ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง

วันภาษาไทยแห่งชาติ-ใช้ให้ถูกต้อง

<< < (4/6) > >>

sithiphong:
คำบุพบท หน้าที่คืออะไร มาเรียนภาษาไทยกันดีกว่า
-http://education.kapook.com/view70184.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          การเรียนรู้หลักการและความสัมพันธ์ในการใช้คำบุพบท จะทำให้เราสามารถเรียบเรียงประโยคที่ใช้ในการสื่อสารได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งจะทำให้คนที่ฟังประโยคนั้น ๆ เข้าใจรูปประโยคได้ง่าย และสามารถนำไปตีความได้อย่างถ่องแท้ วันนี้ กระปุกดอทคอมจึงไม่พลาดที่จะหยิบเอาหลักการง่าย ๆ ในการใช้คำบุพบทมาฝากกัน

          ก่อนอื่นมารู้จักความหมายของคำบุพบทกันก่อน สำหรับ คำบุพบท ก็คือ คำที่ใช้นำหน้าคำนาม คำสรรพนาม คำกริยา หรือคำวิเศษณ์ เพื่อบอกสถานภาพของคำเหล่านั้น หรือเพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำหรือประโยค ทีนี้ เราลองมาดูกันว่า คำบุพบทมีอะไรบ้าง แบ่งออกได้เป็นกี่ชนิด และสามารถวางในตำแหน่งใดได้บ้างค่ะ

           คำบุพบท มีอะไรบ้าง
 
          คำบุพบทที่ใช้กันในภาษาไทยมีมากมายหลายคำ แต่ที่ทุกคนน่าจะใช้กันบ่อย ๆ ก็อย่างเช่น กับ ใน ของ ด้วย โดย แก่ แต่ แด่ ต่อ ซึ่ง เฉพาะ ตาม กระทั่ง จน เมื่อ ณ ที่ ใต้ บน เหนือ ใกล้ ไกล ริม ข้าง ตั้งแต่ เกือบ กว่า ตลอด ราว จาก สัก และสำหรับ เป็นต้น ซึ่งคำเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในการนำหน้าคำนาม คำสรรพนาม หรือคำกริยา เพื่อแสดงความสัมพันธ์ของคำ

          ประเภทของคำบุพบท

          คำบุพบทแต่ละคำย่อมมีหน้าที่ และความหมายที่แตกต่างกัน ดังนั้น การนำมาใช้ก็แตกต่างกันไปด้วย โดยตามหลักภาษาไทยแล้ว คำบุพบท แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ตามลักษณะการนำมาใช้ คือ คำบุพบทที่ต้องเชื่อมกับคำอื่น และคำบุพบทที่ไม่จำเป็นต้องเชื่อมกับคำอื่น เราลองไปดูตัวอย่าง และวิธีการใช้กัน


          1. คำบุพบทที่ต้องเชื่อมกับคำอื่น เพื่อบ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างคำ และบอกสถานการณ์ให้ชัดเจน ได้แก่

           บอกสถานภาพความเป็นเจ้าของ เช่น

           ฉันซื้อสวนของนางอุบล

           สระว่ายน้ำของเขาใหญ่โตแท้ ๆ

           อะไรของเธออยู่ในกระเป๋า

           รถของฉันอยู่ในบ้าน

 

          บอกความเกี่ยวข้อง เช่น

           เธอต้องการขนมในถุงนี้

          พี่เห็นแก่น้อง

          เธอไปกับฉัน

          เขาอยู่กับฉันที่บ้าน

 

