่านทั้งหลาย ทำสิ่งที่ไม่ควร ท่านทั้งหลาย เป็นผู้มีเวร 5 แต่ตถาคตไม่มีเวร ท่านทั้งหลายเป็นผู้แสวงหากามคุณอยู่ แต่ตถาคตไม่ได้แสวงหา”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท สามพระคาถานี้ว่า
สุสุขํ วต ชีวาม
เวริเนสุ อเวริโน
เวริเนสุ มนุสเสสุ
วิหราม อเวริโน ฯ
(อ่านว่า)
สุสุขัง วะตะ ชีวามะ
เวริเนสุ อะเวริโน
เวริเนสุ มะนุดเสสุ
วิหะรามะ อะเวริโน.
สุสุขํ วต ชีวาม
อาตุเรสุ อนาตุรา
อาตุเรสุ มนุสฺเสสุ
วิหราม อนาตุรา ฯ
(อ่านว่า)
สุสุขัง วะตะ ชีวามะ
อาตุเรสุ อะนาตุรา
อาตุเรสุ มะนุดเสสุ
วิหะรามะ อะนาตุรา.
(อ่านว่า)
สุสุขํ วต ชีวาม
อุสฺสุเกสุ อนุสฺสุกา
อุสฺสุเกสุ มนุสฺเสสุ
วิหะราม อนุสสฺสุกา ฯ
(อ่านว่า)
สุสุขัง วะตะ ชีวามะ
อุดสุกเกสุ อะนุดสุกา
อุดสุเกสุ มะนุดเสสุ
วิหะรามะ อะนุดสุกา.
(แปลว่า)
ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีเวรกัน
พวกเรา ไม่มีเวร เป็นอยู่สบายดีหนอ
ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีเวรกัน พวกเรา ไม่มีเวรอยู่ .
ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความเดือดร้อนกัน
พวกเรา ไม่มีความเดือดร้อน เป็นอยู่สบายดีหนอ
ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความเดือดร้อนกัน
พวกเรา ไม่มีความเดือดร้อนอยู่.
ในหมู่มนุษย์ผู้ขวนขวายกัน
พวกเรา ไม่มีความขวนขวาย เป็นอยู่สบายดีหนอ
ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความขวนขวาย
พวกเรา ไม่มีความขวนขวายอยู่.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
-http://www.reurnthai.com/index.php?topic=2557.30
ฐิตา:
02. เรื่องมาร
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในแคว้นสักะ ทรงปรารภหมู่พระญาติ เพื่อระงับความทะเลาะ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า สุสุขํ วต เป็นต้น
ในวันหนึ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูในข่ายคือพระญาณ ทรงทราบว่าเด็กหญิง 500 ในหมู่บ้านปัญจศาลาจะได้บรรลุโสดาบัน จึงได้เสด็จไปประทับยังที่ใกล้หมู่บ้านนั้น เด็กหญิงเหล่านั้นได้พากันไปอาบน้ำอยู่ที่ริมแม่น้ำ แล้วแต่งตัวเดินมุ่งหน้ากลับไปที่หมู่บ้าน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พระศาสดาเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านปัญจศาลาแห่งนั้น แต่ไม่มีชาวบ้านผู้ใดนำภัตตาหารมาใส่บาตรเพราะพวกชาวบ้านถูกมารเข้าสิง
เมื่อพระศาสดาเสด็จกลับมา มารไปทูลถามว่าพระองค์ได้ข้าวบ้างไหม พระศาสดาตรัสว่า “มารผู้มีบาป ก็ท่านเป็นผู้ทำให้เราไม่ได้ข้าวโดยเข้าสิงร่างของชาวบ้านมิใช่หรือ” มารทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้ากระนั้น ขอพระองค์เสด็จเข้าไปอีกเถิด” ที่มารทูลเช่นนี้ก็ด้วยมีความคิดว่า หากพระสมณะเสด็จเข้าไปอีก มารก็จะเข้าสิงในร่างของชนทั้งปวง แล้วปรบมือกระทำการหัวเราะเยาะเย้ย ข้างหน้าพระศาสดา ส่วนเด็กหญิง 500 คนเหล่านั้น ก็มาถึงหมู่บ้าน ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ได้ยืนอยู่ในที่สมควรแห่งหนึ่ง มารได้ทูลถามพระศาสดาว่า “เมื่อพระองค์ไม่ได้อาหาร จะมีความทุกข์อันเกิดจากความหิวบีบคั้นบ้างไหม?” พระศาสดาตรัสว่า “มารผู้มีบาป ในวันนี้ เราแม้ไม่ได้อะไรๆ ก็จักยังกาลให้ล่วงไปด้วยความสุขอันเกิดจากปีติเท่านั้น ดุจพรหมในเทวโลกชั้นอาภัสระ”
จากนั้น พระศาสดาตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
สุสุขํ วต ชีวาม
เยสนฺโน นตฺถิ กิญฺจนํ
ปีติภกฺขา ภวิสฺสาม
เทวา อาภสฺสรา ยถา.
