อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
เม็ดบัว!! คุณประโยชน์เหลือล้น
-http://men.sanook.com/4721/-
หลายท่านจะยังไม่เคยทาน”เม็ดบัว”และอาจคาดไม่ถึง ว่าเจ้าเม็ดบัวน้อยๆ นี้จะมีสรรพคุณทางยาสามารถช่วยบำรุงโลหิต แต่เชื่อเถอะ เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลายท่านที่มักมีอาการวิงเวียนหน้ามืด หรือมีอาการแน่นหน้าอก เพราะปัญหาเลือดน้อย ขอแนะนำสมุนไพรพื้นบ้าน ที่ทานง่าย ราคาไม่แพง ที่สำคัญมีอยู่ในบ้านเรา อย่างเช่นเม็ดบัว มีสรรพคุณทางการบำรุงเลือดที่ดี
สรรพคุณของเม็ดบัวนั้น อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบอยู่ถึงประมาณ 23 เปอร์เซนต์ และมีเกลือแร่ ฟอสฟอรัส นอกจากนี้ตัวเม็ดบัวยังมีสรรพคุณ บำรุงสมอง บำรุงประสาท บำรุงไต ช่วยรักษาอาการท้องร่วง และบิดเรื้อรัง และสรรพคุณพื้นบ้านที่ใช้กันเป็นยาบำรุงเลือด หรือเพิ่มเลือด
“การทานเม็ดบัว เพื่อการบำรุงเลือด มีข้อแม้ว่าต้องเป็นการทานเม็ดบัวสดเท่านั้น” เม็ดบัวที่ผ่านการแปรรูปมาแล้ว หรือการนำมาต้มให้สุกจะใช้ไม่ได้ เม็ดบัวเชื่อมที่ใส่ไอศกรีมก็ใช้ไม่ได้
โดยหาซื้อฝักบัวสดที่มีขายเป็นกำๆ ตามตลาด ซึ่งหนึ่งฝักจะมีเม็ดบัวอยู่ในฝัก7-10 เม็ด แล้วแต่ความอ้วนของฝัก ดังนั้นเวลาทานต้องแกะออกจากฝัก แล้วนำมาแกะเปลือกออกจากเม็ด เพื่อจะทานเม็ดบัวสีขาวอมเหลืองที่อยู่ในเปลือก เมื่อได้เม็ดบัวที่แกะเปลือกออกแล้ว ให้ทานเข้าไปทั้งเม็ด โดยไม่เอาต้นอ่อนภายในเม็ด หรือที่เราเห็นเป็นเส้นเขียวๆ อยู่กลางเม็ดออก พูดง่ายๆ คือทานเข้าไปหมด รสชาติก็จะมีขมฝาดเล็กน้อย ใหม่ๆ อาจจะไม่คุ้นลิ้น แต่เมื่อทานไปสักระยะก็จะเฉยๆ
ที่สำคัญต้นอ่อนในเม็ดบัว หรือดีบัวที่หลายคนชอบหยิบออกนั้น คือต้นอ่อนสีเขียวขมๆ สรรพคุณทางยาของจีน กล่าวว่าหากทานเข้าไปแล้วก็จะช่วยบำรุงถุงน้ำดี ช่วยเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ และบำรุงหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย
ข้อสำคัญ พยายามเลือกฝักที่แก่ จะได้เม็ดบัวที่โตเต็มที่ ทานวันละไม่น้อยกว่า 20 เม็ด จะทานมากกว่าก็ไม่ห้าม เพราะเม็ดบัวปกติเป็นของทานเล่นพื้นบ้านเราอยู่แล้ว ทีนี้คุณก็ได้อาหารบำรุงเลือด บำรุงหัวใจ แบบธรรมชาติราคาแสนจะคุ้มกับประโยชน์เลยทีเดียว
ขอบคุณข้อมูลจาก
wellnessthai
ขอขอบคุณ S! MEN ผู้สนับสนุนเนื้อหา
sithiphong:
7 ประโยชน์น่าทึ่งของกระเทียม กับเรื่องในบ้าน !
-http://home.kapook.com/view113293.html-
ประโยชน์ของกระเทียมที่รู้แล้วอาจจะอึ้ง ใครจะเชื่อว่ากระเทียมจะทำประโยชน์ได้มากมายสารพัด อ่านจบแล้วไปหาซื้อมาไว้ติดบ้านกันด่วนเลย !!
