ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง
จมื่นศรีสรรักษ์ หรือ พระเจ้าปราสาททอง
sithiphong:
จมื่นศรีสรรักษ์ ผู้ล้มบัลลังก์ราชันย์
(แผนที่กรุงศรีอโยธยา)
ในประวัติศาสตร์อโยธยานั้น นอกจากเรื่องการทำสงครามกับอาณาจักรเพื่อนบ้านแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ปรากฏอยู่มากไม่แพ้กันก็คือ เรื่องราวของการชิงราชสมบัติ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ล้วนมาจากฝีมือของผู้ใกล้ชิดของราชวงศ์ แต่ในเรื่องราวการแย่งชิงราชสมบัตินี้ มีบุรุษผู้หนึ่งที่ได้เป็นตัวการสำคัญในการเปลี่ยนแปลงผู้ครองราชย์กรุงศรีอโยธยาหลายครั้ง ซึ่งบุรุษผู้นั้นก็คือ จมื่นศรีสรรักษ์
จมื่นศรีสรรักษ์ มีนามเดิมว่า ไล กำเนิดเดิมนั้นไม่แน่ชัด แต่มีที่มาอยู่สองกระแส โดยกระแสแรกมีเรื่องเล่ากันมาว่า เมื่อครั้งสมเด็จพระเอกาทศรถยังเป็นพระมหาอุปราช วันหนึ่งได้เสด็จประพาสลำน้ำมาถึงเกาะบางปะอิน เรือพระที่นั่งถูกพายุพัดจนล่มจึงต้องเสด็จไปอาศัยบนเกาะบางปะอิน และได้พบกับหญิงงามนามว่า อิน ซึ่งเป็นสาวชาวบ้านบนเกาะ และในคืนนั้นเอง ก็ทรงได้นางเป็นบาทบริจาริกา ต่อมานางได้คลอดบุตรเป็นชาย สมเด็จพระเอกาทศรถจะรับเป็นพระโอรสก็ละอายพระทัยจึงทรงให้ออกญาศรีธรรมาธิราชรับไปเลี้ยงดูจนกระทั่งเติบใหญ่
ส่วนกระแสที่สอง มาจากจดหมายเหตุของนาย ฟานฟลีต หัวหน้าสถานีการค้าชาวดัชท์ ซึ่งเอกสารดังกล่าว เขียนขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง กล่าวว่าจมื่นศรีสรรักษ์เป็นบุตรออกญาศรีธรรมาธิราช ซึ่งเป็นพี่ชายคนใหญ่ของสมเด็จพระชนนีสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม คนทั้งหลายเรียกกันว่า พระองค์ไล ทรงประสูติในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
(วัดไชยวัฒนาราม สถาปนาขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง)
ในพระราชพงศาวดารได้เล่าไว้ว่า จมื่นศรีสรรักษ์ผู้นี้ได้รับราชการเป็นมหาดเล็กหุ้มแพรตั้งแต่อายุ 14 และเป็นที่โปรดปรานของสมาเด็จพระเอกาทศรถจนได้เลื่อนเป็นจมื่นศรีสรรักษ์เมื่อายุได้ 18 ปี ซึ่งจมื่นศรีสรรักษ์นี้เป็นผุ้ที่มีนิสัยค่อนไปทางนักเลง เชี่ยวชาญในการต่อสู้ทั้งยังมีพวกพ้องบริวารอยู่เป็นอันมาก ต่อมาได้ไปมีเรื่องกับพรรคพวกของพระยาแรกนาจนถูกลงพระราชอาญาจำคุก ทว่าบรรดาพวกพ้องได้ไปร้องขอให้เจ้าขรัวมณีจันทร์ พระชายาม่ายในสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมาทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้ จมื่นศรีสรรักษ์จึงได้รับพระราชทานอภัยโทษออกมารับราชการตามเดิม
มาถึงปลายรัชกาลของสมเด็จพระเอกาทศรถ เวลานั้น เจ้าฟ้าสุทัศน์ สมเด็จพระมหาอุปราช พระราชโอรสองค์โตของสมเด็จพระเอกาทศรถ เกิดขัดแย้งกับพระราชบิดาจนน้อยพระทัยเสวยยาพิษปลงพระชนม์ชีพพระองค์เอง ทำให้สมเด็จพระเอกาทศรถโทมนัสพระทัยจนประชวร ในระหว่างนั้นก็ได้ทรงแต่งตั้งให้ เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ พระอนุชาร่วมพระมารดาของเจ้าฟ้าสุทัศน์ขึ้นเป็นพระมหาอุปราชแทน
ต่อมาไม่นานสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จสวรรคต เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์จึงขึ้นครองราชย์แทน ทว่าพระองค์ทรงอ่อนแอและเอาแต่เชื่อฟังขุนนางที่เป็นข้าหลวงเดิม จนวันหนึ่งทรงรับสั่งให้ประหารออกญากรมนายไวย หัวหน้าทหารอาสาญี่ปุ่น ด้วยทรงระแวงว่า ออกญาผู้นี้จะคิดกบฎ ทำให้ทหารอาสาญี่ปุ่นจำนวนมากไม่พอใจ และรวมพลได้ห้าร้อยนายบุกเข้าวังหลวงจับกุมสมเด็จพระศรีเสาวภาคย์ไว้และจับขุนนางสี่นายที่กราบทูลยุยงให้ประหารออกญากรมนายไวย มาตัดคอเสีย จากนั้นก็บังคับให้สมเด็จพระศรีเสาวภาคย์อยู่ในอำนาจและแอบอ้างพระราชโองการขูดรีดทรัพย์สินผู้คนเอาตามใจชอบ
ในเวลานั้น พระอินทราชา โอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถที่ประสูติแต่พระสนม ทรงผนวชอยู่ที่วัดระฆัง และได้สมณศักดิ์เป็นพระพิมลธรรมอนันตปรีชา ได้สมคบกับจมื่นศรีสรรักษ์ผู้ได้ถวายตัวเป็นศิษย์รวบรวมไพร่พลเพื่อก่อการ ครั้นเมื่อระดมกำลังมาพร้อมแล้ว พระพิลมลธรรมก็ลาผนวชและนำไพร่พลบุกเข้าวังหลวงจับสมเด็จพระศรีเสาวภาคย์ ไปปลงพระชนม์เสียที่โคกพญาและได้ปราบปรามกองทหารอาสาญี่ปุ่นที่ก่อความวุ่นวายจนราบคาบ จากนั้นจึงเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ส่วนจมื่นศรีสรรักษ์ซึ่งในยามนั้นมีวัยเพียงยี่สิบปีเศษๆ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นออกญาศรีวรวงศ์ จางวางมหาดเล็ก
