อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > พระอริยบุคคล

เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 16 : ปิยวรรค

(1/2) > >>

ฐิตา:



ภาพโดยคุณเนติ พิเคราะห์ คณะวิจิตรศิลป์
ม.เชียงใหม่
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 16 : ปิยวรรค
01.เรื่องบรรพชิต 3 รูป
 
พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภบรรพชิต 3 รูป  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  อโยเค  ยุญฺชมตฺตานํ  เป็นต้น

ครั้งหนึ่ง   ที่กรุงสาวัตถี   บุตรคนเดียวของครอบครัว  ออกบวชเป็นภิกษุก่อน ไปอยู่ในสำนักของภิกษุ ต่อมาบิดาก็ออกบวชตามบุตร  ไปอยู่ในสำนักของภิกษุเช่นเดียวกับบุตร  ต่อมามารดาก็ตามสามีและบุตรไปบวชเป็นภิกษุณี
อยู่ในสำนักภิกษุณี   ทั้งสามคนแม้จะบวชแล้วก็ยังไปมาหาสู่กัน  วันๆหมดไปด้วยการไปพบปะสนทนากันอยู่เป็นประจำ  ในสำนักของภิกษุบ้าง  ในสำนักของภิกษุณีบ้าง  จนเป็นที่เดือดร้อนรบกวนแก่ภิกษุและภิกษุณีอื่นๆ  ภิกษุทั้งหลายกราบทูลพฤติกรรมของบรรพชิตทั้งสามแด่พระศาสดา   และพระศาสดาได้ตรัสเรียกบรรพชิตทั้งสามรูปนั้นมาว่ากล่าวตักเตือน  แล้วตรัสว่า “ชื่อว่าการทำเช่นนี้  จำเดิมแต่กาลแห่งตนบวชแล้ว  ไม่ควร  เพราะว่า  การเห็นสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก  และการเห็นสัตว์และสังขารอันไม่เป็นที่รัก  เป็นทุกข์โดยแท้  เหตุนั้น  การทำสัตว์และสังขารทั้งหลายอย่างใดอย่างหนึ่ง  ให้เป็นที่รัก  หรือไม่ให้เป็นที่รัก  ย่อมไม่ควร”
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  สามพระคาถานี้ว่า

อโยเค  ยุญชมตฺตานํ
โยคสฺมิญฺจ  อโยชยํ
อตฺถํ  หิตฺวา  ปิยคฺคาหี
ปิเหตตฺตานุโยคินํ  ฯ

(อ่านว่า)
อะโยโค  ยุนชะมัดตานัง
โยคัดสะมินเจ  อะโยชะยัง
อัดถัง  หิดตะวา  ปิยักคาฮี
ปิเหตัดตานุโยคินัง.

มา  ปิเยหิ  สมาคญฺฉิ
อปฺปิเยหิ  กุทาจนํ
ปิยานํ  อทสฺสนํ  ทุกฺขํ
อปฺปิยานญฺจ  ทสฺสนํ ฯ

(อ่านว่า)
มา  ปิเยหิ   สะมาคันฉิ
อับปิเยหิ  กุทาจะนัง
ปิยานัง  อะทัดสะนัง  ทุกขัง
อับปิยานันจะ  ทัดสะนัง.
 

ตสฺมา  ปิยํ  น  กยิราถ
ปิยาปิโย  หิ  ปาปโก
คนฺถา  เตสํ  น  วิชฺชนฺติ
เยสํ  นตฺถิ  ปิยาปิยํ ฯ

(อ่านว่า)
ตัดสะหมา  ปิยัง  นะ  กยิราถะ
ปิยาปิโย  หิ  ปาปะโก
คันถา  เตสัง  นะ  วิดชันติ
เยสัง  นัดถิ  ปิยาปิยัง.

(แปลว่า)
บุคคล  ประกอบตนไว้ในสิ่งอันไม่ควรประกอบ
และไม่ประกอบไว้ในสิ่งอันควรประกอบ
ละเสียแล้วซึ่งประโยชน์
ถือเอาอารมณ์อันเป็นที่รัก
ย่อมทะเยอทะยาน
ต่อบุคคลผู้ตามประกอบตน.

บุคคลอย่าสมาคมกับสัตว์และสังขารทั้งหลาย
อันเป็นที่รัก(และ) อันไม่เป็นที่รัก ในกาลไหนๆ
เพราะว่า  การไม่เห็นสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก  เป็นทุกข์.

เพราะเหตุนั้น  บุคคลไม่พึงกระทำสัตว์หรือสังขาร  ให้เป็นที่รัก
เพราะความพรากจากสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก เป็นการต่ำทราม
กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย  ของเหล่าบุคคลผู้มีอารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก  ย่อมไม่มี.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดปัตติผลเป็นต้น  ฝ่ายชนทั้ง 3  นั้นคิดว่า  พวกเราไม่อาจอยู่พรากกันได้  ไปสึกออกไปอยู่บ้านตามเดิม.
 

