ผู้เขียน หัวข้อ: ۞๚ เถระคาถา ๚ะ๛ ۞  (อ่าน 43761 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ۞๚ เถระคาถา ๚ะ๛ ۞
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2012, 07:14:42 pm »


               

   มิคสิรเถรคาถา
   สุภาษิตแสดงผลการบวช
                [๒๘๘] เมื่อใด เราได้บวชในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หลุดพ้นจาก
                             กิเลส ได้บรรลุธรรมอันผ่องแผ้วแล้ว ล่วงเสียซึ่งกามธาตุ เมื่อนั้น
                             จิตของเราผู้เพ่งธรรมของพระผู้มีพระภาคผู้เป็นดังพรหม หลุดพ้นแล้ว
                             จากกิเลสทั้งปวง และมารู้ชัดว่า วิมุติของเราไม่กำเริบ เพราะความ
                             สิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวง.


   สิวกเถรคาถา
   สุภาษิตเย้ยตัณหา
                [๒๘๙]       เรือนคืออัตภาพที่เกิดในภพนั้นๆ บ่อยๆ เป็นของไม่เที่ยง เราแสวงหา
                             นายช่างคือตัณหาผู้สร้างเรือน เมื่อไม่พบ ได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสารสิ้น
                             ชาติมิใช่น้อย การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ร่ำไป ดูกรนายช่างผู้สร้างเรือน
                             บัดนี้ เราพบท่านแล้ว ท่านจักไม่ต้องสร้างเรือนให้เราอีก ซี่โครงคือกิเลส
                             ของท่าน เราหักเสียหมดแล้ว และช่อฟ้าคืออวิชชาแห่งเรือนท่าน
                             เราทำลายแล้ว จิตของเราไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดาแล้ว จักดับอยู่ในภพ
                             นี้เอง


   อุปวาณเถรคาถา
   สุภาษิตสรรเสริญพระพุทธองค์
                [๒๙๐]   ดูกรพราหมณ์ พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้เสด็จไปดีแล้วในโลก
                             เป็นมุนี ถูกลมเบียดเบียนแล้ว ถ้าท่านมีน้ำร้อน ขอจงถวายแด่พระผู้มี-
                             พระภาคผู้เป็นมุนีเถิด พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นผู้อันบุคคลบูชา
                             แล้ว กว่าเทวดาและพรหมทั้งหลาย แม้บุคคลควรบูชา อันบุคคล
                             สักการะแล้ว กว่าพระเจ้าพิมพิสารและพระเจ้าโกศล ผู้อันบุคคลพึง
                             สักการะ อันบุคคลนอบน้อมแล้ว กว่าเหล่าพระขีณาสพที่บุคคลควร
                             นอบน้อม เราปรารถนาจะนำน้ำร้อนไปถวายพระองค์.

   อิสิทินนเถรคาถา
   สุภาษิตชี้โทษของกาม
                [๒๙๑]   อุบาสกทั้งหลายผู้ทรงธรรมกล่าวว่า กามทั้งหลายไม่เที่ยง เราได้เห็นแล้ว
                             อุบาสกเหล่านั้นเป็นผู้กำหนัด รักใคร่ห่วงใยในแก้วมณี บุตรธิดา และ
                             ภรรยา เราได้เห็นแล้ว เพราะอุบาสกเหล่านั้น ไม่รู้ธรรมในพระพุทธ
                             ศาสนานี้แน่แท้ แม้ถึงอย่างนั้นก็ได้กล่าวว่า กามทั้งหลายไม่เที่ยง แต่
                             กำลังญาณเพื่อจะตัดราคะของอุบาสกเหล่านั้น ไม่มี เพราะฉะนั้น อุบาสก
                             เหล่านั้นจึงติดอยู่ในบุตรภรรยาและในทรัพย์.


   สัมพหุลกัจจานเถรคาถา
   สุภาษิตเกี่ยวกับผู้รักสงบ
                [๒๙๒]      ฝนก็ตก ฟ้าก็กระหึ่ม เราอยู่ในถ้ำอันน่ากลัวแต่คนเดียว เมื่อเราอยู่ในถ้ำ
                             อันน่ากลัวคนเดียว ความกลัว ความสะดุ้ง หวาดเสียว หรือขนลุก
                             ขนพองมิได้มีเลย การที่เราอยู่ในถ้ำอันน่ากลัวแต่ผู้เดียว ไม่มีความกลัว
                             หรือสะดุ้งหวาดเสียวนี้ เป็นธรรมดาของเรา.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 01, 2012, 07:51:16 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ۞๚ เถระคาถา ๚ะ๛ ۞
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2012, 07:28:19 pm »


       

   ขิตณเถรคาถา
   สุภาษิตแสดงผลการอบรมจิต
                [๒๙๓] จิตของใครตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ดังภูเขา ไม่กำหนัดแล้วในอารมณ์เป็น
                             ที่ตั้งแห่งความกำหนัด ไม่ขัดเคืองในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง
                             ผู้ใดอบรมจิตได้อย่างนี้ ทุกข์จักมาถึงผู้นั้นแต่ที่ไหน จิตของเราตั้งมั่น
                             ไม่หวั่นไหว ดังภูเขา จิตของเราไม่กำหนัดแล้วในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่ง
                             ความกำหนัด ไม่ขัดเคืองในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง เราอบรม-
                             จิตได้แล้วอย่างนี้ ทุกข์จักมาถึงเราแต่ที่ไหนๆ


   โสณโปฏิริยปุตตเถรคาถา
   สุภาษิตแสดงการไม่ยอมแพ้กิเลส
                [๒๙๔] ราตรีอันประกอบด้วยฤกษ์มาลินีเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นราตรีเพื่อจะหลับ
                             โดยแท้ ราตรีเช่นนี้ ย่อมเป็นราตรีอันผู้รู้แจ้ง ปรารถนาแล้วเพื่อ
                              ประกอบความเพียร.
                ครั้นพระโสณะได้ฟังดังนั้นก็สลดใจ ยังหิริและโอตตัปปะให้เข้าไปตั้งไว้แล้ว
                อธิษฐานอัพโภคาสิกังคธุดงค์ กระทำกรรมในวิปัสสนา ได้กล่าวคาถาที่ ๒ นี้ว่า
                ถ้าช้างพึงเหยียบเราผู้ตกลงจากคอช้าง เราตายเสียในสงครามประเสริฐกว่า
                แพ้แล้ว เป็นอยู่จะประเสริฐอะไร.


   นิสภเถรคาถา
   สุภาษิตแสดงความมุ่งหมายของการบวช
                [๒๙๕] วิญญูชนละเบญจกามคุณอันน่ารัก น่ารื่นรมย์ใจแล้ว ออกบวชด้วยศรัทธา
                             แล้วพึงทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เราไม่อยากตาย ไม่อยากมีชีวิตอยู่ และเรา
                             มีสติสัมปชัญญะรอเวลาอันควรเท่านั้น.