(การชิงราชสมบัติในสมัยอยุธยา)
แปดปีต่อมา ครั้นถึงปลายรัชกาล พระเจ้าทรงธรรมทรงประชวรหนัก ก่อนจะสวรรคตทรงหมายพระทัยจะให้สมเด็จพระเชษฐาธิราชซึ่งเป็นพระราชโอรสวัยสิบสามชันษาขึ้นครองราชย์ต่อ แต่เหล่าขุนนางผู้ใหญ่กลับสนับสนุนพระศรีศิลป์ พระอนุชาของพระองค์ที่ยามนั้นกำลังผนวชอยู่ที่วัดระฆัง พระเจ้าทรงธรรมจึงทรงฝากเรื่องทั้งปวงให้ออกญาศรีวรวงศ์ เป็นธุระช่วยให้พระเชษฐาธิราชได้ขึ้นครองราชย์ ออกญาศรีวรวงศ์ได้ร่วมมือกับออกญาเสนาภิมุข เจ้ากรมทหารอาสาญี่ปุ่นจับเหล่าขุนนางที่ไม่เห็นด้วย ประหารเสียและให้คนไปลวงพระศรีศิลป์ให้ลาผนวชจากวัดระฆังและนำไปคุมขังไว้ในหลุมลึกโดยจะให้อดอาหารจนสิ้นพระชนม์ ทว่าออกหลวงมงคล ขุนทหารคู่พระทัยของมาช่วยเอาไว้และเชิญเสด็จไปประทับยังเพชรบุรี
จากนั้นหลวงมงคลได้ระดมไพร่พลจากพรรคพวกญาติพี่น้องและหัวเมืองข้างเคียงจัดเป็นกองทัพใหญ่ตั้งมั่นอยู่ที่เพชรบุรี เพื่อให้พระศรีศิลป์เตรียมยกมาตีกรุงศรีอโยธยา ทว่า ออกญาศรีวรวงศ์ได้ให้ออกญากำแหงสงครามและออกญาเสนาภิมุขนำทัพไปปราบปรามจนฝ่ายพระศรีศิลป์แตกพ่าย พระศรีศิลป์ถูกจับได้และถูกนำไปปลงพระชนม์ ส่วนหลวงมงคลภายหลังได้ถูกจับกุมและถูกประหารชีวิตเช่นกัน
และด้วยความชอบในครั้งนี้ ออกญาศรีวรวงศ์จึงได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ และกลายเป็นขุนนางใหญ่ที่มีบารมีมากล้นเป็นที่หวาดเกรงแก่เหล่าขุนนางข้าราชการทั้งปวง จนในไม่ช้าก็กลายเป็นที่หวาดระแวงของยุวกษัตริย์ สมเด็จพระเชษฐาธิราช
ต่อมา มารดาของเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ถึงแก่กรรม เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ได้จัดงานศพอย่างใหญ่โต ขุนนางทั้งหลายต่างไปช่วย บางคนถึงกับไปนอนค้าง เมื่อสมเด็จพระเชษฐาธิราชออกว่าราชการ ทรงพบว่ามีข้าราชการหายไปจำนวนมากจึงพิโรธว่าจะลงอาญาข้าราชการเหล่านั้น เหล่าข้าราชการจึงไปขอพึ่งเจ้าเจ้าพระยากลาโหมและไม่ไปเข้าเฝ้า
พวกข้าหลวงเดิมของสมเด็จพระเชษฐาธิราชได้ทูลยุยงว่าเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์คิดเป็นกบฏ จึงทรงให้ข้าหลวงไปหลอกให้เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์เข้าวังมาเพื่อสังหารทิ้ง แต่เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์รู้ตัวก่อนจึงประกาศแก่คนทั้งปวงว่า …เราได้ทำราชการมาด้วยความสุจริต เดี๋ยวนี้พระเจ้าแผ่นดินพาลเอาผิดว่าคิดกบฏ เมื่อภัยมาถึงตัวก็จำต้องเป็นกบฏตามรับสั่ง…
เหล่าขุนนางข้าราชการทั้งปวงพากันเข้าด้วย เจ้าพระยากลาโหมจึงคุมกำลังเข้ามาปล้นพระราชวัง จับสมเด็จพระเชษฐาธิราชซึ่งในยามนั้นมีชันษาได้ราว 15 ปี ไปปลงพระชนม์ จากนั้นขุนนางทั้งปวงจึงอัญเชิญเจ้าพระกลาโหมสุริยวงศ์ให้ขึ้นครองราชย์ แต่เจ้าพระกลาโหมสุริยวงศ์ปฏิเสธและอัญเชิญสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ พระโอรสองค์เล็กของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมขึ้นครองราชสมบัติสืบไป โดยมีเจ้าพระกลาโหมสุริยวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
ทว่าพระอาทิตยวงศ์ยังทรงพระเยาว์นักจึงได้แต่ทรงเล่นสนุกจนไปล่วงเกินขุนนางผุ้ใหญ่หลายครั้ง สุดท้ายขุนนางทั้งปวงจึงไปข้อร้องให้เจ้าพระกลาโหมสุริยวงศ์ขึ้นครองบัลลังก์แทนเพื่อเห็นแก่บ้านเมือง เจ้าพระกลาโหมสุริยวงศ์จึงถอดพระอาทิตยวงศ์ลงจากราชสมบัติ แล้วจึงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ใน พ.ศ. 2173 เมื่อมีพระชนมายุได้สามสิบพรรษา(บางตำราว่า สามสิบห้า) โดยทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
-http://www.komkid.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/%E0%B8%88%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A1/-
.