กระเทียมนอกจากจะเป็นสิ่งประกอบอาหารที่แทบทุกอย่างต้องใส่แล้ว เชื่อไหมว่ากระเทียมทำอะไรเจ๋ง ๆ กว่านั้นก็ได้ด้วยนะ เพราะสามารถนำมาใช้ได้ทั้งกับงานในบ้าน นอกบ้าน และแม้กระทั่งใช้กับร่างกาย ก็มีประโยชน์มากมายจนคาดไม่ถึง วันนี้กระปุกดอทคอมจะมากระซิบบอกกันดัง ๆ ว่า ประโยชน์ของกระเทียม มีให้ทึ่งกันตั้ง 20 อย่างดังนี้ รู้แล้วก็อยากลืมมีกระเทียมติดบ้านกันไว้นะจ๊ะ
กำจัดศัตรูพืชจอมก่อกวน
แมลงจอมก่อกวนทั้งหลายอาจทำลายสวนที่คุณรักได้ ดังนั้นให้กำจัดแมลงกวนใจเหล่านี้ด้วยสเปรย์กระเทียมสูตรทำเอง ด้วยการสับกระเทียม 3 กลีบให้ละเอียด และผสมเข้ากับน้ำมันแร่แล้วทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง จากนั้นนำเศษกระเทียมออกแล้วเติมน้ำมันพร้อมกับน้ำยาล้างจานอีก 2 ช้อนชา แล้วเทใส่ขวดสเปรย์ที่บรรจุน้ำเปล่า ก่อนจะนำไปฉีดพ่นบนพืชเพื่อป้องกันแมลง
ใช้เป็นยากันยุง
สูตรนี้เหมาะกับคนที่ไม่มีปัญหากับกลิ่นกระเทียม โดยใช้กระเทียมสับเล็กน้อยผสมกับน้ำมันแร่ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง จากนั้นใส่น้ำมันหอมระเหยกลิ่นกระเทียม ลงผสมในน้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ก่อนจะเทลงในขวดเสปรย์ใช้ฉีดไล่ยุงแบบปลอดภัยไร้สารพิษ
ใช้ซ่อมแซมกระจก
รู้หรือไม่ว่ากระเทียมมีฤทธิ์เป็นกาวธรรมชาติ โดยให้นำกระเทียมมาทุบให้แตก จากนั้นนำน้ำเหนียว ๆ ของมันไปถูบนรอยร้าวของแก้วหรือกระจก เพื่อให้น้ำกระเทียมซึมเข้าไปในรอยร้าวก่อนจะเช็ดส่วนเกินออกด้วยด้วยผ้าสะอาด
กำจัดเสี้ยนตำ
เสี้ยนที่ตำเข้าไปในผิวหนังอาจจะสร้างความเจ็บปวดรวมถึงเอาออกได้ยากหากเสี้ยนตำในผิวจนลึกเกินไป แต่แทนที่จะรอให้มันหลุดออกมาเอง ลองใช้วิธีง่าย ๆ ด้วยการนำกระเทียมที่ฝานบาง ๆ มาวางไว้บนเสี้ยนที่อยู่บนผิวหนัง จากนั้นกดเบา ๆ ด้วยผ้าพันแผล กระเทียมจะช่วยให้เสี้ยนหลุดออกมาได้ภายใน 1 ชั่วโมง
ใช้เป็นเหยื่อล่อปลา
กระเทียมอาจมีกลิ่นรุนแรงแบบที่แมลงไม่ชอบ แต่กับปลานั้นให้ผลตรงกันข้าม เพราะนักตกปลาบางคนแนะนำให้ใช้กระเทียมเพื่อดึงดูดปลาบางสายพันธุ์ เช่น ปลาดุก ปลาคาร์พ ปลาเทราท์ โดยให้ทำเหยื่อล่อปลาด้วยการผสมขนมปังแครกเกอร์เข้ากับอาหารแมว แล้วเคลือบด้วยผงกระเทียม เพื่อใช้กลิ่นเป็นตัวล่อให้ปลามาติดเบ็ดนั่นเอง
สลายการจับตัวของน้ำแข็ง
อยากให้น้ำแข็งละลายเร็ว ๆ รู้ไหมว่ากระเทียมช่วยได้นะ แค่หั่นหรือสับกระเทียมแล้วเอาไปวางบนน้ำแข็งที่ต้องการให้ละลาย แค่นี้กระเทียมก็ออกฤทธิ์จนน้ำแข็งยอมจำนน และสลายร่างไปเองแล้ว
รักษาโรคน้ำกัดเท้า
ใครเกิดเป็นโรคน้ำกัดเท้าขึ้นมา รู้ไหมว่ากระเทียมมีฤทธิ์ต้านเชื้อราโดยธรรมชาติ จึงช่วยให้รักษาโรคเชื้อราหรือน้ำกัดเท้าได้ดี โดยให้ทุบกระเทียม 2-3 กลีบ แล้วใส่ลงในน้ำอุ่น และแช่เท้าลงไปเป็นเวลา 30 นาที เพื่อรักษาอาการดังกล่าว
ประโยชน์เยอะขนาดนี้ ต้องมีติดบ้านไว้เป็นประจำแล้วล่ะ เพราะทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพ คราวนี้อย่าลืมหากระเทียมมาปลูกไว้ติดบ้านกันหน่อย คงจะดีไม่น้อยเลยนะคะ
sithiphong:
“สเต๊ก” สั่งแบบไหนให้สุกโดนใจ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9580000028421-
หลายๆ คนมีความชื่นชอบเมนู “สเต๊กเนื้อ” เป็นอย่างมาก ไม่ว่ามีโอกาสเมื่อไหร่ก็อยากจะลองลิ้มดูหลายๆร้าน แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ ไม่รู้ว่าจะต้องสั่งให้กริลล์เนื้อสเต๊กมาสุกถึงขั้นไหน ถึงจะอร่อยถูกปากเรา