   อุสภเถรคาถา
   สุภาษิตเกี่ยวกับความฝัน
                [๒๙๖]   เราฝันว่าได้ห่มจีวรสีอ่อนเฉวียงบ่า นั่งบนคอช้าง เข้าไปบิณฑบาตยัง
                             หมู่บ้าน พอเข้าไปก็ถูกมหาชนพากันมารุมมุงดูอยู่ จึงลงจากคอช้าง
                             กลับลืมตาตื่นขึ้นแล้ว ครั้งนั้น ได้ความสลดใจว่า ความฝันนี้เราไม่มี
                             สติสัมปชัญญะนอนหลับฝันเห็นแล้ว ครั้งนั้น เราเป็นผู้กระด้างด้วยความ
                             มัวเมาเพราะชาติสกุล ได้ความสังเวชแล้ว ได้บรรลุความสิ้นอาสวะ.


   กัปปฏกุรเถรคาถา
   สุภาษิตเตือนตนมิให้ง่วงเหงา
                [๒๙๗] กัปปฏกุรภิกษุเกิดความวิตกผิดว่า เราจักนุ่งห่มผ้าผืนนี้แล้วจักเลี้ยงชีพ
                             ตามมีตามเกิด เมื่อน้ำใสคืออมตธรรมของเรา มีอยู่เต็มเปี่ยมในหม้ออมตะ
                             เราเอาบาตรตักน้ำคืออมตธรรมใส่หม้ออมตะ เพื่อสั่งสมฌานทั้งหลาย
                             ดูกรกัปปฏะ ท่านอย่ามานั่งโงกง่วงอยู่ด้วยคิดว่า จักฟังธรรม เมื่อเรา
                             แสดงธรรมอยู่ในที่ใกล้หูของท่านเช่นนี้ ท่านอย่ามัวนั่งโงกง่วงอยู่ ดูกร
                             กัปปฏะ ท่านนั่งโงกง่วงอยู่ในท่ามกลางสงฆ์เช่นนี้ ไม่รู้จักประมาณเลย.



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 07, 2012, 12:19:56 am โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ۞๚ เถระคาถา ๚ะ๛ ۞
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2012, 07:38:26 pm »




   กุมารกัสสปเถรคาถา
   สุภาษิตสรรเสริญพระรัตนตรัย
                [๒๙๘]       น่าอัศจรรย์หนอ พระพุทธเจ้า พระธรรมและพระคุณสมบัติของพระศาสดา
                             ของเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยประพฤติพรหมจรรย์ของพระสาวกผู้จัก
                             ทำให้แจ้งซึ่งธรรมเช่นนี้ พระสาวกเหล่าใดเป็นผู้ยังไม่ปราศจากขันธ์ ๕
                             ในอสังไขยกัป พระกุมารกัสสปนี้เป็นรูปสุดท้าย แห่งพระสาวกเหล่านั้น
                             ร่างกายนี้มีในที่สุด สงสารคือการเกิดการตายมีในที่สุด บัดนี้ ภพใหม่
                             ไม่มี.


   ธรรมปาลเถรคาถา
   สุภาษิตแสดงชีวิตไม่ไร้ประโยชน์
                [๒๙๙]   ภิกษุหนุ่มรูปใดแล เพียรพยายามอยู่ในพระพุทธศาสนา ก็เมื่อสัตว์
                             ทั้งหลายนอกนี้พากันหลับแล้ว ภิกษุหนุ่มนั้นตื่นอยู่ ชีวิตของเธอไม่ไร้
                             ประโยชน์ เพราะฉะนั้น บุคคลผู้มีปัญญาระลึกถึงคำสอนของพระพุทธ-
                             เจ้าทั้งหลาย พึงประกอบศรัทธา ศีล ความเลื่อมใส และการเห็นธรรม
                             เนืองๆ เถิด


   พรหมาลิเถรคาถา
   สุภาษิตสรรเสริญผู้สงบ
                [๓๐๐]   อินทรีย์ของใครถึงความสงบแล้ว เหมือนม้าอันนายสารถีฝึกดีแล้ว แม้
                             เทวดาทั้งหลาย ย่อมรักใคร่ต่อผู้นั้น ผู้มีมานะอันละแล้ว ไม่มีอาสวะ
                             รู้คงที่ อินทรีย์ทั้งหลายของเราก็ถึงความสงบแล้ว เหมือนม้าอันนายสารถี
                             ฝึกดีแล้ว แม้เทวดาทั้งหลายก็พากันรักใคร่ต่อเรา ผู้มีมานะอันละแล้ว
                             ไม่มีอาสวะ เป็นผู้คงที่.

   โมฆราชเถรคาถา
   สุภาษิตเกี่ยวกับกายเศร้าหมองใจผ่องใส
                [๓๐๑]        ดูกรโมฆราช ภิกษุผู้มีผิวพรรณเศร้าหมอง แต่มีจิตผ่องใส ท่านเป็นผู้มีใจ
                             ตั้งมั่นเป็นนิตย์ จักทำอย่างไรตลอดราตรีแห่งเวลาหนาวเย็นเช่นนี้
                             ข้าพระองค์ได้ฟังมาว่า ประเทศมคธล้วนแต่สมบูรณ์ด้วยข้าวกล้า ข้าพระ-
                             องค์พึงคลุมกายด้วยฟางแล้วนอนให้เป็นสุข เหมือนคนเหล่าอื่นที่มีการ
                             เป็นอยู่เป็นสุข ฉะนั้น.


   วิสาขปัญจาลีปุตตเถรคาถา
   สุภาษิตแสดงองค์คุณพระธรรมกถึก
                [๓๐๒] พระธรรมกถึกประกอบด้วยองค์ดังนี้ คือ ไม่พึงยกตน ๑ ไม่ข่มบุคคล
                             เหล่าอื่น ๑ ไม่พึงกระทบกระทั่งบุคคลเหล่าอื่น ๑ ไม่กล่าวคุณความดี
                             ของตนในที่ชุมนุมชนเพื่อมุ่งลาภผล ๑ ไม่มีจิตฟุ้งซ่าน กล่าวแต่พอ
                             ประมาณ มีวัตร ๑ ภิกษุผู้เป็นธรรมกถึก พึงเป็นผู้มีปกติเห็นเนื้อความ
                             อันสุขุมละเอียด มีปัญญาเฉลียวฉลาด ประพฤติอ่อนน้อม มีศีลตามเยี่ยง
                             อย่างของพระพุทธเจ้านั้น พึงได้นิพพานไม่ยากเลย.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 31, 2012, 04:51:21 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ۞๚ เถระคาถา ๚ะ๛ ۞
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: สิงหาคม 24, 2012, 11:32:32 am »

                 

   จูฬกเถรคาถา
   สุภาษิตชมธรรมชาติและการปฏิบัติธรรม
                [๓๐๓]       นกยูงทั้งหลายมีหงอนงาม ปีกก็งาม มีสร้อยคอเขียวงาม ปากก็งาม
                             มีเสียงไพเราะ ส่งเสียงร่ำร้องรื่นรมย์ใจ อนึ่ง แผ่นดินใหญ่นี้ มีหญ้า
                             เขียวชอุ่ม ดูงาม มีน้ำเอิบอาบทั่วไป ท้องฟ้าก็มีวลาหกอันงาม ท่านก็มี
                             ใจเบิกบานควรแก่การงาน จงเพ่งฌานที่พระโยคาวจร ผู้มีใจดีเจริญแล้ว
                             มีความบากบั่นในพระพุทธศาสนาเป็นอันดี จงบรรลุธรรมอันสูงสุด
                             อันเป็นธรรมขาวผุดผ่อง ละเอียด เห็นได้ยาก เป็นธรรมไม่จุติแปรผัน.