sithiphong:
ราชวงศ์ปราสาททอง
ราชวงศ์ปราสาททอง เป็นราชวงศ์ที่ ๔ ครองกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลา ๕๘ ปี (พ.ศ. ๒๑๗๒ - พ.ศ. ๒๒๓๑) สถาปนาราชวงศ์โดยสมเด็จเจ้าฟ้าปราสาททองด้วยการยึดอำนาจจากสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ กษัตริย์ราชวงศ์สุโขทัยพระองค์สุดท้าย ราชวงศ์ปราสาททองมีพระมหากษัตริย์ครองราชย์ ๔ พระองค์เป็นลำดับดังนี้
๑. สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ผู้สถาปนาราชวงศ์ เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุ ๓๐ พรรษา ครองราชย์เป็นเวลา ๒๗ ปี (พ.ศ. ๒๑๗๒-๒๑๙๙)
พระเจ้าปราสาทเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระเจ้าทรงธรรม รับราชการเป็นมหาดเล็กของพระเอกาทศรถ และเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นในกรมวังตอนอายุได้ 17 ปี เมื่อพระเจ้าทรงธรรมสวรรคตก็เกิดปัญหาการสืบราชสมบัติ ขุนนางในราชสำนักแยกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือเจ้าพระยามหาเสนาสนับสนุนพระศรีศิลป์ ซึ่งเป็นอนุชาของพระเจ้าทรงธรรม อีกฝ่ายหนึ่งคือ พระยาศรีสุริยวงศ์ (ปราสาททอง) สนับสนุนพระเชษฐาธิราช พระชนม์พรรษา 14 ซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าทรงธรรม ฝ่ายพระเชษฐาธิราชได้ชัยชนะขึ้นครองราชสมบัติ ดังนั้นพระยาศรีสุริยวงศ์ (ปราสาททอง) จึงได้รับตำแหน่งกลาโหมมีไพร่พลในบังคับและมีอำนาจมาก พระเชษฐาธิราชครองราชสมบัติได้ 1 ปี 7 เดือน เกิดความขัดแย้งกับพระยาศรีสุริยวงศ์ พระเจ้าแผ่นดินถูกจับสำเร็จโทษ และตั้งพระอนุชาคือพระอาทิตยวงศ์ พระชนม์พรรษา 10 ขึ้นเป็นกษัตริย์ได้เพียง 1 เดือน เจ้าพระยาสุริยวงศ์ ก็ยึดอำนาจสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์เมื่อพระชนม์พรรษา 30 พระองค์ครองราชย์ 27 ปี
จากปัญหาการสืบราชสมบัติซึ่งมีมาตลอดในสมัยอยุธยา ทำให้พระเจ้าปราสาททองพยายามที่จะแก้ไขปัญหาการปกครอง คือพยายามที่จะไม่ให้เจ้าหรือขุนนางคนใดคนหนึ่งมีอำนาจในการคุมไพร่พลมากจนมีอำนาจมากขึ้น พระเจ้าปราสาททองได้ดำเนินการให้แบ่งแยกอำนาจกันระหว่าง 2 เสนาบดีผู้ใหญ่คือกลาโหม และ มหาดไทย แบ่งหัวเมืองทางเหนือให้ขึ้นอยู่ในบังคับบัญชาของมหาดไทยให้หัวเมืองทางใต้อยู่ในปกครองของกลาโหม
นอกจากปัญหาภายในดังกล่าวแล้ว สมัยพระเจ้าปราสาททอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับญี่ปุ่นและฮอลันดาในกรณีของญี่ปุ่นนั้นเนื่องจากหัวหน้าของชาวญี่ปุ่นในอยุธยาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการไทย คือเข้ามาเป็นทหารอาสารักษาพระองค์ ดังนั้นญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งจึงเกี่ยวพันกับการเมืองของการสืบราชสมบัติ ในกรณีนี้เมื่อพระเจ้าปราสาททองยึดอำนาจเสียเอง ก็ทำให้ยามาดะ นางามาซะ ไม่พอใจ ยามาดะถูกส่งไปเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช และถูกลอบวางยาพิษเสียชีวิต และบทบาทของญี่ปุ่นในราชสำนักก็ถูกกำจัดลงจนเกือบจะหมดสิ้น