          บอกการให้และบอกความประสงค์ เช่น

           ไข่เจียวจานนี้เป็นของสำหรับพระ

          ครูให้รางวัลแก่เด็กนักเรียน

          แม่ให้ของที่ระลึกแก่โรงเรียน

          นักเรียนมอบของที่ระลึกแด่ครู


 
          บอกเวลา เช่น

          เธอมาตั้งแต่เช้า

          ตลอดสายวันนี้

          ฝนตกตั้งแต่เช้ายันบ่าย

          เขาอยู่เมืองนอกเมื่อปีที่แล้ว


 
          บอกสถานที่ เช่น

          สมชายมาจากขอนแก่น

          เขาขับรถอยู่บนทางเท้า

          ใครอยู่ในห้องน้ำ

          ณ ที่แห่งนี้คือที่ไหน


 
          บอกความเปรียบเทียบ เช่น

           เขาหนักกว่าฉัน

           เขาสูงกว่าพ่อ

           เธอสูงแต่ฉันเตี้ย

           เขามีรถแต่ฉันไม่มี

           บ้านเธออยู่ใกล้แต่บ้านฉันอยู่ไกล

           เหนือฟ้ายังมีฟ้า

 

          2. คำบุพบทที่ไม่มีความสัมพันธ์กับคำอื่น ไม่จำเป็นต้องเชื่อมกับคำอื่น ส่วนมากจะอยู่ต้นประโยค เช่น

           ดูกร ดูก้อน ดูราช้าแต่

           ดูกร ท่านพราหมณ์

           ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย

           ดูรา สหายเอ๋ย

           ช้าแต่ ท่านทั้งหลาย           

          จะเห็นได้ว่าคำบุพบทประเภทนี้ มักไม่เป็นที่นิยมใช้กันเท่าไรนัก ส่วนมากจะเห็นในบทประพันธ์มากกว่า
 
          หน้าที่ของคำบุพบท

          นอกจากจะสามารถแบ่งคำบุพบทออกเป็น 2 ประเภทแล้ว เรายังสามารถแบ่งคำบุพบทได้ตามลักษณะหน้าที่ของคำนั้นที่่ใช้เชื่อมคำหรือประโยคด้วย ซึ่งเราแบ่งออกได้ 5 ประเภท คือ

           1. นำหน้าคำนาม เช่น

           ในตู้มีอะไร

           บนโต๊ะว่างเปล่า

           จนกระจกแตก

           เขาไปกับน้องสาว

          2. นำหน้าคำสรรพนาม เช่น

           รถของเธอ

           ปากกาของฉัน

           ไปกับฉันไหม

           หมาเดินตามคุณ

           ผึ้งอยู่ใกล้ผม

           เนื่องด้วยข้าพเจ้า

          3. นำหน้าคำกริยา เช่น

           ขอไปด้วยคน

           มาไกลไปไหม
 
           เดินบนทางเท้า

           ขอฟังต่ออีกสักหน่อย

           เขาพูดราว 1 ชั่วโมงแล้วนะ

           ผมใกล้อ่านหนังสือออกแล้ว

          4. นำหน้าคำวิเศษณ์ เช่น

           เขาต้องมาหาฉันโดยเร็ว

           เขาเลวสิ้นดี

           ปากกาของฉันสีม่วง

           ขนมอร่อยมากแต่หมดแล้ว

           ฉันมองไม่เห็นที่นั่น

           ฉันรักแม่เหนือสิ่งอื่นใด


          5. นำหน้าประโยค เช่น

           เมื่อไหร่เขาจะมาสักที

           กระทั่งน้องเลิกโรงเรียน

           ตั้งแต่เมื่อวานเขายังไม่กลับบ้านเลย

           ข้างบ้านไม่มีใครอยู่เลย

           เกือบเดือนแล้วที่ไม่ได้อาบน้ำ

           ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์

          ทั้งนี้ ยังมีข้อสังเกตเกี่ยวกับคำบุพบทว่า ในบางประโยคที่เราใช้พูดคุยกัน อาจละคำบุพบทนั้นไว้ แต่ยังมีความหมายตามเดิม และก็ยังเป็นที่เข้าใจกันอยู่ เช่น พี่ให้เงิน (แก่) น้อง, แม่ (ของ) ฉันเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ

          นอกจากนี้ บางครั้งคำบุพบทก็มีลักษณะคล้ายคำวิเศษณ์ แต่ต่างกันตรงที่คำบุพบทจะวางไว้หน้าคำ ส่วนคำวิเศษณ์จะทำหน้าที่ขยายอยู่หลังคำนั้น ดังนั้นแล้ว หากไม่มีคำนาม หรือสรรพนามตามหลัง คำนั้นจะเป็นคำวิเศษณ์ เช่น เธออยู่ใน พ่อยืนอยู่ริม, ฉันอยู่ใกล้แค่นี้เอง ฯลฯ

          เห็นไหมว่าการนำคำบุพบทมาใช้ในการเชื่อมรูปประโยคไม่ใช่เรื่องยากเลย ขอเพียงให้เราเข้าใจหลักการของการนำมาใช้ให้ถูกต้อง เพียงเท่านี้ก็จะทำให้การสื่อสารไปยังผู้รับสารประสบผลสำเร็จได้ อย่างสมบูรณ์แบบแล้วล่ะ

sithiphong:
::....สำนวนกับการใช้ภาษาไทย.....::
-http://www.thaigoodview.com/node/76797-

 โดยเหตุที่ภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสาร จึงได้ทำหน้าที่บันทึกเรื่องราวของวัฒนธรรมแขนงต่าง ๆและถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง ทั้งด้วยการบอกเล่า และจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรภาษาจึงมีบทบาทในการอนุรักษ์วัฒนธรรมมิให้สูญหายไปตามกาลเวลา


ภาพสะท้อนของสังคมในแต่ละยุคสมัย มโนทัศน์ของคนกลุ่มต่าง ๆ ได้บันทึกไว้ด้วยภาษาดังนั้นการศึกษาภาษาและเรื่องราวจากวรรณกรรมต่าง ๆ จึงช่วยให้เข้าใจวิถีชีวิตและความรู้สึกนึกคิดของคนในสังคม


นอกจากคำศัพท์ที่มีความแตกต่างจะสะท้อนให้เห็นลักษณะของวัฒนธรรมทางภาษาแล้วสำนวนภาษิตก็นับว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากในการสะท้อนความคิด และแบบแผนทางวัฒนธรรมของคนในชาติ สำนวนบางสำนวน ชี้ให้เห็นความสำคัญของการใช้ภาษาอย่างชัดเจน เช่น


สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล
ความหมายของสำนวนนี้ หมายถึง การแสดงออกทั้งการพูดและกิริยามารยาทย่อมชี้ให้เห็นที่มา หรือพื้นฐานการอบรมของคน คนที่เกิดในตระกูลดี ได้รับการอบรมมาดี ย่อมมีกิริยาวาจาดี ส่วนคนชั้นต่ำ ไม่ได้รับการอบรม มักพูดจาหยาบคาย ไม่มีกิริยามารยาท


พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วอัปราชัย
สำนวนนี้ แสดงให้เห็นความสำคัญของการพูด ถ้าพูดดีก็นำสิ่งดีมาให้ ถ้าพูดไม่ดีก็จะได้สิ่งที่ไม่ดีตอบแทน ซึ่งสอดคล้องกับวัฒนธรรมทางภาษา ซึ่งเน้นให้รู้จักพูดจาให้เหมาะกับกาลเทศะ


ถึงแม้ว่าภาษาจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของวัฒนธรรม แต่ก็ควรเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แสดงให้เห็นความเจริญงอกงาม ไม่ใช่เปลี่ยนไปทางเสื่อม หรือวิบัติเนื่องจากไม่เข้าใจและไม่เห็นคุณค่าที่แท้จริงของภาษา เจตนาใช้ภาษาให้ผิดเพี้ยนไปเพราะนึกว่าเป็นของโก้เก๋ หรือไม่ใส่ใจจะศึกษาว่าที่ถูกนั้นควรเป็นอย่างไร

แหล่งอ้างอิง:
เอกสารประกอบการเรียนรู้วิชา ท๔๓๑๐๒ ภาษากับวัฒนธรรม

sithiphong:
ปัจจุบันนี้ ผมนำเรื่องนี้มาพิจารณา  ซึ่งเห็นได้ว่า ทำให้ใจเรา ลดความร้อนลง