ฐิตา:


                     
                       ผลงานของ ผศ.สุวัฒน์ แสนขัติยรัตน์

02. เรื่องกุฎุมพีคนใดคนหนึ่ง
พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภกุฎุมพีคนใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  ปิยโต  ชายเต  เป็นต้น

ในกาลครั้งหนึ่ง  กุฏุมพีผู้หนึ่งเสียใจเมื่อบุตรถึงแก่ความตาย   เขาจึงมักเข้าไปร้องไห้อยู่ในป่าช้า  ในเช้าวันหนึ่ง  พระศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลก ในเวลาใกล้รุ่ง  ทรงเห็นว่ากุฎุมพีนั้นจักได้บรรลุโสดาปัตติผล  เมื่อทรงกลับจากบิณฑบาตแล้ว  ได้ทรงพาภิกษุผู้เป็นปัจฉาสมณะ(พระติดตาม)รูปหนึ่ง  เสด็จไปที่ประตูบ้านของกุฎุมพีนั้น  เมื่อกุฎุมพีทราบว่าพระศาสดาเสด็จมา  จึงอัญเชิญพระศาสดาให้เสด็จเข้าบ้าน  ปูอาสนะตรงกลางบ้าน  เมื่อพระศาสดาประทับนั่งแล้ว  ก็เข้าถวายบังคม แล้วนั่งลง ณ ส่วนข้างหนึ่ง  พระศาสดาตรัสถามกุฎุมพีว่ามีความทุกข์ด้วยเรื่องอะไร  เมื่อกุฎุมพีตอบว่าทุกข์เพราะพลัดพรากจากบุตรที่เสียชีวิต   ตรัสว่า “อย่าคิดไปเลย  อุบาสก  ชื่อว่าความตายนี้ มิใช่มีอยู่ในที่เดียว  และมิใช่มีจำเพาะแก่บุคคลเดียว ก็ชื่อว่าความเป็นไปของภพภูมิ ยังมีอยู่เพียงใด  ความตายก็ย่อมมีแก่สรรพสัตว์เพียงนั้นเหมือนกัน  แม้แต่สังขารอันหนึ่ง  ที่ชื่อว่าเที่ยง  ย่อมไม่มี  เพราะเหตุนั้น  ท่านพึงพิจารณาโดยอุบายอันแยบคายว่า ธรรมชาติมีความตายเป็นธรรมดา  ตายเสียแล้ว  ธรรมชาติมีความแตกเป็นธรรมดา  แตกเสียแล้ว  ก็ไม่พึงเศร้าโศก  เพราะว่า  โบราณกาลบัณฑิตทั้งหลาย  ในกาลที่ลูกตายแล้ว  พิจารณาว่า  ธรรมชาติมีความตายเป็นธรรมดา  ตายเสียแล้ว  ธรรมชาติมีความแตกเป็นธรรมดา  แตกเสียแล้ว  ดังนี้แล้ว  ไม่ทำความเศร้าโศก  เจริญมรณสติอย่างเดียว”  ทรงนำอุรคชาดกมาตรัสเล่า ซึ่งมีความตอนหนึ่งเป็นคำปลุกปลอบใจแก่ตนเองของคนที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักว่า  คนตายก็เหมือนกับงูลอกคราบเก่าไปใช้คราบใหม่  คนเราเมื่อตายแล้ว  ถูกนำไปเผา  ไม่มีความรู้สึกใดๆแล้ว  แม้พวกญาติจะไปร้องไห้คร่ำครวญถึง ก็ไม่รับรู้ทั้งสิ้น  ดังนั้น  เราไม่ควรแสดงความเศร้าโศกถึงคนที่ตายไปแล้ว  เขาไปตามทางของเขา  และได้ตรัสในตอนท้ายกับกุฎุมพีนั้นว่า “ท่านอย่าคิดว่า  ลูกรักของเรากระทำกาละแล้ว  แท้จริงความโศกก็ดี  ภัยก็ดี  เมื่อจะเกิด  ย่อมอาศัยของรักนั่นเองเกิด”
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

ปิยโต  ชายเต  โสโก
ปิยโต  ชายเต  ภยํ
ปิยโต  วิปฺปมุตฺตสฺส
นตฺถิ  โสโก  กุโต  ภยํ ฯ

(อ่านว่า)
ปิยะโต  ชายะเต  โสโก
ปิยะโต  ชายะเต  พะยัง
ปิยะโต  วิบปะมุดตัดสะ
นัดถิ  โสโก  กุโต  พะยัง.