“108 เคล็ดกิน” มีคำแนะนำมาบอก ซึ่งก่อนอื่นนั้นก็ต้องสำรวจความชื่นชอบของตัวเองก่อนว่า ชอบให้เนื้อสุกถึงขั้นไหน จะกินแบบเนื้อนุ่มฉ่ำมีเลือดนิดๆ หรือชอบกินแบบสุกๆ ไปเลย
ขั้นความสุกของเนื้อนั้นแบ่งออกได้ดังนี้ (เริ่มจากแบบสุกมากที่สุด)
Overcook (โอเวอร์คุ๊ก) เป็นเนื้อแบบที่สุกมากที่สุด ย่างเนื้อให้สุกมากๆ ไปจนค่อนข้างเกรียม อาจจะมีขอบไหม้ ผิวไหม้บ้าง ทำให้เนื้อแห้งและแข็งกระด้าง รวมถึงอาจมีรสขมปนอยู่
Well Done (เวลล์ดัน) สเต๊กในระดับความสุกนี้ จะถูกย่างมาให้สุกเต็มที่ทั้งด้านนอกและด้านใน ไม่มีเนื้อสีแดงหรือเลือดออกมาให้เห็น ความฉ่ำของเนื้ออาจจะลดลงบ้าง และเนื้ออาจจะแข็งไปสักหน่อย
Medium Well Done (มีเดียมเวลล์ดัน) เป็นแบบที่เนื้อเกือบจะสุกเต็มที่ ด้านในของเนื้ออาจะเห็นสีชมพูระเรื่อบ้าง แต่เนื้อจะมีความฉ่ำมากขึ้นกว่าแบบเวลล์ดัน
Medium (มีเดียม) เป็นสเต๊กเนื้อที่สุกแบบปานกลาง ด้านนอกจะดูสุกเต็มที่ แต่เมื่อแล่ออกมาดูแล้วด้านในจะยังเห็นเนื้อชมพูอมแดงอยู่ ซึ่งความสุกในระดับมีเดียมแบบนี้เป็นที่ชื่นชอบของหลายๆ คน เพราะจะได้ลิ้มรสความนุ่มฉ่ำของเนื้อที่ยังหลงเหลืออยู่
Medium Rare (มีเดียมแรร์) เป็นสเต๊กเนื้อที่กึ่งสุกกึ่งดิบ ด้านนอกจะดูสุกแบบฉ่ำๆ ส่วนด้านในยังเป็นเนื้อแดงๆ อยู่
Rare (แรร์) สเต๊กแบบนี้จะย่างเนื้อด้านนอกให้สุกพอประมาณ ด้านในยังเป็นเนื้อแดงดิบๆ อยู่ ส่วนใหญ่สเต๊กระดับนี้จะใช้เวลาย่างประมาณ 1 นาที
Blue Rare (บลูแรร์) เนื้อแบบนี้จะย่างเฉพาะผิวเนื้อด้านนอก ด้านในยังดิบเกือบทั้งชิ้น โดยจะใช้ไฟแรงแล้วย่างอย่างรวดเร็ว
รู้ระดับความสุกของสเต๊กกันแล้ว คราวหน้าถ้าไปลองชิมสเต๊กที่ร้านไหน จะได้เนื้อที่สุกมาแบบถูกใจเสียที
sithiphong:
โอ้มายก๊อด แกะปูไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
http://www.youtube.com/watch?v=TRyvJh-5i_8#t=15
-http://www.youtube.com/watch?v=TRyvJh-5i_8#t=15-
sithiphong:
น้ำมันมะพร้าว ตัวช่วยสุขภาพดี ที่หลายคนมองข้าม
-http://health.kapook.com/view113540.html-
น้ำมันมะพร้าว น้ำมันที่ให้ประโยชน์อันน่าทึ่งต่อสุขภาพ นอกเหนือจากการบำรุงความงาม แต่คนส่วนใหญ่กลับมองข้ามไปเสียอย่างนั้น
น้ำมันมะพร้าวที่ถูกบอกต่อกันมาว่าเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าน้ำมันชนิดอื่น ๆ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยกันอยู่ว่า กินแล้วดีจริงหรือ เพราะถึงจะมีสรรพคุณต่อสุขภาพอันน่าทึ่งหลายประการ แต่ก็ยังเป็นน้ำมันชนิดหนึ่งอยู่ดี หากกินมาก ๆ อาจเกิดผลเสียต่อร่างกายได้ กระปุกดอทคอมจึงมีคำเฉลยในเรื่องนี้มาให้อ่านกัน ให้รู้ไปเลยว่า สรุปแล้ว คำร่ำลือที่บอกว่ากินน้ำมันมะพร้าวแล้วดีต่อสุขภาพน่ะ แท้จริงแล้ว เขากินกันอย่างไร แล้วมีประโยชน์ในด้านไหนบ้าง
น้ำมันมะพร้าว คืออะไร
น้ำมันมะพร้าวก็คือ น้ำมันที่ได้จากผลมะพร้าวนั่นเอง โดยนำมาสกัดแยกน้ำมันออกจากเนื้อมะพร้าวด้วยวิธีสกัดเย็น ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ใช้ความร้อนสูง และไม่ต้องผ่านกระบวนการแปรรูปทางเคมี น้ำมันที่ได้จึงมีลักษณะใสเหมือนน้ำ ไม่มีกลิ่นหืน อาจมีชิ้นเนื้อมะพร้าว และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของมะพร้าวปนมาด้วย เพราะเหตุนี้เอง น้ำมันมะพร้าวจึงมีชื่อเรียกหลายชื่อ ทั้งน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Extra Virgin Coconut Oil) น้ำมันมะพร้าวบีบเย็น น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็น