ถ้าใครด่าเรา ไม่ว่าจะด่าอย่างไร  อย่าไปสนใจ

ผมอยากจะบอกว่า "ใครจะด่าเรา ก็ช่างเขา ช่างมัน  เพียงให้รู้ไว้ว่า ครอบครัวและวงศ์ตระกูลของเขา  อบรมสั่งสอนต่อๆกันมาแบบนี้  ความเป็นผู้ดีหรือคนดี ไม่ได้อยู่ที่ฐานะและการเงิน แต่อยู่ที่การกระทำของตัวเอง"

sithiphong:
พิพิธภัณฑ์ธงชาติไทย แนะวิธีลดธงครึ่งเสาที่ถูกต้อง
-http://hilight.kapook.com/view/92734-





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก พิพิธภัณฑ์ ธงชาติไทย

          พิพิธภัณฑ์ธงชาติไทย แนะวิธีลดธงครึ่งเสาที่ถูกต้อง เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนที่ต่างสงสัยว่า การลดธงครึ่งเสา คือ การลดธงลงมาครึ่งเสาตามภาษาพูดจริงหรือไม่

          สืบเนื่องจากประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่ให้หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจลดธงลงครึ่งเสา 3 วัน เพื่อไว้อาลัยแด่การสิ้นพระชนม์ของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

          ทางด้านเฟซบุ๊ก พิพิธภัณฑ์ ธงชาติไทย ก็โพสต์ข้อมูลเรื่อง "วิธีการลดธงครึ่งเสา" อย่างถูกต้อง ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า การลดธงครึ่งเสาที่ถูกวิธี คือ ในเวลา 08.00 น. ให้ชักธงชาติถึงยอดเสา และหลังจากที่จบเพลงชาติ จึงลดธงชาติลงมาที่ความสูง 1 ใน 3 ของเสา ไม่ใช่ลดธงลงมาที่ตำแหน่งครึ่งเสาอย่างในภาษาพูด

          ส่วนในเวลา 18.00 น. ให้ชักธงชาติขึ้นจนสุดยอดเสาก่อนเพลงชาติเริ่มต้น และลดธงลงจากเสาตามปกติจนจบเพลงชาติ จึงปลดธงชาติแล้วพับวางบนพาน นำไปเก็บที่อันสมควร


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.thaiflag.org/-
-https://www.facebook.com/photo.php?fbid=593994120667082&set=a.103840809682418.6548.100001694983517&type=1&relevant_count=1-

sithiphong:
กวีวัจน์สัมผัสใจ
www.literatureandhistory.go.th/index.php?app=academic&fnc...‎

หนังสือ-ความรู้

         “โลกคือมนทิรแผ้ว   ไพศาล
      ห้องหับสรรพโอฬาร      เลิศแล้
      หนังสือดุจประแจทวาร      ไขสู่  ห้องนา
      จักพบรัตนแท้         ก่องแก้ววิทยา”
            พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี

      “หนังสือนี้  มีมากมาย  หลายชนิด      นำดวงจิต  เริงรื่น  ชื่นสดใส
      ให้ความรู้  สำเริง  บันเทิงใจ      ฉันจึงใฝ่  ใจสมาน  อ่านทุกวัน
      มีวิชา  หลายอย่าง  ต่างจำพวก      ล้วนสะดวก  ค้นได้  ให้สุขสันต์
      วิชาการ  สรรมา  สารพัน         ชั่วชีวัน  ฉันอ่านได้  ไม่เบื่อเลย”
                      จาก ฉันชอบอ่านหนังสือ
                    พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี

         กะวีสง่าแม้น      มณีสาร
      คำเพราะคือสังวาลย์      กอบแก้ว
      ควรเพิ่มวิริยะการ      กะวีเวท  เทอญพ่อ
      กอบกิจประเสริฐแล้ว      ไป่ต้องร้อนตัว
                      จาก พระนลคำหลวง 
          พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว

         นานาประเทศล้วน   นับถือ
      คนที่รู้หนังสือ         แต่งได้
      ใครเกลียดอักษรคือ      คนป่า
      ใครเยาะกะวีไซร้         แน่แท้คนดง
                         จาก พระนลคำหลวง
      พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว


       

      ปากเปนเอกเลขเปนโทโบราณว่า   หนังสือตรีมีปัญญาไม่เสียหลาย
   ถึงรู้มากไม่มีปากลำบากตาย      มีอุบายพูดไม่เปนเห็นป่วยการ
   ถึงเปนครูรู้วิชาปัญญามาก      ไม่รู้จักใช้ปากให้จัดจ้าน
เหมือนเต่าฝั่งนั่งซื่อฮื้อรำคาญ      วิชาชาญมากเปล่าไม่เข้าที
                   จาก วิวาห์พระสมุท
   พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว

    ด้วยก่อนเก่าเหล่าลูกตระกูลปราชญ์   ทั้งเชื้อชาติชนผู้ดีมียศศักดิ์
ย่อมหัดฝึกศึกษาข้างอาลักษณ์         ล้วนรู้หลักพากย์พจน์กลบทกลอน
ทุกวันนี้มีแต่พาลสันดานหยาบ         ประพฤติบาปไปเสียสิ้นแผ่นดินกระฉ่อน
จะหาปราชญ์เจียนจะขาดพระนคร      จึงขอพรพุทธาไตรยาคุณ
อันกุลบุตรจะสืบสายไปภายหน้า         จงปรีชาแช่มชื่นทุกหมื่นขุน
ให้ฝักใฝ่ในกุศลผลบุญ            อย่ามั่วมุ่นฝิ่นฝาสุราบาน
            พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

      รู้น้อยว่ามากรู้   เริงใจ
   กลกบเกิดอยู่ใน      สระจ้อย
   ไป่เห็นชเลไกล      กลางสมุทร
   ชมว่าน้ำบ่อน้อย      มากล้ำลึกเหลือ
             จาก โคลงโลกนิติ
พระนิพนธ์สมเด็จฯกรมพระยาเดชาดิศร   

      ความรู้ดูยิ่งล้ำ      สินทรัพย์
   คิดค่าควรเมืองนับ      ยิ่งไซร้
   เพราะเหตุจักอยู่กับ      กายอาต  มานา
   โจรจักเบียนบ่ได้         เร่งรู้เรียนเอา
            จาก โคลงโลกนิติ
พระนิพนธ์สมเด็จฯกรมพระยาเดชาดิศร



         พริกเผ็ดใครให้เผ็ด   ฉันใด
      หนามย่อมแหลมเองใคร      เซี่ยมให้
      จันทร์กฤษณาไฉน      ใครอบ  หอมฤๅ
      วงศ์แห่งนักปราชญ์ได้      เพราะด้วยฉลาดเอง
               จาก โคลงโลกนิติ
พระนิพนธ์สมเด็จฯกรมพระยาเดชาดิศร

      เกิดมาเป็นคน   หนังสือเป็นต้น   วิชาหนาเจ้า
   ถ้าแม้นไม่รู้   อดสูอายเขา   เพื่อนฝูงเยาะเย้า          ว่าเง่าว่าโง่
      ลางคนเกิดมา   ไม่รู้วิชา         เคอะอยู่จนโต
   ไปเป็นข้าเขา   เพราะเขาเง่าโง่       บ้างเป็นคนโซ         เที่ยวขอก็มี
      ถ้ารู้วิชา          ประเสริฐหนักหนา       ชูหน้าราศี
   จะไปแห่งใด   มีคนปรานี   ยากไร้ไม่มี   สวัสดีมงคล
                  จาก สุบินคำกลอน   

      กล้วยไม้ออกดอกช้า   ฉันใด
   การศึกษาเป็นไป         เช่นนั้น
   แต่ดอกออกคราใด      งามเด่น
   การศึกษาปลูกปั้น      เสร็จแล้วแสนงาม
            ของ หม่อมหลวงปิ่น  มาลากุล