(อ่านว่า)
สุสุขัง วะตะ ชีวามะ
เยสันโน นัดติ กินจะนัง
ปีติพักขา พะวิดสามะ
เทวา อาพัดสะรา ยะถา.
(แปลว่า)
เราผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล
ย่อมเป็นอยู่สบายดีหนอ
เราจักเป็นผู้มีปีติเป็นภักษา
เหมือนเหล่าเทวดาชั้นอาภัสระ.
เมื่อการแสดงธรรมจบลง เด็กหญิงทั้ง 500 นางเหล่านั้น ได้บรรลุโสดาปัตติผล.
ฐิตา:
03. เรื่องปราชัยของพระเจ้าโกศล
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภความปราชัยของพระเจ้าโกศล ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ชยํ เวรํ เป็นต้น
พระเจ้าโกศลทรงสู้รบกับพระเจ้าอชาตศัตรู โดยฝ่ายพระเจ้าโกศลทรงพ่ายแพ้ถึง 3 ครั้ง พระเจ้าอชาตศัตรูเป็นโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร และพระนางเวเทหิ ซึ่งเป็นน้องสาวของพระเจ้าโกศล เพราะฉะนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูจึงมีศักดิ์เป็นหลานของพระเจ้าโกศล เมื่อพระเจ้าโกศลทรงพ่ายแพ้หลานถึง 3 ครั้งเช่นนี้ ก็ทรงดำริว่า “เราไม่อาจจะยังเด็ก ซึ่งมีปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมให้แพ้ได้ ประโยชน์อะไร ด้วยความเป็นอยู่ของเรา ?” พระองค์ได้ทรงปฏิเสธที่จะเสวยพระกระยาหาร เสด็จผทมบนพระแท่น ข่าวการพ่ายแพ้ของพระเจ้าโกศลได้ขจรไปทั่งเมือง ภิกษุทั้งหลาย เมื่อทราบข่าวนั้นก็ได้กราบทูลพระศาสดา พระศาสดาทรงทราบรายงานของภิกษุทั้งหลาย ตรัสว่า “ ภิกษุทั้งหลาย แม้ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์เหมือนกัน” จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
ชยํ เวรํ ปสวติ
ทุกฺขํ เสติ ปราชิโต
อุปสนฺโต สุขํ เสติ
หิตวา ชยปราชยํ ฯ
(อ่านว่า)
ชะยัง เวรัง ปะสะวะติ
ทุกขัง เสติ ปะราชิโต
อุปะสันโต สุขัง เสติ
หิดตะวา ชะยะปะราชะยํ.
ผู้ชนะย่อมก่อเวร
ผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์
ผู้สงบระงับ ละความชนะและความแพ้ได้แล้ว
ย่อมอยู่เป็นสุข.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
ฐิตา:
04. เรื่องเด็กหญิงแห่งตระกูลคนใดคนหนึ่ง
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภกุมาริกาคนใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า นตฺถิ ราคสโม อคฺคิ เป็นต้น
ในวันแต่งงานของกุมาริกา(หญิงสาว)กับกุมาร(ชายหนุ่ม)นั้น ข้างบิดามารดาของเจ้าสาวได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์ซึ่งมีพระศาสดาเป็นประมุข มารับอาหารบิณฑบาตที่บ้าน ฝ่ายเจ้าบ่าวเห็นเจ้าสาวเคลื่อนไหวไปมาทั่วบ้าน โดยไปช่วยจัดแจงอาหารบิณฑบาตแด่พระสงฆ์เป็นต้น ฝ่ายเจ้าบ่าวมองดูแล้วก็เกิดอารมณ์ทางเพศ แทบจะไม่ใส่ใจคอยดูแลพระศาสดาและภิกษุสงฆ์ ได้แต่จ้องมองไปที่เจ้าสาวอย่างไม่คลาดสายตา พระศาสดาทรงทราบถึงความรู้สึกของเจ้าบ่าว และทรงทราบด้วยพระญาณพิเศษด้วยว่า ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะได้บรรลุโสดาบัน
พระศาสดาจึงใช้พระฤทธานุภาพบันดาลมิให้เจ้าบ่าวแลเห็นเจ้าสาว เมื่อเจ้าบ่าวไม่เห็นเจ้าสาวเช่นนี้ ก็ได้หันมาสนใจในพระศาสดาอย่างเต็มที่ พระศาสดาได้ตรัสกับเขาว่า “กุมาร ชื่อว่าไฟ เช่นกับไฟคือราคะ ไม่มี ชื่อว่าโทษ เช่นกับโทษคือโทสะ ไม่มี ชื่อว่าทุกข์ เช่นกับทุกข์เพราะการบริหารขันธ์ 5 ไม่มี” จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
นตฺถิ ราคสโม อคฺคิ
นตฺถิ โทสสโม กลิ
นตฺถิ ขนฺธสมา ทุกฺขา
นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ ฯ
(อ่านว่า)
นัดถิ ราคะสะโม อักคิ
นัดถิ โทสะสะโม กะลิ
นัดถิ ขันทะสะมา ทุกขา
นัดถิ สันติปะรัง สุขัง.