   อนูปมเถรคาถา
   สุภาษิตสอนใจ
                [๓๐๔]    จิตถึงความเพลิดเพลินเพราะธรรมใด ธรรมใดยกขึ้นสู่หลาว และจิตเป็น
                          ดังหลาว เป็นดังท่อนไม้ ขอท่านจงเว้นธรรมนั้นๆ ให้เด็ดขาด ดูกรจิต
                          เรากล่าวธรรมนั้นว่าเป็นธรรมมีโทษ เรากล่าวธรรมนั้นว่า เป็นเครื่อง
                          ประทุษร้ายจิต
พระศาสดาที่บุคคลได้ด้วยยาก ท่านก็ได้แล้ว ท่านอย่า
                          ชักชวนเราในทางฉิบหายเลย.


   วัชชิตเถรคาถา
   สุภาษิตเกี่ยวกับการรู้อริยสัจ
                [๓๐๕]       เมื่อเรายังเป็นปุถุชนมืดมนอยู่ ไม่เห็นอริยสัจ จึงได้ท่องเที่ยววนเวียน
                             ไปมาอยู่ในคติทั้งหลาย ตลอดกาลนาน บัดนี้ เราเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว
                             กำจัดสงสารได้แล้ว คติทั้งปวงเราก็ตัดขาดแล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้มี.


   สันธิตเถรคาถา
   สุภาษิตสรรเสริญอนิจจสัญญา
                [๓๐๖]   เราเป็นผู้มีสติ ได้อนิจจสัญญาอันสหรคตด้วยพุทธานุสติ อยู่ที่โคน
                             อัสสัตถพฤกษ์อันสว่างไสวไปด้วยแสงแห่งไฟและแก้วมณี และผ้ามีสี
                             เขียวงาม ความสิ้นอาสวะเราได้บรรลุแล้วเร็วพลัน เพราะสัญญาที่เรา
                             ได้แล้วในครั้งนั้นในกัปที่ ๓๑ แต่ภัททกัปนี้ไป.

   อังคณิกภารทวาชเถรคาถา
   สุภาษิตชี้ผลการเลือกทางที่ถูกต้อง
                [๓๐๗] เมื่อเราแสวงหาความบริสุทธิ์โดยอุบายไม่สมควร ได้บูชาไฟอยู่ในป่า
                             เมื่อเราไม่รู้ทางแห่งความบริสุทธิ์ ได้บำเพ็ญตบะต่างๆ ความสุขนั้น
                             เราได้แล้วเพราะข้อปฏิบัติอันสบาย ขอท่านจงดูความที่ธรรมเป็นธรรม
                             อันดีงาม วิชชา ๓ เราได้บรรลุแล้ว เราทำกิจพระพุทธศาสนาสำเร็จแล้ว
                             เมื่อก่อนเราเป็นเผ่าพันธุ์แห่งพรหม แต่บัดนี้เราเป็นพราหมณ์ สำเร็จ
                             วิชชา ๓ ล้างบาปแล้ว เป็นผู้มีความสวัสดี รู้จบไตรเพท


   ปัจจยเถรคาถา
   สุภาษิตชี้ผลการทำจริง
                [๓๐๘]       เราบวชแล้วได้ ๕ วัน ยังเป็นเสขบุคคลอยู่ ยังไม่ได้บรรลุอรหัต
                             ความตั้งใจได้มีแล้วแก่เราผู้เข้าไปสู่วิหารว่า เมื่อเรายังถอนลูกศร คือ
                             ตัณหาขึ้นไปไม่ได้ เราจักไม่กิน จักไม่ดื่ม จักไม่ออกไปจากวิหาร จัก
                             ไม่เอนกายลงนอน เชิญท่านดูความเพียร ความบากบั่นของเราผู้ตั้งจิต
                             อธิษฐาน ความเพียรอย่างมั่นคงอยู่อย่างนี้ วิชชา ๓ เราได้บรรลุแล้ว
                             เราทำกิจพระพุทธศาสนาสำเร็จแล้ว.



-http://agaligohome.fix.gs/index.php?topic=515.165
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 21, 2014, 05:04:45 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ۞๚ เถระคาถา ๚ะ๛ ۞
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: สิงหาคม 26, 2012, 08:59:27 am »



   พากุลเถรคาถา
   สุภาษิตสอนให้พูดจริงทำจริง
               [๓๐๙]        ผู้ใดปรารถนาจะทำการงานที่ทำก่อนในภายหลัง ผู้นั้นย่อมพลาดจาก
                             ฐานะอันนำมาซึ่งความสุข และย่อมเดือดร้อนในภายหลัง พึงทำอย่างใด
                             พึงพูดอย่างนั้น ไม่พึงทำอย่างใด ไม่พึงพูดอย่างนั้น บัณฑิตทั้งหลาย
                             ย่อมกำหนดรู้ว่า บุคคลผู้ไม่ทำ มีแต่พูดนั้นมีมาก นิพพานที่พระสัมมา-
                             สัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว เป็นสุขดีหนอ ไม่มีความโศก ปราศจาก
                             กิเลสธุลี ปลอดโปร่ง เป็นที่ดับทุกข์


   ธนิยเถรคาถา
   สุภาษิตสอนการเป็นสมณะ
               [๓๑๐]    ถ้าภิกษุมุ่งหวังในความเป็นสมณะ ปรารถนาจะเป็นอยู่สบาย ไม่ควร
                             ดูหมิ่นจีวร ข้าวและน้ำของสงฆ์ ถ้าภิกษุมุ่งหวังในความเป็นสมณะ
                             ปรารถนาจะเป็นอยู่สบาย พึงเสพที่นอน ที่นั่ง ตามมีตามได้ เหมือน
                             งูและหนูขุดรูอยู่ ฉะนั้น ถ้าภิกษุมุ่งหวังในความเป็นสมณะ ปรารถนาจะ
                             เป็นผู้อยู่สบาย พึงยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ และพึงเจริญธรรมอย่าง
                             เอก คือความไม่ประมาท.