ความรักชาติ

รักชาติยอมสละแม้   ชีวี
      รักเกียรติจงเจตน์พลี      ชีพได้
      รักราชมุ่งภักดี         รองบาท
      รักศาสน์ราญเศิกไส้      เพื่อเกื้อพระศาสนา ฯ
         อันสยามเป็นบ้านเกิด   เมืองนอน
      ดุจบิดามารดร         เปรียบได้
      ยามสุขสโมสร         ทุกเมื่อ
      ยามศึกทุกข์ยากไร้      ปลาตเร้นฤๅควร ฯ
                        จาก กษัตริยานุสรณ์
                พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี

         มะโนมอบพระผู้      เสวยสวรรค์
      แขนมอบถวายทรงธรรม์      เทอดหล้า
      ดวงใจมอบเมียขวัญ      และแม่
      เกียรติศักดิ์รักของข้า      มอบไว้แก่ตัว
                  จาก โคลงภาษิตนักรบโบราณ
            พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว

         รักราช  จงจิตน้อม   ภักดี  ท่านนา
      รักชาติ  กอบกรณีย์      แน่วไว้
      รักศาสน์  กอบบุญตรี      สุจริต   ถ้วนเทอญ
      รักศักดิ์  จงจิตให้      โลกซร้องสรรเสริญ
         ยามเดินยืนนั่งน้อม   กะมล
      รำลึกถึงเทศตน         อยู่ยั้ง
      เปนรัฏฐะมณฑล      ไทยอยู่  สราญฮา
      ควรถนอมแน่นตั้ง      อยู่เพี้ยงอวสาน
         ใครรานใครรุกด้าว   แดนไทย
      ไทยรบจนสุดใจ         ขาดดิ้น
      เสียเนื้อเลือดหลั่งไหล      ยอมสละ  สิ้นแล
      เสียชีพไป่เสียสิ้น         ชื่อก้องเกียรติงาม
         หากสยามยังอยู่ยั้ง   ยืนยง
      เราก็เหมือนอยู่คง      ชีพด้วย
      หากสยามพินาศลง      ไทยอยู่  ได้ฤา
      เราก็เหมือนมอดม้วย      หมดสิ้นสกุลไทย
                     จาก สยามมานุสสติ
               พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว

         เรานี้เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง      ควรคำนึงถึงชาติศาสนา
   ไม่ควรให้เสียที่ที่เกิดมา         ในหมู่ประชาชาวไทย
   แม้ใครตั้งจิตคิดรักตัว         จะมัวนอนนิ่งอยู่ไฉน
   ควรจะร้อนอกร้อนใจ         เพื่อให้พรั่งพร้อมทั่วตน
   ชาติใดไร้รักสมัครสมาน         จะทำการสิ่งใดก็ไร้ผล
   แม้ชาติย่อยยับอับจน         บุคคลจะสุขอยู่อย่างไร
      ใครมาเปนเจ้าเข้าครอง      คงจะต้องบังคับขับไส
   เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไป         ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย
   เขาจะเห็นแก่หน้าค่าชื่อ         จะนับถือพงศ์พันธุ์นั้นอย่าหมาย
   ไหนจะต้องเหนื่อยยากลำบากกาย   ไหนจะอายทั่วทั้งโลกา
      เพราะฉะนั้นชวนกันสวามิภักดิ์   จงรักร่วมชาติศาสนา
   ยอมตายไม่เสียดายชีวา         เพื่อรักษาอิสระคณะไทย
   สมานสามัคคีให้ดีอยู่         จะสู้ศึกศัตรูทั้งหลายได้
   ควรคิดจำนงจงใจ         เปนไทยจนสิ้นดินฟ้า
                  จาก บทชวนรักชาติ
            พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว

      การที่รักชาติต้องเข้าใจว่าเหมือนรักตัวของเราเอง   ใครข่มเหงชาติควรต้องเจ็บแค้นเหมือนหนึ่งข่มเหงตัวเรา
                  จาก ความดีมีไชย
            พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว


       เกิดเป็นไทยชายหญิงไม่นิ่งขลาด   
   แสนสมัครรักชาติศาสนา
กตัญญูสู้ตายถวายชีวา
   ต่อเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินสิ้นทุกคน
   ยามสบายปล่อยชายเป็นนายทหาร
   ครั้นเกิดการศึกเสือเมื่อขัดสน
   พวกผู้หญิงมิใช่นิ่งทิ้งอับจน
   เคยออก   ขวนขวายช่วยม้วยไม่กลัว
   เปลก็ไกวดาบก็แกว่งแข็งหรือไม่
   ไม่อวดหยิ่งหญิงไทยมิใช่ชั่ว
   ไหนไถถากตรากตรำไหนทำครัว
   มิใช่รู้แต่จะยั่วผัวเมื่อไร
   แรงเหมือนมดอดเหมือนกากล้าเหมือนหญิง
   นั่นจะจริงเหมือนว่าหรือหาไม่
   เมืองถลางปางจะวอดรอดเพราะใคร
   ผู้หญิงไทยไล่ฆ่าพม่าแท้
               จาก ท้าวเทพกษัตรีย์
พระนิพนธ์สมเด็จฯ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์

      มนัสไทยประณตท้าว   นรินทร์ไทยมิท้อถอน
   มิผูกรักมิภักดิ์บร         มิพึ่งบารมีบุญ
      ถลันจ้วงทะลวงจ้ำ   บุรุษนำอนงค์หนุน
   บุรุษรุกอนงค์รุน         ประจญร่วมปรัจัญบาน
      อนงค์เพศมนัสพี      รชาติพงศ์ทหารหาญ
   มิได้ดาบก็คว้าขวาน      มิได้หอกก็คว้าหลาว
      มิได้มีดก็เอาไม้      ตะบองสั้นตะบองยาว
   กระหน่ำฟาดพิฆาตลาว      กระเด็นโลดกระโดดงง
      ผิอยู่เหย้าสิอ้อนแอ้น   ฤทัยอ่อนระทวยองค์
   ผิยามทุกข์สิยรรยง      เผยอยศอนงค์สรรพ์
                   จาก ท่านโม้
ของ พระยาอุปกิตศิลปสาร

      อ้าเพศก็เพศนุชอนงค์   อรองค์ก็บอบบาง
   ควรแต่ผดุงอรสอาง      ศุภลักษณ์ประโลมใจ
      ยามเข็ญก็เข็นสริรช่วย   คณะชายผจญภัย
   โอ้ควรจะเอื้อนพจนไข      คุณะเลิศมโหฬาร
      อ้าหัตถ์ก็หัตถ์สุขุมพรร   ณพิลัยอลังการ
   ควรแต่จะถือมธุรมาล      ยประยูรมโนรม
      ยามทุกข์ก็ถือวิวิธอา   วุธร่วมสมาคม
   โอ้ควรจะเอื้อนพจนชม      คุณชั่วนิรันดร์กาล
      อ้าเสียงก็เสียงนุชอนงค์   เสนาะโสตกระแสหวาน
   ควรแต่จะซ้องสรประสาน      ดุริยางค์พยุงใจ
      ยามแค้นก็แค่นกมลซ้อง   สรโห่กระหึมไพร
   โอ้ควรจะชมนุชไฉน      นะจะหนำมโนปอง
      อ้าจิตรก็จิตรนุชเสงี่ยม   มนะอ่อน ณ ชนผอง
   ควรแต่จะเอื้อกมลครอง      ฆรชื่นประชาชน
      ยามยุทธนาบมิขยาด   มนะกล้าผจญรณ
   โอ้ควรจะนับคุณะอนน      ตอเนกรำพัน
                  จาก ท่านโม้
 ของ พระยาอุปกิตศิลปสาร



จิตใจคน

         พระสมุทรสุดลึกล้น   คณนา
      สายดิ่งทิ้งทอดมา      หยั่งได้
      เขาสูงอาจวัดวา         กำหนด
      จิตมนุษย์นี้ไซร้         ยากแท้หยั่งถึง ฯ
                  จาก โคลงโลกนิติ
  พระนิพนธ์สมเด็จฯกรมพระยาเดชาดิศร