น้ำมันมะพร้าวเป็นของเหลวก็จริง แต่ก็สามารถกลายสถานะเป็นของแข็งได้ โดยน้ำมันมะพร้าวจะมีสถานะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิสูงกว่า 25 องศาเซลเซียส และกลายสถานะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส แต่เราสามารถทำให้มันเป็นของเหลวได้อย่างง่ายโดยใช้ความร้อนเพียงเล็กน้อย
ในน้ำมันมะพร้าวนั้นประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัว (มากกว่า 90% จากปริมาณกรดไขมันทั้งหมด) แต่กรดไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ที่พบในน้ำมันมะพร้าว เป็นกรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลปานกลาง (medium chain fatty acid)
น้ำมันมะพร้าวที่ดี สังเกตยังไง
น้ำมันมะพร้าว ตัวช่วยสุขภาพดี ที่หลายคนมองข้าม
น้ำมันมะพร้าวที่วางขายกันทั่วไปอาจมีหลายยี่ห้อ ทำให้เราตัดสินใจเลือกไม่ถูกว่าแบบไหนดีกว่ากัน เรามีวิธีการสังเกตน้ำมันมะพร้าวที่ได้คุณภาพมาฝากค่ะ
ต้องมีความใส ไม่มีสี ลักษณะโปร่งแสง ไม่มีการตกตะกอน แต่การสังเกตจากข้อนี้อาจไม่ชัดเจน เพราะบางยี่ห้อก็บรรจุในขวดพลาสติกขุ่น หรือมีสี แต่ถ้าบรรจุขวดแก้วก็จะสังเกตได้ง่ายกว่า
ต้องมีกลิ่นหอมของมะพร้าว ไม่มีกลิ่นหืน หรือเปรี้ยว แม้ว่าจะมีการเปิดใช้หลายครั้งแล้ว แต่ด้วยกระบวนการผลิตในบางยี่ห้อ อาจมีการดัดแปลงโดยใช้น้ำหอมสังเคราะห์กลิ่นมะพร้าว หรือกลิ่นมะพร้าวน้ำหอมเข้าไป ทำให้มีกลิ่นหอมมากในตอนเปิดขวดแรก ๆ แต่หลังจากนั้นความหอมจะจางลง กลายเปลี่ยนเป็นเหม็นเปรี้ยว ซึ่งจะทำให้อายุของน้ำมันมะพร้าวอยู่ได้ไม่นาน
ต้องความหนืดน้อย สามารถกลืนลงคอได้อย่างง่ายดาย มีความรู้สึกเหมือนละลายในปาก ไม่ให้ความรู้สึกเลี่ยน หรือเมื่อนำไปทาผิวแล้ว สามารถซึมสู่ผิวได้เร็ว ไม่ทิ้งคราบน้ำมันลอยอยู่บนผิว
ประโยชน์น้ำมันมะพร้าว มาดู ดีต่อสุขภาพยังไง
น้ำมันมะพร้าว ตัวช่วยสุขภาพดี ที่หลายคนมองข้าม
น้ำมันมะพร้าวถูกจัดว่าเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าน้ำมันชนิดอื่น เพราะมีกรดไขมันอิ่มตัวสายปานกลาง ร่างกายดึงไปเผาผลาญได้เร็ว นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุสำคัญและวิตามินละลายในไขมันบางชนิด เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ ดี อี เค ที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ทันที เพราะคุณค่าเหล่านี้จึงทำให้น้ำมันมะพร้าวมีสรรพคุณต่อสุขภาพในหลาย ๆ ด้าน
สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวที่มีต่อสุขภาพ
มาดูกันว่าในน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นนั้นแฝงไว้ด้วยประโยชน์สุขภาพในเรื่องใดบ้าง
1. กินแล้วไม่อ้วน
น้ำมันมะพร้าวให้พลังงานน้อยกว่าน้ำมันชนิดอื่น นั่นคือ 8.6 กิโลแคลอรีต่อกรัม ในขณะที่น้ำมันชนิดอื่นให้พลังงานถึง 9 กิโลแคลอรีต่อกรัม มีกรดไขมันอิ่มตัวที่ไม่ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระและไขมันทรานส์ น้ำมันมะพร้าวช่วยเพิ่มอัตราเมตาบอลิซึมนานถึง 24 ชั่วโมง ทำให้อาหารหรือปริมาณแคลอรีถูกนำไปเผาผลาญมากขึ้น ไม่เหลือเป็นแคลอรีส่วนเกิน ที่จะถูกสะสมเป็นไขมันส่วนเกิน
2. กระตุ้นการขับถ่าย
น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวสายปานกลาง ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของลำไส้ใหญ่ จึงช่วยกระตุ้นการขับถ่าย สำหรับคนที่กินน้ำมันมะพร้าวในระยะแรกอาจมีอาการท้องเสีย ถือว่าเป็นอาการปกติ แต่ถ้าหากกินไปสักระยะแล้วยังมีอาการท้องเสียอยู่ ควรหยุดทาน เพราะน้ำมันมะพร้าวอาจไม่เหมาะกับธาตุในร่างกาย