ในสมัยพระเจ้าปราสาททองเป็นสมัยที่ศิลปะเกี่ยวกับศาสนาเฟื่องฟูมาก มีการรื้อฟื้นอิทธิพลของสถาปัตยกรรมเขมร เช่นการสร้างปรางค์ปราสาทที่วัดไชยวัฒนาราม และที่อำเภอนครหลวง แต่ในขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาศิลปะของพระพุทธรูป (ทรงเครื่องกษัตริย์) อันถือเป็นแบบฉบับที่สำคัญของปลายอยุธยา พระเจ้าปราสาททองทรงเน้นพระราชพิธีเสด็จไปบูชารอยพระพุทธบาทที่สระบุรีอันเริ่มมาแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรม จนกลายเป็นประเพณีที่สำคัญของอยุธยาตอนปลาย
๒. สมเด็จเจ้าฟ้าไชย (พ.ศ. ๒๑๙๙ - พ.ศ. ๒๑๙๙) พระโอรสของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ครองราชย์ได้เพียง ๒ วัน (๗-๘ สิงหาคม) ก็ถูกพระนารายณ์ (พระอนุชา) ร่วมกับพระศรีสุธรรรมราชา ทำการยึดอำนาจและประหารชีวิต
๓. สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา (พ.ศ. ๒๑๙๙ - พ.ศ. ๒๑๙๙)พระอนุชาของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และเป็นพระเจ้าอาของเจ้าฟ้าไชย อยู่ในราชสมบัติได้เพียง ๒เดือน ๑๘ วัน พระนารายณ์ก็ชิงราชสมบัติและสำเร็จโทษพระศรีสุธรรมราชา
๔. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๙๙ - พ.ศ. ๒๒๓๑)พระโอรสของพระเจ้าปราสาททอง เมื่อพระราชบิดาสวรรคต พระนารายณ์ทรงร่วมกับ พระเจ้าอา(พระศรีสุธรรมราชา) ชิงราชสมบัติจากพระเชษฐา(เจ้าฟ้าไชย)และต่อมาทรงยึดอำนาจจาก พระศรีสุธรรมราชา แล้วจึงสถาปนาพระองค์ "ปราบดาภิเษก"เป็นพระมหากษัตริย์
สมัยของสมเด็จพระนารายณ์ฯ ถือได้ว่ากรุงศรีอยุธยารุ่งเรืองถึงขีดสุด ทรงติดต่อสัมพันธ์กับชาวต่างประเทศ แต่ผลของการดำเนินนโยบายที่ล่อแหลมของพระองค์และการที่ทรงสนพระทัยในคริสต์ศาสนา ทำให้บรรดาขุนนางไทยและพระสงฆ์เกิดความรู้สึกต่อต้านชาวต่างชาติ เมื่อพระองค์ทรงประชวร ได้ทรงแต่งตั้งให้พระเพทราชารักษาราชการ โดยยังไม่ได้มอบราชสมบัติให้ผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นพระอนุชา โอรสบุญธรรมหรือพระธิดาของพระองค์ พระเพทราชาจึงยึดอำนาจ พระปีย์(โอรสบุญธรรม)ถูกลอบสังหาร
สมเด็จพระนารายณ์ฯ สวรรคตเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๒๓๑ พระเพทราชาก็ขึ้นครองราชสมบัติและสถาปนาราชวงศ์บ้านพลูหลวงสืบต่อมา พระอนุชาของพระนารายณ์คือ เจ้าฟ้าอภัยเทศและเจ้าฟ้าน้อยถูกสำเร็จโทษจึงเป็นอันสิ้นสุดของราชวงศ์ปราสาททอง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมลคงพระนคร
บ้านจอมยุทธ
สกลุไทยออนไลน์
บริษัททัวร์ โอเซี่ยนสไมล์
-http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87-
.
sithiphong:
ayodtaya3
ayodtaya3
-http://www.youtube.com/watch?v=JTsDDJ6CELE&feature=related-
.
sithiphong:
.
สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 5 พระมหากษัตริย์อาณาจักรอยุธยาพระองค์ที่ 24 (ครองราชย์ พ.ศ. 2173 - พ.ศ. 2199) และทรงเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ปราสาททอง ราชวงศ์ลำดับที่ 4 ของอาณาจักรอยุธยา
พระนาม
เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ (บรรดาศักดิ์)
พระเจ้าปราสาททอง (เมื่อครองราชย์)
พระสรรเพชญ์ที่ 5 (พระราชพงศาวดาร)
พระรามาธิเบศร (คำให้การชาวกรุงเก่า)
พระราชประวัติ
พื้นเพเดิม
แนวความคิดที่หนึ่ง
เป็นตำนานเล่ากันมาว่า เมื่อสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถยังเป็นพระมหาอุปราชอยู่ วันหนึ่งเสด็จประพาสลำน้ำมาถึงเกาะบางปะอิน เรือพระที่นั่งถูกพายุพัดจนล่มจึงต้องเสด็จไปอาศัยบนเกาะบางปะอิน จึงได้นางอิน หญิงบนเกาะมาเป็นบาทบริจาริกาจนนางคลอดบุตรเป็นชาย สมเด็จพระเอกาทศรถจะรับเป็นพระโอรสก็ละอายพระทัยจึงทรงรับไปเลี้ยงแต่เด็กจน กระทั่งเติบใหญ่
แนวความคิดที่สอง
มาจากจดหมายเหตุวัน วลิต ซึ่งเป็นเอกสารที่เขียนในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง กล่าวว่าพระเจ้าปราสาททองนั้นเป็นบุตรออกญาศรีธรรมาธิราช ซึ่งเป็นพี่ชายคนใหญ่ของพระชนนีสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม คนทั้งหลายเรียกท่านกันว่า พระองค์ไล ประสูติในปีชวด รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (ตรงกับ พ.ศ. 2143)
การรับราชการ
วัน วลิตกล่าวไว้ว่า พระองค์ไลได้เริ่มต้นรับราชการโดยเริ่มจากการเป็นมหาดเล็ก แล้วจึงได้เลื่อนเป็นหุ้มแพร และได้เลื่อนเป็นจมื่นศรีสรรักษ์ เมื่อจมื่นศรีสรรักษ์มีอายุได้ 18 ปี ได้ไปก่อเหตุทำร้ายพระยาแรกนาแล้วหนีไปหลบอยู่ในวัด พระเจ้าอยู่หัวจึงให้จับตัวออกญาศรีธรรมาธิราชผู้เป็นบิดาไปขัง จมื่นศรีสรรักษ์จึงเข้ามามอบตัว มีรับสั่งให้จับไปขังคุก 5 เดือน แต่ เจ้าขรัวมณีจันทร์ พระชายาม่ายในสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมาทูลขอพระราชทานอภัยโทษแทน จมื่นศรีสรรักษ์จึงได้รับพระราชทานอภัยโทษออกมารับราชการตามเดิม แต่จมื่นศรีสรรักษ์ก็ยังก่อเรื่องวุ่นวายอีกจนถูกจำคุกอีกสองหน ต่อมาได้เลื่อนเป็นจมื่นสรรเพชญ์ภักดี และได้เลื่อนเป็นออกญาศรีวรวงศ์ตามลำดับ เป็นขุนนางที่ไว้วางพระราชหฤทัยอย่างมาก
จนถึง พ.ศ. 2171 สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมประชวรหนัก จึงให้ออกญาศรีวรวงศ์เชิญกระแสรับสั่งออกในที่ประชุมขุนนางเรื่องรัชทายาท ซึ่งเหล่าขุนนางมีความเห็นแตกเป็นสองฝ่าย
สนับสนุนพระเชษฐาธิราช พระโอรสองค์ใหญ่ของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งมีพระชนมายุ 14 ชันษา
สนับสนุนพระศรีศิลป์ พระอนุชาของพระเจ้าทรงธรรมซึ่งผนวชอยู่ที่วัดระฆัง ฝ่ายนี้มี ออกญากลาโหม ออกญาท้ายน้ำ ออกหลวงธรรมไตรโลก ออกพระศรีเนาวรัตน์และออกพระจุฬา (ราชมนตรี) สนับสนุน
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมมีพระราชประสงค์ให้พระเชษฐาธิราชได้ครองราชสมบัติ ทรงมีรับสั่งให้ออกญาศรีวรวงศ์ แจ้งให้บรรดาเสนาบดีทราบ
วันรุ่งขึ้นหลังสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมสวรรคต พระยาศรีวรวงศ์แจ้งให้เหล่าขุนนางทราบว่าทรงให้พระเชษฐาธิราชครองราชย์ต่อ สมเด็จพระเชษฐาธิราชจึงเสด็จขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพระบิดา ระหว่างพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา พระยาศรีวรวงศ์สั่งให้จับออกญากลาโหมกับขุนนางที่สนับสนุนพระศรีศิลป์ไป ประหารชีวิตที่ท่าช้าง แล้วริบทรัพย์สมบัติมาแจกจ่ายผู้มีความชอบ สมเด็จพระเชษฐาธิราชทรงตั้งพระยาศรีวรวงศ์เป็น เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ เสนาบดีที่สมุหพระกลาโหม แทนเจ้าพระยามหาเสนาบดีที่ถูกประหาร เรียกกันสั้นๆว่า ออกญากลาโหม
ภายหลังออกญากลาโหมได้ให้ออกญาเสนาภิมุขไปลวงพระศรีศิลป์มาสังหารทิ้ง
การแย่งชิงราชสมบัติ
ใน พ.ศ. 2173 มารดาของเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ถึงแก่กรรม (จดหมายเหตุวัน วลิตกล่าวว่าน้องชาย) เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ได้จัดงานศพอย่างใหญ่โต ขุนนางทั้งหลายต่างไปช่วย บางคนถึงกับไปนอนค้าง เมื่อสมเด็จพระเชษฐาธิราชออกว่าราชการ มีข้าราชการหายไปจำนวนมากจึงทรงพระพิโรธว่าจะลงอาญาข้าราชการเหล่านั้น เหล่าข้าราชการจึงไปขอพึ่งเจ้าพระยากลาโหม และไม่ไปเข้าเฝ้า พวกข้าหลวงเดิมก็ทูลยุยงว่าเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์คิดเป็นกบฏ จึงทรงให้ข้าหลวงไปหลอกให้เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์เข้าวังมาเพื่อสังหาร ทิ้ง แต่เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์รู้ตัวก่อนจึงประกาศแก่คนทั้งปวงว่า
...เราได้ทำราชการมาด้วยความสุจริต เดี๋ยวนี้พระเจ้าแผ่นดินพาลเอาผิดว่าคิดกบฏ เมื่อภัยมาถึงตัวก็จำต้องเป็นกบฏตามรับสั่ง...