      เพราะคบชู้ไม่รู้ให้รอบเชิง      หลงระเลิงว่าเจ้ารักสมัครสมาน
   คิดว่าหงส์จะจงแต่ชลธาร         มิรู้พาลกลั้วเกลือกด้วยเปือกตม
   ตัวนางเป็นไทยสิใจทาส         ไม่รักชาติรสหวานไปพาลขม
   ดังสุกรฟอนฝ่าแต่อาจม         ห่อนนิยมรักรสสุคนธาร
                     จาก บทมโหรีเรื่องกากี   
     ของ เจ้าพระยาพระคลัง(หน)

      จิตนางเปรียบอย่างชลาลัย   ไม่เลือกไหลห้วยหนองคลองละหาน
   เสียดายทรงแสนวิไลแต่ใจพาล      ประมาณเหมือนกับผลอุทุมพร
   สุกแดงดังแสงปัทมราช         ข้างในล้วนกิมิชาติเบียนบ่อน
   เรารู้ใจมิให้อนาทร         จะพาคืนนครในราตรี
                     จาก บทมโหรีเรื่องกากี
      ของ เจ้าพระยาพระคลัง(หน)
บัดเดี๋ยวดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว   สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา
   เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา         ประคองพาไปนั่งยังบรรพต
แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์      มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
   ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด      ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
   มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน      บิดามารดารักมักเป็นผล
   ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน         เกิดเป็นคนคิดเห็นจึงเจรจา
   แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ      ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา            รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี
                  จาก พระอภัยมณี
   ของ สุนทรภู่

   ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า   ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา
เดี๋ยวนี้มอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตา   ทั้งผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวไทย
โอ้สามัญผันแปรไม่แท้เที่ยง      เหมือนอย่างเยี่ยงชายหญิงทิ้งวิสัย
นี่หรือจิตคิดหมายมีหลายใจ      ที่จิตใครจะเป็นหนึ่งอย่าพึงคิด
                     จาก นิราศภูเขาทอง
     ของ สุนทรภู่

      ผลเดื่อเมื่อสุกไซร้   มีพรรณ
ภายนอกดูแดงฉัน      ชาดป้าย
ภายในย่อมแมลงวัน      หนอนบ่อน
ดุจดั่งคนใจร้าย         นอกนั้นดูงาม ฯ
                  จาก โคลงโลกนิติ
      พระนิพนธ์สมเด็จฯกรมพระยาเดชาดิศร

      ยางขาวขนเรียบร้อย   ดูดี
   ภายนอกหมดใสสี      เปรียบฝ้าย
   กินสัตว์เสพปลามี      ชีวิต
   เฉกเช่นชนชาติร้าย      นอกนั้นนวลงาม
      รูปแร้งดูร่างร้าย      รุงรัง
   ภายนอกเพียงพึงชัง      ชั่วช้า
   เสพสัตว์ที่มรณัง         นฤโทษ
   ดังจิตสาธุชนกล้า      กลั่นสร้างทางผล
                  จาก โคลงโลกนิติ
   พระนิพนธ์สมเด็จฯกรมพระยาเดชาดิศร

      ใจชนใจชั่วช้า      โฉงเฉง
   ใจจักสอนใจเอง         ไป่ได้
   ใจปราชญ์ดัดตามเพลง      พลันง่าย
   ดุจช่างปืนดัดไม้         แต่งให้ปืนตรง
                  จาก โคลงโลกนิติ 
 พระนิพนธ์สมเด็จฯกรมพระยาเดชาดิศร

      พระสมุทรสุดลึกล้น   คณนา
   สายดิ่งทิ้งทอดมา      หยั่งได้
   เขาสูงอาจวัดวา         กำหนด
   จิตมนุษย์นี้ไซร้         ยากแท้หยั่งถึง
                  จาก โคลงโลกนิติ
    พระนิพนธ์สมเด็จฯกรมพระยาเดชาดิศร


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version