   มาตังคปุตตเถรคาถา
   สุภาษิตชี้โทษความเกียจคร้าน
                [๓๑๑]   ขณะทั้งหลายย่อมล่างพ้นบุคคล ผู้สละการงานโดยอ้างเลศว่า เวลานี้
                             หนาวนัก ร้อนนัก เย็นนัก ก็ผู้ใดเมื่อทำกิจของลูกผู้ชาย ไม่สำคัญ
                             ความหนาวและร้อนยิ่งไปกว่าหญ้า ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมจากความสุข เรา
                             จักแหวกหญ้าแพรก หญ้าคา หญ้าดอกเลา แฝก หญ้าปล้อง และ
                             หญ้ามุงกระต่ายด้วยอก พอกพูนวิเวก.

   ขุชชโสภิตเถรคาถา
   สุภาษิตชี้ทางแห่งความสุข
                [๓๑๒] สมณะเหล่าใดเป็นผู้กล่าวธรรมอันวิจิตร เป็นพหูสูต มีปกติอยู่ใน
                             เมืองปาฏลีบุตร ท่านขุชชโสภิตะซึ่งยืนอยู่ที่ประตูถ้ำนี้ เป็นสมณะผู้หนึ่ง
                             ในจำนวนสมณะเหล่านั้น สมณะเหล่าใดเป็นผู้กล่าวธรรมวิจิตร เป็น
                             พหูสูต มีปกติอยู่ในเมืองปาฏลีบุตร ท่านผู้มาด้วยกำลังฤทธิ์ดังลมพัด
                             ยืนอยู่ที่ประตูถ้ำนี้ ก็เป็นสมณะผู้หนึ่งในจำนวนสมณะเหล่านั้น ขุชช-
                             โสภิตภิกษุนี้ ได้รับความสุขด้วยการประกอบดี การบูชาดี การชนะ
                             สงคราม และการประพฤติพรหมจรรย์เนืองๆ.


   วารณเถรคาถา
   สุภาษิตสอนข้อควรศึกษา
                [๓๑๓] ในหมู่มนุษย์ นรชนใดเบียดเบียนสัตว์อื่น นรชนนั้นย่อมเสื่อมจาก
                             ความสุขในโลกทั้งสอง คือ โลกนี้และโลกหน้า นรชนใดมีจิตประกอบ
                             ด้วยเมตตา อนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งปวง นรชนผู้เช่นนั้น ย่อมได้ประสบ
                             บุญเป็นอันมาก ควรศึกษาถ้อยคำสุภาษิต การเข้าไปนั่งใกล้สมณะ
                             การอยู่แต่ผู้เดียวในที่อันสงัด และธรรมเครื่องสงบระงับจิต.


- http://agaligohome.fix.gs/index.php?topic=515.225

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 31, 2012, 05:51:22 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ۞๚ เถระคาถา ๚ะ๛ ۞
« ตอบกลับ #35 เมื่อ: สิงหาคม 26, 2012, 09:53:11 am »


               

   ปัสสิกเถรคาถา
   สุภาษิตชี้ผลการแนะนำให้คนทำดี
                [๓๑๔]       ก็บรรดาหมู่ญาติผู้ไม่มีศรัทธา ถ้ามีคนมีศรัทธาแม้สักคนหนึ่งเป็นนัก
                             ปราชญ์ ตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมเป็นประโยชน์แก่พวก
                             พ้อง ญาติทั้งหลายอันข้าพระองค์ข่มขี่อนุเคราะห์ ตักเตือน ให้ทำ
                             สักการบูชาในภิกษุทั้งหลาย ด้วยความรักในญาติและเผ่าพันธุ์ ญาติ
                             เหล่านั้นทำกาละล่วงไปแล้ว ได้รับความสุขในไตรทิพย์ พี่ชาย น้อง
                             ชาย และมารดาของข้าพระองค์เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยกามคุณบันเทิงอยู่.


   ยโสชเถรคาถา
   สุภาษิตเกี่ยวกับการอยู่ผู้เดียว
                [๓๑๕] นรชนผู้มีใจไม่ย่อท้อ เป็นผู้รู้จักประมาณในข้าวและน้ำ มีร่างกายซูบ
                             ผอม มีตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เหมือนกับเถาหญ้านาง ภิกษุถูก
                             เหลือบยุงทั้งหลายกัดแล้วในป่าใหญ่ พึงเป็นผู้มีสติอดกลั้นในอันตราย
                             เหล่านั้น เหมือนช้างในสงคราม ภิกษุอยู่ผู้เดียวย่อมเป็นเหมือนพรหม
                             ผู้อยู่ ๒ องค์เหมือนเทพเจ้า ผู้ที่อยู่ด้วยกันมากกว่า ๓ องค์ขึ้นไปเหมือน
                             ชาวบ้าน ย่อมมีความโกลาหลมากขึ้น เพราะฉะนั้น ภิกษุพึงเป็นผู้อยู่
                             แต่ผู้เดียว.


   สาฏิมัตติยเถรคาถา
   สุภาษิตสอนการพึ่งลำแข้งตนเอง
                [๓๑๖]   เมื่อก่อนท่านมีศรัทธา แต่วันนี้ท่านไม่มีศรัทธา สิ่งใดที่เป็นของท่าน
                             ขอสิ่งนั้นจงเป็นของท่านนั่นแหละ ทุจริตของเราไม่มี เพราะศรัทธาไม่
                             เที่ยง
กลับกลอก ศรัทธานั้นเราเคยเห็นมาแล้ว คนทั้งหลายประเดี๋ยวรัก
                             ประเดี๋ยวหน่าย
ดูกรท่านผู้เป็นมุนี ท่านจะเอาชนะในคนเหล่านั้นได้
                             อย่างไร บุคคลย่อมหุงอาหารไว้เพื่อนักปราชญ์ทุกๆ สกุล สกุลละเล็ก
                             ละน้อย เราจักเที่ยวไปบิณฑบาต กำลังแข้งของเรายังมีอยู่.

   อุบาลีเถรคาถา
   สุภาษิตสอนพระบวชใหม่
                [๓๑๗] ภิกษุผู้ออกบวชด้วยศรัทธา ยังเป็นผู้ใหม่ต่อการศึกษา พึงคบหา
                             กัลยาณมิตรผู้มีอาชีพบริสุทธิ์ ไม่เกียจคร้าน ภิกษุผู้ออกบวชด้วยศรัทธา
                             ยังเป็นผู้ใหม่ต่อการศึกษา พึงเป็นผู้ฉลาดอยู่ในสงฆ์ ศึกษาวินัยด้วย
                             อำนาจการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติให้บริบูรณ์ ภิกษุผู้ออกบวชด้วยศรัทธา ยัง
                             เป็นผู้ใหม่ต่อการศึกษา พึงเป็นผู้ฉลาดในสิ่งควรและไม่ควร ไม่ควรถูก
                             ตัณหาครอบงำเที่ยวไป
.