ข้าราชการทั้งปวงก็พากันเข้าด้วย จึงคุมกำลังเข้ามาปล้นพระราชวัง จับสมเด็จพระเชษฐาธิราชไปปลงพระชนม์
ข้าราชการทั้งปวงจึงอัญเชิญเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ให้ขึ้นครองราชย์ แต่เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ปฏิเสธและอัญเชิญสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ พระโอรสองค์เล็กของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมขึ้นครองราชสมบัติสืบไป โดยมีเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เพราะยังทรงพระเยาว์มาก วันๆ ได้แต่ทรงเล่นสนุก ขุนนางทั้งปวงจึงไปขอร้องให้เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ขึ้นครองบัลลังก์เพื่อ เห็นแก่บ้านเมือง เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์จึงปลงพระอาทิตยวงศ์ลงจากราชสมบัติ แล้วจึงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ใน พ.ศ. 2173 เมื่อมีพระชนมายุได้ 30 พรรษา ทรงพระนาม สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
ทรงครองราชย์ได้ 25 ปี สวรรคตลงในปี พ.ศ. 2198 พระชนมายุได้ 55 พรรษา
พระราชกรณียกิจ
การพระราชทานรางวัล
เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ โปรดให้เลื่อนยศและตำแหน่งแก่ผู้ร่วมก่อการมากับพระองค์ เช่นจมื่นสรรเพชญ์ภักดี ผู้เขียนหนังสือเป็นรหัสบอกพระองค์ โปรดแต่งตั้งเป็นพระยาราชภักดี เจ้ากรมพระคลังมหาสมบัติ
การสงคราม
พระองค์ได้เสด็จยกทัพไปตีเขมร ซึ่งเป็นประเทศราชของกรุงศรีอยุธยา แต่ได้แข็งเมืองมาตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ทำให้เขมรกลับมาเป็นหัวเมืองประเทศราชของกรุงศรีอยุธยาดังเดิม
ในตอนต้นรัชสมัยของพระองค์ หัวเมืองประเทศราชทางใต้ คิดกบฏยกทัพไปตีเมืองสงขลาและเมืองพัทลุง พระองค์ได้ส่งกองทัพไปปราบปรามได้ราบคาบ แต่ในขณะเดียวกันก็เสียเมืองเชียงใหม่ และหัวเมืองล้านนาแก่พม่า
(ไม่เคยมีหลักฐานชั้นต้นไหน ที่ระบุว่าสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทรงยกทัพไปตีเขมร มีแต่ในพระราชนิพนธ์ ไทยรบพม่า ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ แต่เพียงพระองค์เดียว ซึ่งก็ไม่มีที่มาอีกว่า พระองค์ไปได้แหล่งอ้างอิงมาจากไหน)
การตรากฎหมาย
ในรัชสมัยของพระองค์ได้มีการตรากฎหมายที่สำคัญ เช่น พระไอยการลักษณะอุทธรณ์ พระไอยการลักษณะมรดก พระไอยการลักษณะกู้หนี้ และพระธรรมนูญ
การลบศักราช
ในปีจุลศักราช 1000 ตรงกับปีขาล (พ.ศ. 2181) ซึ่งมีความเชื่อกันว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงถึงขั้นกลียุค พระองค์จึงทรงให้จัดพิธีลบศักราช เปลี่ยนจากปีขาลเป็นปีกุน แล้วแจ้งให้หัวเมืองน้อยใหญ่รวมทั้งเมืองประเทศราช ให้ใช้ปีศักราชตามที่ทางกรุงศรีอยุธยากำหนดขึ้นมาใหม่ [1]
การสร้างปราสาทราชวัง
ทรงสร้างปราสาทหลายหลังเช่นการสร้างพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์และการสร้างพระที่นั่งวิหารสมเด็จขึ้นแทนพระที่นั่งมังคลาภิเศกที่ถูกไฟใหม้
ใน พ.ศ. 2175 พระองค์ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ พร้อมทั้งหมู่พระราชนิเวศ และวัดชุมพลนิกายาราม ขึ้นที่บางปะอิน อันเป็นสถานที่ประสูติของพระองค์ สำหรับไว้เป็นที่แปรพระราชฐาน
การพระศาสนา
พระองค์มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง และได้ทรงสถาปนาวัดสำคัญ ๆ หลายวัด เช่น วัดไชยวัฒนาราม วัดพระศรีสรรเพชญ์ และวัดชุมพลนิกายารามราชวรวิหาร ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ปฏิสังขรณ์พระปรางค์วัดมหาธาตุ และโปรดที่จะเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค ไปทรงนมัสการรอยพระพุทธบาทที่สระบุรี มีการสร้างพระปรางค์ตามแบบขอม เป็นการเริ่มต้นรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยที่ 3 ของกรุงศรีอยุธยา (ยุคของพระเจ้าปราสาททองถึงพระเจ้าท้ายสระ)
ที่มาของพระนามปราสาททอง
เหตุที่ทรงใช้พระนามว่าปราสาททอง อันเป็นชื่อเดียวกับชื่อราชวงศ์ด้วย ในคำให้การชาวกรุงเก่าและคำให้การขุนหลวงหาวัดระบุ ว่า เมื่อพระองค์ครองราชย์แล้ววันหนึ่งทรงพระสุบินว่าได้ขุดค้นพบปราสาททองหลัง หนึ่งฝังอยู่ในจอมปลวกที่พระองค์เคยประทับเล่นเมื่อทรงพระเยาว์ จึงให้ไปขุดที่จอมปลวกนั้นและพบปราสาททองเหมือนที่ทรงพระสุบิน จึงเรียกขานพระนามว่าพระเจ้าปราสาททองมาแต่บัดนั้น