3. บำรุงกำลัง
น้ำมันมะพร้าวนั้นกินแล้วย่อยง่าย ร่างกายดูดซึมไปใช้ในกระบวนการเผาผลาญได้ทันที อีกทั้งกินแล้วอิ่มนาน จึงทำให้ร่างกายมีกำลังเพิ่มขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ ด้วยเหตุนี้ น้ำมันมะพร้าวจึงถูกนำไปบำรุงกำลังแก่นักกีฬาทั้งแบบชงดื่ม และแบบแท่ง รวมถึงเป็นอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุด้วย
4. ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกลุ่มเสื่อม
น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) จึงช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกลุ่มเสื่อมต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคตับ และโรคไต
5. บำรุงกระดูก
สารอาหารในน้ำมันมะพร้าวนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อความแข็งแรงของกระดูก ได้แก่ แคลเซียม และแมกนีเซียม จึงช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก ไม่ให้เปราะ แตกหักง่าย
6. บำรุงครรภ์
น้ำมันมะพร้าวถือว่าเป็นอาหารที่ดีต่อคุณแม่และทารกน้อยในครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากคุณแม่รับประทานน้ำมันมะพร้าวในช่วงตั้งครรภ์ ก็จะช่วยให้ทารกมีภูมิคุ้มกันที่ดี และเป็นการเพิ่มคุณค่าของน้ำนมแม่อีกด้วย เพราะในน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่พบได้ในน้ำนมแม่ นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียม ที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง รวมทั้งป้องกันภาวะกระดูกพรุน หรือการสูญเสียแคลเซียมของคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์อีกด้วย
7. ช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น
ในน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริก กรดคาปริก และกรดคาปริลิก ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยผ่อนคลาย การรับประทานน้ำมันมะพร้าวติดต่อกันทุกวันในปริมาณเพียงเล็กน้อยจะช่วยให้คุณนอนหลับได้สนิทขึ้น และยังช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ลดความเครียด และอาการอ่อนเพลียได้ด้วย
8. ลดการอักเสบและติดเชื้อ
น้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ที่เกิดจากการติดเชื้อได้ เพราะกรดลอริกในน้ำมันมะพร้าวจะถูกเปลี่ยนเป็น สารมอโนลอริน (monolaurin) มีคุณสมบัติสร้างภูมิคุ้มกัน และมีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรีย ถือเป็นเป็นทั้งยาปฏิชีวนะธรรมชาติที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อต่าง ๆ เช่น เชื้อไข้หวัดใหญ่เริม คางทูม เจ็บคอ
9. บำรุงสุขภาพในช่องปาก
น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติลดการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก อันเป็นสาเหตุให้เกิดคราบพลัคที่จะนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ภายในช่องปาก เช่น เหงือกอักเสบ เหงือกช้ำ บวม แดง หรือเลือดออกตามไรฟัน รวมถึงอาการติดเชื้อบริเวณลำคอด้วย วิธีใช้คือนำน้ำมันมะพร้าวมาอมบ้วนปากครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ วันละ 1 ครั้ง
10. ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง
น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงถึงร้อยละ 92 ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และยังมีวิตามินไบโอที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ และมะเร็งผิวหนัง
วิธีกินน้ำมันมะพร้าว