(แปลว่า)
ความโศก  ย่อมเกิดแต่ของที่รัก
ภัย  ย่อมเกิดแต่ของที่รัก
ความโศก  ย่อมไม่มีแก่(ปลดเปลื้องได้จากของที่รัก
ภัยจักมีแต่ไหน.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  กุฎุมพีบรรลุโสดาปัตติผล  พระธรรมเทศนามีประโยชน์แก่ชนผู้ประชุมกันแล้ว.

ฐิตา:


03.เรื่องนางวิสาขาอุบาสิกา

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภนางวิสาขาอุบาสิกา  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  เปมโต  ชายเต  เป็นต้น

วันหนึ่ง   หลานสาวของนางวิสาขาชื่อว่า สุทัตตี เสียชีวิต  นางวิสาขามีความเสียใจ นำศพของหลานสาวไปฝังแล้ว ก็ร้องไห้เศร้าโศกรำพึงรำพันถึงเป็นอันมาก   นางได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดา  และได้กราบทูลว่านางเศร้าโศกเพราะคิดหลานสาวที่ตายจากไป  พระศาสดาตรัสว่า  วิสาขา  เธอไม่ตระหนักบ้างหรือว่า  มีคนหลายคนตายในกรุงสาวัตถีทุกวัน  หากเธอรักคนเหล่านั้นเหมือนกับที่เธอรักหลานสาว  เธอก็ต้องร้องไห้โศกเศร้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  ทั้งกลางคืนและกลางวันทีเดียว  พระศาสดาตรัสในช่วงท้ายของพระดำรัสว่า “ถ้ากระนั้น  เธออย่าเศร้าโศก  ความโศกก็ดี  ความกลัวก็ดี  ย่อมเกิดแต่ความรัก”
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

เปมโต  ชายเต  โสโก
เปมโต  ชายเต  ภยํ
เปมโต  วิปฺปมุตฺตสฺส
นตฺถิ  โสโก  กุโต  ภยํ ฯ

(อ่านว่า)
เปมะโต  ชายะเต  โสโก
เปมะโต  ชายะเต  ภะยัง
เปมะโต  วิบปะมุดตัดสะ
นตฺถิ  โสโก  กุโต  พะยัง.

(แปลว่า)
ความโศก  ย่อมเกิดแต่ความรัก
ภัย  ย่อมเกิดแต่ความรัก
ความโศก ย่อมไม่มี  แก่ผู้พ้นวิเศษจากความรัก
ภัยจักมีแต่ไหน.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ฐิตา:


04.เรื่องเจ้าลิจฉวี

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในเมืองเวสาลี  ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา  ทรงปรารภพวกเจ้าลิจฉวี   ตรัสธรรมเทศนานี้ว่า  รติยา  ชายเต  เป็นต้น

ในวันแสดงมหรสพวันหนึ่ง  เจ้าลิจฉวี  ต่างองค์ต่างประดับด้วยเครื่องประดับไม่เหมือนกัน  ดำเนินออกจากเมืองจะเสด็จไปที่อุทยาน  พระศาสดา  เสด็จเข้าไปบิณฑบาต  พร้อมด้วยภิกษุทั้งหลาย  ทรงเห็นเจ้าลิจฉวีเหล่านั้น  จึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า  “ภิกษุทั้งหลาย  พวกเธอจงดูพวกเจ้าลิจฉวี  พวกที่ไม่เคยเห็นเทวดาชั้นดาวดึงส์   ก็จงดูเจ้าลิจฉวีเหล่านี้เถิด”  แล้วเสด็จเข้าไปในเมือง

พวกเจ้าลิจฉวีเหล่านั้น  พาหญิงนครโสเภณีเข้าไปในอุทยานด้วย  แล้วเกิดความหึงหวง  แย่งยิ่งนางงามนี้  จนเกิดการต่อสู้   ประหัตถ์ประหาร  ถึงกับบางคนเลือดตกยางออก  ถูกหามออกมาจากอุทยาน  สวนทางเข้ากับพระศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ที่เพิ่งเสด็จกลับจากบิณฑบาต  ภิกษุกราบทูลพระศาสดาว่า  “พระเจ้าข้า  พวกเจ้าลิจฉวี เมื่อเช้าตรู่ ประดับประดาแล้ว  ออกจากพระนครราวกะพวกเทวดา  บัดนี้  อาศัยหญิงคนหนึ่ง  ถึงความพินาศนี้แล้ว”  พระศาสดาตรัสว่า “ ภิกษุทั้งหลาย  ความโศกก็ดี  ภัยก็ดี  เมื่อจะเกิด  ย่อมอาศัยความยินดีนั่นเองเกิด”
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

รติยา  ชายเต  โสโก
รติยา  ชายเต  ภยํ
รติยา  วิปฺปมุตฺตสฺส
นตฺถิ  โสโก  กุโต  ภยํ  ฯ