   อุตตรปาลเถรคาถา
   สุภาษิตสอนให้ละกาม
                [๓๑๘]   เบญจกามคุณอันทำใจให้ลุ่มหลง ได้ยังเราผู้เป็นบัณฑิต ผู้สามารถค้น
                             คว้าประโยชน์ให้ตกอยู่ในโลก เราได้แล่นไปในวิสัยแห่งมาร ถูกลูกศร
                             คือ ราคะเสียบอยู่ที่หทัย อย่างมั่นคง
แต่สามารถเปลื้องตนออกจาก
                             บ่วงแห่งมัจจุราชได้ เราละกามทั้งปวงแล้ว ทำลายภพได้หมดแล้ว ชาติ
                             สงสารสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 31, 2012, 05:26:08 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ۞๚ เถระคาถา ๚ะ๛ ۞
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2012, 03:20:52 pm »


               

   อภิภูตเถรคาถา
   สุภาษิตชี้โทษการเกิด
                [๓๑๙]        ขอบรรดาญาติเท่าที่มาประชุมกัน ณ ที่นี้ทั้งหมดจงฟัง เราจักแสดง
                             ธรรมแก่ท่านทั้งหลาย การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ร่ำไป ท่านทั้งหลายจง
                             ปรารภความเพียร จงก้าวออกไป จงประกอบความเพียรในพระพุทธ
                             ศาสนา จงกำจัดเสนาแห่งมัจจุราชเสีย เหมือนกุญชรหักไม้อ้อ ฉะนั้น
                             ผู้ใดจักเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่ในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นจักละชาติสงสาร ทำที่
                             สุดแห่งทุกข์ได้.


   โคตมเถรคาถา
   สุภาษิตสอนให้มุ่งสันติธรรม
                [๓๒๐]       เมื่อเราท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร ได้ไปสู่นรกบ้าง ไปสู่เปรตโลกบ้าง
                             ไปสู่กำเนิดสัตว์เดียรัจฉานอันเป็นทุกข์บ้าง เราได้เสวยทุกข์หลายอย่าง
                             ตลอดกาลนาน เราได้อัตภาพเป็นมนุษย์บ้าง ได้ไปสู่สวรรค์บ้างเป็น
                             ครั้งคราว เราเกิดในรูปภพบ้าง ในอรูปภพบ้าง ในเนวสัญญีนาสัญญี
                             ภพบ้าง ภพทั้งหลายเรารู้แจ้งแล้วว่า ไม่มีแก่นสาร อันปัจจัยปรุงแต่ง
                             ขึ้น เป็นของแปรปรวนกลับกลอก ถึงความแตกหักทำลายไปทุกเมื่อ
                             ครั้นเรารู้แจ้งภพนั้นอันเป็นของเกิดในตนทั้งสิ้นแล้ว เป็นผู้มีสติ ได้
                             บรรลุสันติธรรม.


[๓๒๑]    เหมือนข้อ ๓๐๙.
    หาริตเถรคาถา
    สุภาษิตสอนให้พูดจริงทำจริง
                [๓๐๙]        ผู้ใดปรารถนาจะทำการงานที่ทำก่อนในภายหลัง ผู้นั้นย่อมพลาดจาก
                                ฐานะอันนำมาซึ่งความสุข และย่อมเดือดร้อนในภายหลัง พึงทำอย่างใด
                                พึงพูดอย่างนั้น ไม่พึงทำอย่างใด ไม่พึงพูดอย่างนั้น
บัณฑิตทั้งหลาย
                                ย่อมกำหนดรู้ว่า บุคคลผู้ไม่ทำ มีแต่พูดนั้นมีมาก นิพพานที่พระสัมมา-
                                สัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว เป็นสุขดีหนอ ไม่มีความโศก ปราศจาก
                                กิเลสธุลี ปลอดโปร่ง เป็นที่ดับทุกข์

   วิมลเถรคาถา
   สุภาษิตสอนการคบมิตร
                [๓๒๒]      บุคคลปรารถนาความสุขอันแน่นอน พึงเว้นบาปมิตรแล้ว พึงคบหา
                             กัลยาณมิตร และพึงตั้งอยู่ในโอวาทของกัลยาณมิตรนั้น เต่าตาบอด
                             เกาะขอนไม้เล็กๆ จมอยู่ในห้วงน้ำใหญ่ ฉันใด กุลบุตรอาศัยคนเกียจ
                             คร้านเป็นอยู่ ย่อมจมลงในสังสารวัฏ ฉันนั้น เพราะฉะนั้น บุคคลพึง
                             เว้นคนเกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม ควรอยู่ร่วมกับบัณฑิตทั้งหลาย
                             ผู้สงัดเป็นอริยะ มีใจเด็ดเดี่ยว เพ่งฌาน ปรารภความเพียรเป็นนิตย์.


   นาคสมาลเถรคาถา
   สุภาษิตชี้โทษแห่งบ่วงมัจจุราช
                [๓๒๓]      เราเดินเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร ได้เห็นหญิงฟ้อนรำคนหนึ่ง ตก
                             แต่งร่างกายด้วยเครื่องอาภรณ์ นุ่งห่มผ้าสวยงาม ทัดทรงดอกไม้ ลูบ
                             ไล้ด้วยกระแจะจันทน์ ฟ้อนรำอยู่ในวงดนตรีที่ถนนหลวง ท่ามกลาง
                             พระนคร เป็นดุจบ่วงแห่งมัจจุราชอันธรรมชาติมาดักไว้ เพราะฉะนั้น
                             การกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย จึงบังเกิดขึ้นแก่เรา อาทีนว-
                             โทษปรากฏแก่เรา ความเบื่อหน่ายก็ตั้งลงมั่น ลำดับนั้นจิตของเราก็
                             หลุดพ้นจากสรรพกิเลส ขอท่านจงดูความที่แห่งธรรมเป็นธรรมอันดีเลิศ
                             เราได้บรรลุวิชชา ๓ แล้ว ได้ทำกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 31, 2012, 06:02:46 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ۞๚ เถระคาถา ๚ะ๛ ۞
« ตอบกลับ #37 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2012, 03:55:31 pm »


               

   ภคุเถรคาถา
   สุภาษิตสอนให้มีโยนิโสมนสิการ
                [๓๒๔]       ข้าพระองค์ถูกความง่วงเหงาหาวนอนครอบงำ ได้ออกไปจากวิหาร
                             ขึ้นสู่ที่จงกรม ล้มลงที่แผ่นดิน ณ ที่ใกล้บันได จงกรมนั้นนั่นเอง
                             ข้าพระองค์ลูบเนื้อลูบตัวแล้วขึ้นสู่ที่จงกรมอีก เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นแล้วใน
                             ภายใน เดินจงกรมอยู่ แต่นั้น การกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบ
                             คาย ได้บังเกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์ อาทีนวโทษปรากฏแก่ข้าพระองค์
                             ความเบื่อหน่ายก็ตั้งลงมั่น ลำดับนั้น จิตของข้าพระองค์ก็หลุดพ้นจาก
                             สรรพกิเลส ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตรดูความที่แห่งธรรมเป็นธรรม
                             อันดีเลิศ ข้าพระองค์ได้บรรลุวิชชา ๓ แล้ว ได้ทำกิจพระพุทธศาสนา
                             เสร็จแล้ว.