ความพิเศษของน้ำมันมะพร้าวอยู่ตรงที่เราสามารถตวงกับช้อนแล้วกินได้เลย หรือจะนำไปปรุงเป็นเมนูคาวหวานก็ได้ แม้ว่าน้ำมันมะพร้าวจะกินแล้วดีต่อสุขภาพ แต่ก็ยังต้องระวังเรื่องปริมาณการบริโภค รวมถึงต้องปรับพฤติกรรมการกินควบคู่ไปด้วย มิเช่นนั้น อาจให้ผลตรงกันข้าม
สำหรับวิธีการกินน้ำมันมะพร้าวที่เหมาะสมนั้น อาจยึดหลักจากน้ำหนักตัว ดังนี้
น้ำหนักตัว 30-40 กิโลกรัมขึ้นไป สามารถบริโภคได้ 0.5 ช้อนโต๊ะต่อวัน
น้ำหนักตัว 40.1-60 กิโลกรัมขึ้นไป สามารถบริโภคได้ 1 ช้อนโต๊ะต่อวัน
น้ำหนักตัว 60.1-80 กิโลกรัมขึ้นไป สามารถบริโภคได้ 1.5-2 ช้อนโต๊ะต่อวัน
น้ำหนักตัว 80.1 กิโลกรัมขึ้นไป สามารถบริโภคได้ 2.5-3 ช้อนโต๊ะต่อวัน
เด็กอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป วันละ 1-2 ช้อนชา
ผู้สูงอายุรับประทานวันละ 1-2 ช้อนโต๊ะต่อมื้อ
ทั้งนี้ การกินน้ำมันมะพร้าวภายในครั้งเดียวร่างกายอาจรับไม่ได้ ดังนั้น ควรจะแบ่งทานเป็น 3 เวลา โดยกินก่อนรับประทานอาหารประมาณครึ่งชั่วโมง นอกจากนี้อาจรวมถึงการนำน้ำมันมะพร้าวไปเป็นส่วนหนึ่งในการปรุงประกอบอาหาร เช่น นำไปผัดอาหารแทนน้ำมันชนิดอื่น ๆ
อย่างไรก็ดี ควรเลือกผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข
น้ำมันมะพร้าว มีข้อเสียไหม
ตามกลไกของร่างกายแล้ว การกินน้ำมันวันละประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะนั้น ถือเป็นปริมาณที่ร่างกายสามารถกำจัดออกได้หมด คำแนะนำส่วนใหญ่จึงถือว่าการกินน้ำมันมะพร้าววันละ 1-2 ช้อนโต๊ะ เป็นปริมาณที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วยว่ารับพลังงานไขมันจากแหล่งอื่นมากน้อยแค่ไหน โดยคำแนะนำคือปริมาณบริโภคเมื่อรวมกับน้ำมันและไขมันในอาหารชนิดอื่น ๆ แล้ว ไม่เกินวันละ 3-4 ช้อนโต๊ะ หรือประมาณ 60 กรัม ดังนั้น หากเป็นคนที่ได้รับน้ำมันและไขมันจากอาหารชนิดต่าง ๆ แล้ว 2 ช้อนโต๊ะ ก็สามารถบริโภคน้ำมันมะพร้าวได้อีก 2 ช้อนโต๊ะ หรือถ้าเป็นคนที่ทานมังสวิรัติ ไม่รับประทานนม ไข่ ชีส หรือน้ำมันอื่น ๆ ก็อาจทานน้ำมันมะพร้าวมากขึ้น
ดังนั้น ทางที่ดีควรพิจารณาจากความเหมาะสมของสุขภาพตัวเอง เพราะถ้าหากทานเกินกว่าความต้องการของร่างกาย ร่างกายกำจัดออกไม่หมด ก็เกิดการสะสมได้ไม่ต่างจากไขมันประเภทอื่น
น้ำมันมะพร้าว ทาหน้าได้ไหม
น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นสามารถนำมาทาหน้าได้นะคะ เพียงแต่มีข้อควรรู้ในการใช้อยู่บ้าง เรามาอ่านกันดีกว่าว่า ควรใช้น้ำมันมะพร้าวทาหน้าอย่างไร ให้ได้หน้าขาวใสวิ้ง ๆ อย่างใจต้องการ
ทาตอนกลางคืนดีกว่ากลางวัน เพราะน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติอุ้มแสง อาจทำให้ผิวหน้าเราคล้ำลงบ้าง แต่สีผิวก็จะสม่ำเสมอกัน เพราะน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติกระจายแสง
สามารถผสมกับไนท์ครีมที่ใช้อยู่เป็นประจำได้ โดยการหยดน้ำมันมะพร้าวประมาณ 1-2 หยดผสมกับไนท์ครีมที่ใช้อยู่ประจำ จะช่วยเก็บล็อกความชุ่มชื้นให้ผิวยามหลับได้ดี
หากเป็นคนผิวหน้ามัน และผิวแพ้ง่าย ควรหลีกเลี่ยง เพราะจะยิ่งทำให้สิวขึ้นเห่อ
ใช้มาร์กหน้าเพิ่มความชุ่มชื้นได้ นำสำลีชุบน้ำอุ่นบีบให้หมาด แล้วหยดน้ำมันมะพร้าวประมาณ 1-2 หยดบนสำลี เช็ดเบา ๆ ให้ทั่วใบหน้าโดยไม่ต้องล้างออก
น้ำมันมะพร้าว ทำอาหารได้ไหม
น้ำมันมะพร้าว ตัวช่วยสุขภาพดี ที่หลายคนมองข้าม