(แปลว่า)
ไฟเสมอด้วยราคะ ย่อมไม่มี
โทษเสมอด้วยโทสะ ย่อมไม่มี
ทุกข์ทั้งหลายเสมอด้วยขันธ์( 5 )ย่อมไม่มี.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง กุมาริกา และกุมาร บรรลุโสดาปัตติผล ในขณะนั้น พระศาสดาทรงคลายฤทธานุภาพ ให้ทั้งสองคนสามารถแลเห็นซึ่งกันและกัน.
ฐิตา:
05. เรื่องอุบาสกคนใดคนหนึ่ง
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในเมืองอาฬวี ทรงปรารภอุบาสกคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ชิฆจฺฉา เป็นต้น
ในวันหนึ่ง พระศาสดา ประทับนั่งในพระคันธกุฎี ในพระเชตวัน ทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงทอดพระเห็นชายเข็ญใจคนหนึ่ง ในเมืองอาฬวี ทรงทราบถึงภาวะสุกงอมที่จะบรรลุธรรมของชายผู้นี้ จึงได้เสด็จไปที่เมืองอาฬวี ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงสาวัตถีราว 30 โยชน์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จำนวน 500 รูป และในวันนั้นชายเข็ญใจตั้งใจจะไปฟังธรรมของพระศาสดา แต่เผอิญว่าโคตัวหนึ่งของเขาหายไป เขาจึงเที่ยวตามหาโคก่อนและจะไปฟังธรรมในภายหลัง ในขณะเดียวกันนั้น ก็ได้มีการถวายภัตตาหารแด่พระศาสดาและพระภิกษุสงฆ์อยู่ที่บ้านหลังหนึ่งในเมืองอาฬวี หลังเสร็จสิ้นภัตตกิจของภิกษุสงฆ์แล้ว และประชาชนก็พร้อมที่จะฟังคำอนุโมทนาของพระศาสดา แต่พระศาสดายังไม่ทรงกล่าวอนุโมทนา
เพราะมีพระประสงค์จะทรงรอคอยชายเข็ญใจผู้นั้น ในที่สุดชายผู้นั้นก็ได้ตามหาจนพบโคที่หายไปนั้น แล้วรีบวิ่งออกมาที่บ้านที่พระศาสดาประทับรออยู่นั้น พระศาสดามีรับสั่งให้จัดอาหารให้ชายเข็ญใจรับประทาน เมื่อชายเข็ญใจนั้นรับประทานอาหารอิ่มแล้ว พระศาสดาจึงได้ทรงแสดงอนุปุพพีกถา และอริยสัจ 4 เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชายเข็ญใจก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล
หลังจากนั้น พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ได้เสด็จกลับพระเชตวัน ในระหว่างทาง ภิกษุทั้งหลายได้สนทนากันตั้งเป็นข้อสังเกตที่พระศาสดารับสั่งให้คนจัดอาหารให้ชายเข็ญใจรับประทานจนอิ่มก่อนแล้วจึงทรงแสดงธรรม พระศาสดาทรงทราบความที่ภิกษุทั้งหลายสนทนากันนั้นจึงตรัสว่า พระองค์พร้อมภิกษุสงฆ์เสด็จมาที่เมืองนี้เป็นระยะทางไกลถึง 30 โยชน์ก็เพราะทราบด้วยพระญาณว่าชายเข็ญใจจะได้บรรลุธรรม ชายเข็ญใจหิวมาก เพราะต้องลุกขึ้นแต่เข้า ไปเที่ยวตามหาโค หากพระองค์แสดงธรรมก็จะไม่สามารถเข้าใจและบรรลุธรรมได้ เพราะความทุกข์อันเกิดจากความหิว จึงได้ให้เขารับประทานอาหารก่อน “ภิกษุทั้งหลาย ด้วยว่า ชื่อว่าโรค เช่นกับโรคคือความหิว ไม่มี” พระศาสดาตรัสสรุปท้าย
จากนั้น พระศาสดาจึงได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
ชิฆจฺฉา ปรมา โรคา
สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา
เอตํ ญตฺวา ยถาภูตํ
นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ฯ
(อ่านว่า)
ชิคัดฉา ปะระมา โรคา
สังขารา ปะระมา ทุกขา
เอตัง ยัดตะวา ยะถาพูตัง
นิบพานัง ปะระมัง สุขัง.
(แปลว่า)
ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง
สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
บัณฑิตทราบเนื้อความนั่นตามความจริงแล้ว
(กระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน)
เพราะพระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version