   สภิยเถรคาถา
   สุภาษิตชี้โทษการทะเลาะวิวาท
                [๓๒๕]      พวกอื่นเว้นบัณฑิตย่อมไม่รู้สึกว่า พวกเราที่ทะเลาะวิวาทกันนี้ จะ
                             พากันยุบยับในท่ามกลางสงฆ์นี้ พวกใดมารู้ชัดในท่ามกลางสงฆ์นั้นว่า
                             พวกเราพากันไปสู่ที่ใกล้มัจจุราช ความทะเลาะวิวาท ย่อมระงับไปได้
                             จากสำนักของพวกนั้นเมื่อใด เขาไม่รู้ธรรมอันเป็นอุบายระงับการทะเลาะ
                             วิวาทตามความเป็นจริง ประพฤติอยู่ดุจไม่แก่ไม่ตาย เมื่อนั้น ความ
                             ทะเลาะวิวาทก็ไม่สงบลงได้ ก็ชนเหล่าใดมารู้แจ้งธรรมตามความเป็น
                             จริง เมื่อสัตว์ทั้งหลายพากันเร่าร้อนอยู่ ชนเหล่านั้น ย่อมไม่เร่าร้อน
                             ความทะเลาะวิวาทของพวกเขา ย่อมระงับไปได้โดยส่วนเดียว การงาน
                             อย่างใดอย่างหนึ่งที่ย่อหย่อน วัตรอันเศร้าหมอง และพรหมจรรย์อัน
                             บุคคลพึงระลึกด้วยความสงสัย กรรม ๓ อย่างนั้น ย่อมไม่มีผลมาก
                             ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ห่าง
                             ไกลจากสัทธรรม เหมือนฟ้ากับดิน ฉะนั้น.


   นันทกเถรคาถา
   สุภาษิตชี้โทษแห่งบ่วงมาร
                [๓๒๖]       เราติเตียนร่างกายอันเต็มไปด้วยของน่าเกลียด มีกลิ่นเหม็น เป็นฝัก
                             ฝ่ายแห่งมาร ชุ่มไปด้วยกิเลส มีช่อง ๙ ช่อง เป็นที่ไหลออกแห่งของ
                             ไม่สะอาดเป็นนิตย์ ท่านอย่าคิดถึงเรื่องเก่า อย่ามาเล้าโลมอริยสาวก
                             ผู้บรรลุอริยสัจธรรมให้ยินดีด้วยอำนาจกิเลส
เพราะอริยสาวกของ
                             พระตถาคตเหล่านั้น ย่อมไม่ยินดีในกามคุณแม้ในสวรรค์ จะป่วย
                             กล่าวไปไยถึงกามคุณอันเป็นของมนุษย์เล่า ก็ชนเหล่าใดแลเป็นคนพาล
                             มีปัญญาทราม มีความคิดชั่ว ถูกโมหะหุ้มห่อไว้แล้ว ชนเหล่านั้น
                             จึงจะกำหนัดยินดีในเครื่องผูกที่มารดักไว้ ชนเหล่าใดคลายราคะ โทสะ
                             และอวิชชาได้แล้ว ชนเหล่านั้นผู้คงที่ เป็นผู้ตัดเส้นด้ายคือตัณหา
                             เครื่องนำไปสู่ภพขาดแล้ว ไม่มีเครื่องผูกพัน ย่อมไม่กำหนัดยินดีใน
                             บ่วงมารนั้น.

   ชัมพุกเถรคาถา
   สุภาษิตชี้โทษการประพฤติทรมานตน
                [๓๒๗]        เราเอาธุลีและฝุ่นทาตัวอยู่ ๕๕ ปี บริโภคอาหารเดือนละครั้ง ถอน
                             ผมและหนวด ยืนอยู่ด้วยเท้าข้างเดียว งดเว้นการนั่ง กินคูถแห้ง ไม่
                             ยินดีอาหารที่เขาเชื้อเชิญ เราได้ทำบาปกรรมอันเป็นเหตุให้ไปสู่ทุคติเป็น
                             อันมากเช่นนั้น ถูกโอฆะใหญ่พัดไปอยู่ ได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
                             ขอท่านจงดูสรณคมน์และความที่ธรรมเป็นธรรมอันดีเลิศ วิชชา ๓ เราได้
                             บรรลุแล้ว เราได้ทำกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว


   เสนกเถรคาถา
   สุภาษิตสรรเสริญพระพุทธองค์
                [๓๒๘] การที่เราได้มา ณ ที่ใกล้ท่าคยาในเดือนผัคคุณมาสนี้ เป็นการมาดีแล้ว
                             หนอ เพราะได้เห็นพระผู้มีพระภาค ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง
                             ผู้แสดงธรรมอันสูงสุด มีพระรัศมีมาก เป็นพระคณาจารย์ ถึงความเป็น
                             ผู้เลิศ เป็นนายกวิเศษของมนุษยโลก พร้อมทั้งเทวโลก ผู้ชนะมาร
                             ผู้มีการเห็นหาสิ่งจะเปรียบมิได้ มีอานุภาพมาก เป็นมหาวีรบุรุษผู้รุ่งเรือง
                             ใหญ่ ไม่มีอาสวะ สิ้นอาสวะทั้งปวง เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์
                             ไม่มีภัยแต่ที่ไหน พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงปลดเปลื้องเรา
                             ผู้มีนามว่าเสนกะ ผู้เศร้าหมองมาแล้วนาน มีสันดานประกอบด้วยมิจฉา
                             ทิฏฐิ จากกิเลสเครื่องร้อยรัด
ทั้งปวง.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 31, 2012, 06:09:18 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ۞๚ เถระคาถา ๚ะ๛ ۞
« ตอบกลับ #38 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2012, 04:35:02 pm »


             

   สัมภูตเถรคาถา
   สุภาษิตชี้ลักษณะคนพาลและบัณฑิต
                [๓๒๙] ผู้ใดรีบด่วนในเวลาที่ควรช้า และช้าในเวลาที่ควรรีบด่วน ผู้นั้นเป็น
                             พาล ย่อมประสบทุกข์ เพราะไม่จัดแจงโดยอุบายอันชอบ ประโยชน์
                             ของผู้นั้นย่อมเสื่อมไป เหมือนพระจันทร์ข้างแรม เขาย่อมถึงความ
                             เสื่อมยศ และแตกจากมิตรทั้งหลาย ผู้ใดช้าในเวลาที่ควรช้า รีบด่วน
                             ในเวลาที่ควรรีบด่วน ผู้นั้นเป็นบัณฑิตถึงความสุข เพราะได้จัดแจง
                             โดยอุบายอันชอบ ประโยชน์ของผู้นั้นย่อมบริบูรณ์ เหมือนพระจันทร์
                             ข้างขึ้น เขาย่อมได้ยศได้เกียรติคุณ และไม่แตกจากมิตรทั้งหลาย.