(อ่านว่า)
ระติยา  ชายะเต  โสโก
ระติยา  ชายะเต  ภะยัง
ระติยา  วิบปะมุดตัดสะ
นัดถิ  โสโก  กุโต  พะยัง ฯ

(แปลว่า)
ความโศก ย่อมเกิดแต่ความยินดี
ภัย  ย่อมเกิดแต่ความยินดี
ความโศกย่อมไม่มี  แก่ผู้พ้นวิเศษแล้วจากความยินดี
ภัยจักมีแต่ไหน.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
 

ฐิตา:


05. เรื่องอนิตถิคันธกุมาร

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภอนิตถิคันธกุมาร  ตรัสพระธรรมเทศฯนี้ว่า  กามโต  ชายเต  เป็นต้น

อนิตถคันธกุมาร  จุติจากพรหมโลก มาเกิดในตระกูลร่ำรวยตระกูลหนึ่ง  ในกรุงสาวัตถี  ตั้งแต่วันที่เกิดมาแล้ว  ไม่ต้องการจะเข้าใกล้ผู้หญิง  เมื่อถูกผู้หญิงจับตัวก็จะร้องไห้  เวลาจะให้นมบุตร  มารดาต้องเอาผ้าหนาๆมารองไม่ให้ถูกเนื้อต้องตัวบุตร  เมื่อกุมารนั้นเจริญวัย  มารดายายามเกลี้ยกล่อมจะให้แต่งงาน  แต่เขาปฏิเสธเรื่อยมาว่าไม่ชอบผู้หญิง  แต่ในที่สุดทนการเซ้าซี้ของมารดาไม่ไหว  จึงให้ช่างทองมาหล่อรูปทองของผู้หญิงที่มีความงดงามมาก ยากจะหาหญิงที่มีชีวิตจริงๆในโลกนี้ได้  แต่เมื่อส่งคนตระเวนหาไปตามเมืองต่างๆแล้ว ได้ไปพบหญิงที่มีรูปลักษณ์ตรงกับรูปปั้นทองของช่างทอง  อยู่ที่เมืองสาคคลนคร แคว้นมัททะ จึงได้ทำการสู่ขอเพื่อจะนำตัวมาแต่งงานกับอนิตถคันธกุมาร  แต่ทว่าในระหว่างการเดินทาง  นางงามเกิดเจ็บป่วยและได้เสียชีวิตลง   เมื่ออนิตถคันธกุมารทราบข่าวว่าหญิงงามที่สู่ขอมานั้นเสียชีวิต  ก็มีความเศร้าโศกเสียใจเป็นอันมาก

พระศาสดา  ทรงเห็นกุมารผู้นี้เข้ามาอยู่ในข่ายคือพระญาณของพระองค์ ในเวลาใกล้รุ่ง  และทรงทราบว่าเขาอยู่ในภาวะสุกงอมที่จะได้บรรลุธรรม  สมควรจะเสด็จไปโปรด  ดังนั้น เมื่อเสด็จไปบิณฑบาต  จึงเสด็จไปยังประตูบ้านของเขา  มารดาบิดาของกุมารนั้น  อัญเชิญพระศาสดาเสด็จไปภายในบ้าน  ได้อังคาส(ถวายภัตตาหาร)โดยเคารพแล้ว

เมื่อเสร็จภัตตกิจ  พระศาสดาตรัสถามถึงอนิตถคันธกุมาร  มารดาบิดากราบทูลว่า  อดอาหาร นอนอยู่ในห้อง  จึงรับสั่งให้ไปเรียกมาเฝ้า  ตรัสถามและทรงทราบถึงสาเหตุนั้นแล้ว  ตรัสว่า “กุมาร  ความโศกมีกำลัง  เกิดขึ้นแก่เธอ เพราะอาศัยกาม  เพราะความโศกก็ดี  ภัยก็ดี  ย่อมเกิดขึ้น  เพราะอาศัยกาม”
จากนั้น  พระศาสดา  ได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

กามโต  ชายเต  โสโก
กามโต  ชายเต  ภยํ
กามโต  วิปฺปมุตฺตสฺส
นตฺถิ  โสโก  กุโต  ภยํ ฯ

(อ่านว่า)
กามะโต  ชายะเต  โสโก
กามะโต  ชายะเต  พะยัง
กามะโต  วิบปะมุดตัดสะ
นัดถิ  โสโก  กุโต  พะยัง.

(แปลว่า)
ความโศก ย่อมเกิดแต่กาม
ภัย  ย่อมเกิดแต่กาม
ความโศก  ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษแล้วจากกาม
ภัยจักมีแต่ไหน.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   อนิตถคันธกุมาร  บรรลุโสดาบัน.

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version