น้ำมันมะพร้าวสามารถนำไปปรุงอาหารได้เหมือนกับน้ำมันชนิดอื่น โดยที่เราไม่ต้องกังวลว่ากินแล้วจะทำให้คอเลสเตอรอลในร่างกายเพิ่มขึ้น เพราะน้ำมันมะพร้าวเป็นกรดไขมันอิ่มตัวสายปานกลาง เมื่อรับประทานแล้วจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทันที ร่างกายดึงไปเผาผลาญเป็นพลังงานได้ดี นอกจากนี้แล้วเรายังสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวแทนเนย และมาการีน ที่จะช่วยเพิ่มความหอมอร่อยให้กับเมนูอาหารนั้น ๆ น่ารับประทานขึ้นอีกด้วย
น้ำมันมะพร้าวทำผิวสีแทน ได้ไหม
ความมหัศจรรย์ของน้ำมันมะพร้าวไม่ได้มีแค่เรื่องบำรุงสุขภาพอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีความพิเศษอีกข้อคือ สามารถทำให้ผิวขาว ๆ ของเรากลายเป็นผิวสีแทนสวยได้ เพราะน้ำมันมะพร้าวมีจุดเดือดสูง จึงไม่ไวต่อแสง แต่สามารถอุ้มแสงและกระจายแสงได้ดี หากเราทาหลังออกแดด สีผิวของเราจะถูกปรับสภาพให้คล้ำลงอย่างสม่ำเสมอกัน และคล้ำลงแบบดูสุขภาพผิวดีด้วย
น้ำมันมะพร้าว ลดน้ำหนัก ได้ไหม
หากสาว ๆ คนไหนกำลังมองหาวิธีลดน้ำหนักที่แสนง่าย กว่าการไดเอต เราขอให้ลองดูคุณสมบัติของน้ำมันมะพร้าวกันก่อน ที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า แค่กินน้ำมันมะพร้าววันละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ก็ช่วยให้น้ำหนักลงได้แล้ว เห็นได้คุณสมบัติเด่นเรื่องการลดความอ้วนทั้ง 4 ข้อต่อไปนี้
มีไขมันแคลอรีต่ำกว่าน้ำมันชนิดอื่น คือ 8.6 กิโลแคลอรี ในขณะที่น้ำมันชนิดอื่นมีไขมันแคลอรีถึง 9 กิโลแคลอรี/กรัม
กินแล้วทำให้อิ่มนานขึ้น ทำให้ไม่รู้สึกอยากกินจุบจิบ
กระตุ้นการขับถ่าย ทำให้ท้องไม่ผูก
เพิ่มการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย
น้ำมันมะพร้าวกับ 10 ประโยชน์ความงามที่น่าลอง
นอกจากประโยชน์ด้านสุขภาพแล้ว น้ำมันมะพร้าวยังมีคุณสมบัติบำรุงความงามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าได้อีกด้วย มาอ่านกันดีกว่า
1. หมักผม
น้ำมันมะพร้าว ตัวช่วยสุขภาพดี ที่หลายคนมองข้าม
หากนำน้ำมันมะพร้าวไปหมักผม ก็ควรจะสระด้วยยาสระผมอีกครั้ง และล้างออกด้วย น้ำอุ่น จะทำให้ความมันบนเส้นผมก็จะลดลง เส้นผมจะนุ่มขึ้น และดูเงางาม
2. น้ำมันนวดตัว (Body Oil)
น้ำมันมะพร้าวสามารถเป็นน้ำมันสำหรับนวดสปาได้ สามารถผสมน้ำมันหอมระเหยเข้าไปด้วยประมาณ 2-3 หยด เพิ่มความผ่อนคลาย
3. ลิปบาล์ม
เพิ่มความชุ่มชื้นให้เรียวปาก ด้วยน้ำมันมะพร้าว แค่หยดบนนิ้วมือ ทาบาง ๆ บนริมฝีปาก ก็ช่วยให้เรียวปากไม่แห้งตึงแล้ว
4. บำรุงเล็บ
น้ำมันมะพร้าว ตัวช่วยสุขภาพดี ที่หลายคนมองข้าม
น้ำมันมะพร้าวช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเล็บ และจมูกเล็บได้ ทำให้เรียวมือของเราเต่งตึง ไม่เหี่ยวย่น
5. รอยคล้ำใต้ดวงตา
ผิวบริเวณใต้ดวงตานั้นมีความบอบบางมาก สามารถเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ถุงใต้ตา หรือรอยคล้ำใต้ตาได้ง่าย น้ำมันมะพร้าวก็มีคุณสมบัติบำรุงผิวรอบดวงตาได้เหมือนกับอายครีม
6. บำรุงเส้นผม
หากลองใช้น้ำมันมะพร้าวปริมาณเท่าเมล็ดถั่วบำรุงเส้นผม จะช่วยเพิ่มความหนา ลดอาการชี้ฟู ขาดเส้น และหลุดร่วงได้
7. เพิ่มความฉ่ำวาวให้ผิวหน้า
เราสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวเพิ่มความฉ่ำวาวให้ผิวหน้าเราได้เหมือนการลงเมคอัพไฮไลท์ เช่น ทาบริเวณโหนกแก้ม เปลือกตา หรือโหนกคิ้ว ก็จะทำให้ผิวหน้าเราดูเปล่งปลั่ง มีสุขภาพดี
8. เมคอัพ รีมูฟเวอร์
ใช้น้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ ช่วยลบเมคอัพได้ ใช้สำลีชุบน้ำมันมะพร้าว เช็ดเบา ๆ บนเมคอัพ ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