   ราหุลเถรคาถา
   สุภาษิตแสดงคุณสมบัติ ๒ ประการ
                [๓๓๐] ชนทั้งหลายย่อมรู้จักเราว่า พระราหุลผู้เจริญ สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ
                             ๒ ประการ คือ ชาติสมบัติ ๑ ปฏิบัติสมบัติ ๑ เพราะเราเป็นโอรสของ
                             พระพุทธเจ้า และเป็นผู้มีปัญญาเห็นธรรมทั้งหลาย อนึ่ง เพราะอาสวะ
                             ของเราสิ้นไปและภพใหม่ไม่มีต่อไป เราเป็นพระอรหันต์ เป็นพระทักขิ-
                             ไณยบุคคล มีวิชชา ๓ เป็นผู้เห็นอมตธรรม สัตว์ทั้งหลายเป็นดังคนตา
                             บอด เพราะเป็นผู้ไม่เห็นโทษในกาม ถูกข่ายคือตัณหาปกคลุมแล้ว ถูก
                             หลังคา คือตัณหาปกปิดแล้ว ถูกมารผูกแล้วด้วยเครื่องผูก คือความ
                             ประมาทเหมือนปลาในปากลอบ เราถอนกามนั้นขึ้นได้แล้ว ตัดเครื่อง
                             ผูกของมารได้แล้ว ถอนตัณหา พร้อมทั้งรากขึ้นแล้ว เป็นผู้มีความ
                             เยือกเย็นดับแล้ว.


   จันทนเถรคาถา
   สุภาษิตสอนให้เห็นโทษสังขาร
                [๓๓๑] ภรรยาผู้ปกคลุมด้วยเครื่องประดับล้วนแต่เป็นทอง ห้อมล้อมด้วยหมู่
                             ทาสี อุ้มบุตรเข้ามาหาเรา ก็เวลาที่เราเห็นภรรยาผู้เป็นมารดาของบุตร
                             ของเรานั้นตบแต่งร่างกาย นุ่งห่มผ้าใหม่เดินมา เป็นดุจบ่วงมัจจุราชดัก
                             ไว้ ความทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย ก็เกิดขึ้นแก่เรา โทษแห่ง
                             สังขารทั้งหลายก็เกิดปรากฏแก่เรา ความเบื่อหน่ายก็ตั้งมั่น ลำดับนั้น
                             จิตของเราหลุดพ้นแล้วจากกิเลส ขอท่านจงดูความที่แห่งธรรมเป็นธรรม
                             ดีเลิศ วิชชา ๓ เราได้บรรลุแล้ว เราได้ทำกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว.

   ธรรมิกเถรคาถา
   สุภาษิตชี้ผลต่างระหว่างธรรมและอธรรม
                [๓๓๒]      ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมอันบุคคลประพฤติดีแล้ว
                             ย่อมนำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมอันบุคคลประพฤติดีแล้ว ผู้
                             ประพฤติธรรมย่อมไม่ไปสู่ทุคติ สภาพทั้งสองคือ ธรรมและอธรรม
                             ย่อมมีวิบากไม่เสมอกัน อธรรมย่อมนำไปสู่นรก ธรรมย่อมนำให้ถึง
                             สุคติ เพราะฉะนั้นแหละ บุคคลเมื่อบรรเทิงอยู่ด้วยการให้โอวาทที่พระ
                             ตถาคตผู้คงที่ตรัสไว้แล้วอย่างนี้ ควรทำความพอใจในธรรมทั้งหลาย
                             เพราะสาวกทั้งหลายของพระตถาคตผู้ประเสริฐ เป็นนักปราชญ์ ตั้ง
                             อยู่แล้วในธรรม นับถือธรรมว่าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐสุด ย่อมนำตน
                             ให้พ้นจากทุกข์ได้ ผู้ใดกำจัดรากเง่าแห่งหัวฝี ถอนข่าย คือ ตัณหาได้แล้ว
                             ผู้นั้นเป็นผู้สิ้นสงสาร ไม่มีกิเลสเครื่องกังวลอีกเหมือนพระจันทร์ใน
                             วันเพ็ญปราศจากโทษ ฉะนั้น.


   สัปปเถรคาถา
   สุภาษิตชมธรรมชาติโดยธรรม
               [๓๓๓]     เมื่อใด นกยางทั้งหลายมีขนอันขาวสะอาด ถูกความกลัวต่อเมฆคุกคาม
                            แล้ว ปรารถนาจะหลบซ่อนอยู่ในรัง บินเข้าไปสู่รัง เมื่อนั้น แม่น้ำ
                            อชกรณีย่อมยังเราให้ยินดี เมื่อใดนกยางมีขนขาวสะอาดดี ถูกความ
                            กลัวต่อเมฆดำคุกคามแล้ว ไม่เห็นที่หลบลี้ จึงแสวงหาที่หลบลี้
                            เมื่อนั้น แม่น้ำอชกรณีย่อมยังเราให้ยินดี ต้นหว้าทั้งหลายทั้งสองข้าง
                            แห่งแม่น้ำอชกรณี ทำฝั่งแม่น้ำข้างหลังแห่งถ้ำใหญ่ของเราให้งาม จะไม่
                            ยังสัตว์อะไรให้ยินดีในที่นั้นได้เล่า กบทั้งหลายมีปัญญาน้อย พ้นดีแล้ว
                            จากหมู่แห่งงูมีพิษและงูไม่มีพิษ พากันร้องด้วยเสียงอันไพเราะ วันนี้เป็น
                            สมัยที่อยู่ปราศจากภูเขาและแม่น้ำก็หามิได้ แม่น้ำอชกรณีนี้เป็นแม่น้ำ
                            ปลอดภัย เป็นแม่น้ำเกษมสำราญรื่นรมย์ดี.