พระโอรส-ธิดา
พระเจ้าปราสาททองมีโอรสธิดารวมกัน 8 พระองค์ เป็นพระโอรส 7 พระองค์ เป็นพระธิดา 1 พระองค์
พระมเหสีองค์แรก
มีพระโอรส 1 พระองค์ คือ
สมเด็จเจ้าฟ้าไชย
พระราชเทวี องค์ที่ 1
ได้แก่ พระราชเทวี สิริกัลยาณี ซึ่งมีพระโอรส 1 พระองค์ และพระธิดา 1 พระองค์ คือ
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าศรีสุวรรณ กรมหลวงโยธาทิพ (พระราชกัลยาณี)
พระราชเทวี องค์ที่ 2
มีพระโอรส 2 พระองค์ คือ
สมเด็จเจ้าฟ้าอภัยทศ
สมเด็จเจ้าฟ้าน้อย
พระสนม
มีพระโอรส 3 พระองค์ คือ
พระไตรภูวนาถอาทิตยวงศ์
พระองค์ทอง
พระอินทราชา
พระองค์เจ้าแสงจันทร์ ในพระสนมเลื่อน ธิดาเจ้าพระยาอภัยราชา (ชื่น) บุตรของเจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด)[2]
อ้างอิง
^ http://www4.sac.or.th/jaruk/inscript...1&userinput=72
^ พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ (บรรณาธิการ).เล่าเรื่อง...เฉกอะหมัด ต้นสกุลบุนนาค จากเอกสารพิมพ์ดีด ๒๔๘๒. กรุงเทพฯ:บันทึกสยาม, พ.ศ. 2553. หน้า 48.
วิชาการ.คอม
หอมรดกไทย
พิมาน แจ่มจรัส. วันสวรรคตของ 66 กษัตริย์
ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๙
-http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87-
.
sithiphong:
.
สมเด็จเจ้าฟ้าไชย
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สมเด็จเจ้าฟ้าไชย หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 6 พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 25 แห่งกรุงศรีอยุธยา พระองค์เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าปราสาททองที่ ประสูติแต่พระอัครมเหสี มีพระนามเดิมว่า พระองค์อินทร์ พระองค์ประสูติก่อนที่สมเด็จพระราชบิดาจะขึ้นครองราชสมบัติแห่งกรุง ศรีอยุธยา เมื่อพระองค์มีพระชนมายุครบกำหนดโสกันต์แล้ว สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีโสกันต์ที่เกาะบ้านเลนและพระราชทานพระนามใหม่ว่า เจ้าฟ้าไชย[1]
เมื่อสมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงพระประชวรหนักและเสด็จลงมาประทับที่พระที่นั่งเบญจรัตนนั้น ทรงพระกรุณามอบราชสมบัติและพระแสงขรรค์ไชยศรีให้ เจ้าฟ้าไชย หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองเสด็จสวรรคต พระองค์ได้ขึ้นสืบพระราชสันตติวงศ์ต่อมีพระนามว่า สมเด็จพระสรรเพชญที่ 6 หรือ สมเด็จเจ้าฟ้าไชย ในปี พ.ศ. 2199 หลังจากครองราชได้ไม่นาน พระศรีสุธรรมราชา พระปิตุลา และสมเด็จพระนารายณ์ พระอนุชาต่างพระมารดา ได้ร่วมกันชิงราชสมบัติแล้วจับกุมสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวไปสำเร็จโทษ ณ วัดโคกพระยา พระองค์ทรงครองราชสมบัติอยู่ได้ 9 เดือน
สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บทความนี้เกี่ยวกับสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 7 สำหรับสมเด็จพระสรรเพชญ์พระองค์อื่น ดูที่ สมเด็จพระสรรเพชญ์
สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 7 หรือ พระศรีสุธรรมราชาธิราช เป็นพระมหากษัตริย์ไทยสมัยอยุธยารัชกาลที่ 26 และเป็นพระมหากษัตริย์ราชวงศ์ปราสาททองลำดับที่ 3 (ครองราชย์ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2199 - 25 ตุลาคม พ.ศ. 2199) พระองค์เป็นพระอนุชาของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง โดยบางแห่งกล่าวว่าเป็นบุตรของมหาดเล็ก พี่ชายของนางอิน พระมารดาสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง[1]
พระราชประวัติ
สมเด็จพระศรีสุธรรมราชาเป็นพระอนุชาของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เมื่อสมเด็จพระเจ้าปราสาททองปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุง ศรีอยุธยานั้น สมเด็จพระเจ้าปราสาททองตรัสว่า "น้องเราคนนี้น้ำใจกักขชะหยาบช้า มิได้มีหิริโอตัปปะ จะให้เป็นอุปราชรักษา แผ่นดินต่างพระเนตรพระกรรณมิได้ ให้เป็นแต่เจ้าพระ ชื่อ พระศรีสุธรรมราชา" พร้อมกันนี้โปรดให้พระศรีสุธรรมราชาตั้งบ้านหลวงอยู่ที่ริมวัดสุทธาวาส
การขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์
ภายหลังการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง สมเด็จเจ้าฟ้าไชยพระ ราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าปราสาททองเสด็จขึ้นครองสมบัติสืบต่อสมเด็จพระราชบิดา แต่สมเด็จเจ้าฟ้าไชยทรงครองราชย์ได้ไม่นาน พระศรีสุธรรมราชา พระปิตุลา (อา) และสมเด็จพระนารายณ์ พระราชนัดดาของพระองค์ ก็สมคบคิดกันชิงราชบัลลังก์ เมื่อถึงวันตามที่ทั้งสองพระองค์ตกลงกันแล้ว สมเด็จพระนารายณ์ได้พาพระราชกัลยาณี พระขนิษฐาในพระองค์ลอบหนีออกจากพระราชวังทางประตูตัดสระแก้วเพื่อเสด็จไปหา พระศรีสุธรรมราชา หลังจากนั้น พระศรีสุธรรมราชาและสมเด็จพระนารายณ์จึงได้ยกกำลังพลเข้ามาในพระราชวัง จับกุมสมเด็จเจ้าฟ้าไชยและนำพระองค์ไปสำเร็จโทษเสีย ณ วัดโคกพระยา เมื่อชิงราชสมบัติเป็นผลสำเร็จ พระศรีสุธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ พร้อมกับทรงแต่งตั้งสมเด็จพระนารายณ์ พระราชนัดดาเป็นพระมหาอุปราช โดยให้เสด็จไปประทับ ณ พระราชวังบวรสถานมงคล
เหตุแห่งการยึดอำนาจ
หลังจากสมเด็จพระศรีสุธรรมราชาขึ้นครองราชสมบัติได้สองเดือนเศษ สมเด็จพระนารายณ์ได้ชิงราชสมบัติจากพระองค์ ซึ่งการช่วงชิงราชสมบัติจากสมเด็จพระศรีสุธรรมราชาโดยสมเด็จพระนารายณ์นั้น มีการกล่าวไว้ในหลายแง่มุม โดยพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวว่า สมเด็จพระศรีสุธรรมราชามีจิตเสน่หาต่อพระราชกัลยาณี ซึ่งเป็นพระราชนัดดาของพระองค์และเป็นพระขนิษฐาของสมเด็จพระนารายณ์ จึงทรงรับสั่งให้ไปเฝ้าบนพระที่ แต่พระราชกัลยาณีไม่ได้เสด็จขึ้นไปและได้นำความมาบอกพระนม พระนมจึงเชิญพระราชกัลยาณีซ่อนในตู้พระสมุดแล้วหามออกไปยังพระราชวังบวรสถาน มงคลอันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนารายณ์ เมื่อความทราบถึงสมเด็จพระนารายณ์ก็ทรงกริ้วและตรัสว่า
อนิจจา พระเจ้าอา เราคิดว่าสมเด็จพระบิตุราชสวรรคต ยังแต่พระเจ้าอาก็เหมือนพระบรมราชบิดายังอยู่ จะได้ปกป้องพระราชวงศานุวงศ์สืบไป ควรหรือมาเป็นดังนี้ พระองค์ปราศจากหิริโอตัปปะแล้ว ไหนจะครองสมบัติเป็นยุติธรรมเล่า น่าที่จะร้อนอกสมณชีพราหมณ์ อาณาประชาราษฎร ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเป็นแท้ จะละไว้มิได้
เป็นที่เชื่อกันว่า เหตุการณ์เล็กน้อยข้างต้นอาจเป็นเพียงข้ออ้างหนึ่งของพระนารายณ์ที่นำมาใช้ ในการชิงราชสมบัติจากสมเด็จพระศรีสุธรรมราชา[ต้องการอ้างอิง] มีหลักฐานของฮอลันดากล่าว ถึงการปรึกษาของพระนารายณ์กับพ่อค้าชาวฮอลันดาในการขอความช่วยเหลือเพื่อชิง ราชสมบัติมาตั้งแต่แรกที่สมเด็จพระศรีสุธรรมราชาขึ้นครองราชย์เมื่อเดือน สิงหาคม[ต้องการอ้างอิง]
สวรรคต
พระนารายณ์ได้รับการสนับสนุนจากพระยาเสนาภิมุข พระยาไชยาสุระและทหารญี่ปุ่น 40 นาย รวมทั้งชาวมุสลิมจากเปอร์เซีย การต่อสู้ยึดอำนาจเกิดขึ้นค่อนข้างรุนแรงในตอนเย็นวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2199 จนถึงเช้าของวันรุ่งขึ้น ไพร่พลของทั้งสองฝ่ายล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ทั้งสมเด็จพระศรีสุธรรมราชาและสมเด็จพระนารายณ์ต่างได้รับบาดเจ็บจากกระสุน ปืน สมเด็จพระศรีสุธรรมราชาสู้ไม่ได้จึงถอยหนีไปวังหลังแต่ถูกพระนารายณ์จับตัว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้และนำไปสำเร็จโทษที่วัดโคกพระยา
ในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2199 พระนารายณ์ได้ปราบดาภิเศกขึ้นครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระศรีสุธรรมราชาซึ่งอยู่ในราชสมบัติได้เพียง 2 เดือน 17 วัน
ดูเพิ่ม
ลำดับพระมหากษัตริย์ไทย
อ้างอิง
^ ราชอาณาจักรสยาม
วุฒิชัย มูลศิลป์ สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา สารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่มที่ ๒๖ หน้า ๑๖๘๒๘
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. พระบาทสมเด็จพระ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา พระนคร : ศิวพร, ๒๕๑๑
ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๘๒ เรื่อง พระราชพงศาวดารกรุงสยาม จากต้นฉบับบริติชมิวเซียม กรุงลอนดอน กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๓๗
Cushman, Richard D, (Trans). The Royal Chronicles of Ayutthaya. Bangkok : The Siam Societey, ๒๐๐๐
.
-http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%8A%E0%B8%A2-
-http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2-
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version