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 31, 2012, 06:32:21 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ۞๚ เถระคาถา ๚ะ๛ ۞
« ตอบกลับ #39 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2012, 04:36:11 pm »


             

   มุทิตเถรคาถา
   สุภาษิตชี้ผลการทำจริง
                [๓๓๔]        เรามีความต้องการเลี้ยงชีพ ได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว ภายหลังกลับ
                             ได้ศรัทธา มีความเพียรบากบั่นมั่นคง โดยตั้งใจว่า ร่างกายของเรานี้จง
                             แตกทำลายไป เนื้อหนังของเราพึงเหือดแห้งไป แข้งขาทั้งสองของเรา
                             จะหลุดจากที่ต่อแห่งเข่าทั้งสอง ตกลงไปที่พื้นดินก็ตามที เมื่อเรายังถอน
                             ลูกศรคือตัณหาไม่ได้ เราจักไม่กิน ไม่ดื่ม จักไม่ออกจากวิหาร และ
                             จักไม่เอนกายนอน ขอท่านจงดูความเพียรและความบากบั่นของเรา ผู้อยู่
                             ด้วยความตั้งใจอย่างนั้น เราได้บรรลุวิชชา ๓ แล้ว ได้ทำกิจพระพุทธ
                             ศาสนาเสร็จแล้ว.


   ราชทัตตเถรคาถา
   สุภาษิตสอนให้พิจารณาสังขาร
                [๓๓๕]        ภิกษุไปป่าช้าผีดิบ ได้เห็นซากศพหญิงคนหนึ่งซึ่งเขาทิ้งไว้ในป่าช้า
                             มีหมู่หนอนฟอนกัดกินอยู่ ก็ธรรมดาคนที่ชอบสวยชอบงามบางพวก ได้
                             เห็นซากศพอันเป็นของเลวทราม ย่อมเกลียด แต่ความกำหนัดรักใคร่
                             ย่อมเกิดแก่เขา เขาเป็นเหมือนคนตาบอด เพราะไม่เห็นของไม่สะอาด
                             ที่ไหลออกจากทวารทั้ง ๙ ในซากศพนั้น ภายในเวลาหม้อข้าวสุกหนึ่ง
                             เราหลีกออกจากที่นั้น เรามีสติสัมปชัญญะ เข้าไปสู่ที่ควรแห่งหนึ่ง
                             ทีนั้นการกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันชอบจึงเกิดขึ้นแก่เรา โทษปรากฏ
                             แก่เรา ความเหนื่อยหน่ายก็ตั้งมั่น ลำดับนั้น จิตของเราก็หลุดพ้นจาก
                             กิเลส ขอท่านจงดูความที่ธรรมเป็นธรรมดีเลิศเถิด เพราะวิชชา ๓ เรา
                             ได้บรรลุแล้ว เราได้ทำกิจพระพุทธศาสนาเสร็จ


   สุภูตเถรคาถา
   สุภาษิตสอนไม่ให้ดีแต่พูด
                [๓๓๖]      บุรุษผู้ประสงค์จะทำธุรกิจ เมื่อประกอบตนในกิจที่ไม่ควรประกอบ ถ้า
                             เมื่อขืนประพฤติอยู่อย่างนั้น ก็ไม่พึงได้สำเร็จผล การประกอบในกิจที่
                             ไม่ควรประกอบนั้น มิใช่ลักษณะบุญ ถ้าบุคคลใด ไม่ถอนความเป็นอยู่
                             อย่างลำบากแล้วมาสละธรรมอันเอกเสีย บุคคลนั้นก็พึงเป็นดังคนกาลี
                             ถ้าสละทิ้งคุณธรรมแม้ทั้งปวง ผู้นั้นก็พึงเป็นเหมือนคนตาบอด เพราะ
                             ไม่เห็นธรรมที่สงบและธรรมไม่สงบ บุคคลพึงทำอย่างใด พึงพูดอย่าง
                             นั้นแล ไม่พึงทำอย่างใด ไม่พึงพูดอย่างนั้น บัณฑิตทั้งหลายย่อม
                             กำหนดรู้ว่า บุคคลผู้ไม่ทำ ดีแต่พูดนั้นมีมาก ดอกไม้งาม มีสีแต่ไม่มี
                             กลิ่น ฉันใด วาจาอันเป็นสุภาษิต ย่อมไม่มีผลแก่บุคคลผู้ไม่ทำอยู่
                             ก็ฉันนั้น ดอกไม้งาม มีสี มีกลิ่น ฉันใด วาจาอันเป็นสุภาษิตย่อม
                             มีผลแก่บุคคลผู้ทำอยู่ ฉะนั้น.

   คิริมานันทเถรคาถา
   สุภาษิตเย้ยฟ้าท้าฝน
                [๓๓๗]         ฝนตกเสียงไพเราะเหมือนเพลงขับ กุฏีของเรามุงดีแล้ว มีประตู
                             หน้าต่างมิดชิดดี เราเป็นผู้สงบอยู่ในกุฏีนั้น ถ้าประสงค์จะตกก็ตกลงมา
                             เถิดฝน ฝนตกไพเราะเหมือนเพลงขับ กุฏีของเรามุงดีแล้ว มีประตูหน้า
                             ต่างมิดชิดดี เราเป็นผู้มีจิตสงบอยู่ในกุฏีนั้น ถ้าประสงค์จะตกก็ตกลงมา
                             เถิดฝน ฯลฯ เราเป็นผู้ปราศจากราคะ อยู่ในกุฏีนั้น ฯลฯ เราเป็นผู้
                             ปราศจากโทสะอยู่ในกุฏีนั้น ฯลฯ เราเป็นผู้ปราศจากโมหะอยู่ในกุฏีนั้น
                             ถ้าประสงค์จะตกก็ตกลงมาเถิดฝน.


   สมุนเถรคาถา
   สุภาษิตแสดงผลการปฏิบัติธรรม
                [๓๓๘]       ท่านพระอุปัชฌายะปรารถนาธรรมใด ในบรรดาธรรมทั้งหลายเพื่อเรา
                             อนุเคราะห์ เราผู้จำนงหวังอมตนิพพาน กิจที่ควรในธรรมนั้นเราทำเสร็จ
                             แล้ว ธรรมที่มิใช่สิ่งที่อ้างว่าท่านกล่าวมาอย่างนี้ เราได้บรรลุแล้ว ทำให้
                             แจ้งแล้วด้วยตนเอง เรามีญาณอันบริสุทธิ์ หมดความสงสัย จึงได้
                             พยากรณ์ในสำนักของท่าน เรารู้จักขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยในก่อน ทิพยจักษุ
                             เราได้ชำระแล้ว ประโยชน์ของตนเราได้บรรลุแล้ว คำสั่งสอนของพระ
                             พุทธเจ้าเราได้ทำแล้ว สิกขา ๓ อันเราผู้ไม่ประมาท ได้ฟังดีแล้วใน
                             สำนักของท่าน อาสวะทั้งปวงของเราสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี
                             ท่านเป็นผู้มีความเอ็นดู อนุเคราะห์สั่งสอนเราด้วยวัตรอันประเสริฐ
                             โอวาทของท่านไม่ไร้ประโยชน์ เราได้ศึกษาอยู่ในสำนักของท่าน.



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 31, 2012, 08:03:12 pm โดย ฐิตา »