9. บอดี้สครับ
ผสมเกลือและน้ำตาลในอัตราส่วนเท่ากัน นำไปละลายในน้ำมันมะพร้าว ใช้ขัดผิวในบริเวณที่ต้องการ ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ทำให้ผิวนุ่มขึ้น ใช้ขัดข้อศอก และหัวเข่าที่ด้าน หากต้องการเพิ่มกลิ่นหอมที่ผ่อนคลายมากขึ้น ก็หยดน้ำมันหอมระเหยเพิ่มเข้าไปได้
10. ครีมกำจัดขน
น้ำมันมะพร้าว ตัวช่วยสุขภาพดี ที่หลายคนมองข้าม
ครีมกำจัดขนที่ใช้อยู่หมด ไม่ต้องห่วงเลย ถ้าเรามีน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นซะอย่าง เพียงแค่นำไปผสมกับน้ำอุ่นให้ร้อนเล็กน้อย ชโลมให้ทั่วผิวบริเวณที่ต้องการจะโกนขน ก็จะโกนได้เกลี้ยงเกลา ไม่เกิดการระคายเคือง ผิวเนียนนุ่ม
น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น วิธีการทำที่หลายคนอยากรู้
เคยสงสัยกันบ้างไหมว่า น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นราคาแพง ๆ แพ็กเกจสวย ๆ ในซุปเปอร์มาร์เกตนั้น มีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง แล้วเราสามารถทำเองได้ไหม เราขอตอบเลยว่า ทำได้ ลองทำตามสูตรนี้เลย
1. เก็บมะพร้าวงอก หรือมะพร้าวที่มีจาว
2. นำมะพร้าวที่ขูดได้ ผสมน้ำเปล่า ในอัตราส่วน หัวกะทิ 1 กิโล ต่อน้ำ 1 ลิตร เพื่อนำไปคั้นเป็นน้ำกะทิ
3. นำน้ำกะทิมากรองใส่ถัง แล้วผสมกับน้ำกะทิที่ได้ คนให้เข้าเนื้อกัน
4. ครอบฝาโดยการแง้มไว้ อย่าปิดแน่น ทิ้งไว้ประมาณ 14-20 ชั่วโมง หรือประมาณ 1 คืนกว่า ๆ เพื่อให้กะทิ และน้ำมันแยกชั้น โดยส่วนที่เราต้องการคือ ตรงกลาง เป็นส่วนของน้ำมัน
5. เอาน้ำที่แยกชั้นอยู่ด้านล่างออก โดยการดูดด้วยสายยางขนาดเล็ก กรณีใส่ถังที่มีก๊อกก็ปล่อยน้ำส่วนล่างออก
6. ใช้ช้อนตักส่วนที่เป็นขี้มันด้านบนออก แล้วตักน้ำมันมะพร้าวแยกไว้ต่างหาก ส่วนน้ำมันที่เหลือชั้นล่างสามารถนำไปทำน้ำมันเกรดสอง หรือใช้ในการประกอบอาหาร
7. ตักส่วนที่เป็นน้ำมันออกมา นำไปกรองด้วยกระชอน 2 ใบซ้อนกัน แต่การซ้อนของกระชอน จะต้องรองด้วยกระดาษทิชชูที่มีความหนาเล็กน้อยซ้อนกันประมาณ 6 ชั้น ส่วนที่ไหลผ่านกระชอนก็คือ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น
8. นำไปบรรจุขวดที่มีฝาปิดสนิท
การเก็บรักษาน้ำมันมะพร้าว
น้ำมันมะพร้าว ตัวช่วยสุขภาพดี ที่หลายคนมองข้าม
น้ำมันชนิดอื่น ๆ หากนำไปแช่ตู้เย็น ก็ยังคงสภาพเป็นของเหลว แต่สำหรับน้ำมันมะพร้าวนั้นสามารถแข็งตัวได้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส ซึ่งวิธีการเก็บรักษาน้ำมันมะพร้าวไม่ให้เสียเร็วก่อนวันหมดอายุ หรือ มีกลิ่นหืน ก็ควรจะบรรจุในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท เก็บในอุณหภูมิห้อง และไม่ควรโดนแสงแดดกรณีนำไปแช่ไว้ในตู้เย็นแล้วเป็นไข ก็สามารถทำให้ละลายได้โดยการอุ่นด้วยความร้อน
น้ำมันมะพร้าวที่เสียแล้ว เป็นอย่างไร
วิธีการสังเกตน้ำมันมะพร้าวที่เสียแล้วนั้นง่ายมาก คือ สีจะเปลี่ยนจากใสกลายเป็นเหลืองอ่อน ๆ หรือมีความขุ่น มีการตกตะกอน ซึ่งปัจจัยที่ทำให้น้ำมันมะพร้าวเสียเร็วนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าการเก็บรักษาหลังการใช้ เช่น ปิดฝาไม่สนิท มีสิ่งเจือปนอื่น ๆ เก็บในที่ที่มีแสงแดดส่องเป็นเวลานาน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำมันมะพร้าวบำรุงสุขภาพนั้น หากต้องการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ก็ควรดูตามความเหมาะสมของสุขภาพเราด้วย เพราะถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ยังเป็นน้ำมันอยู่ดี หากร่างกายได้รับในปริมาณมาก ผลลัพธ์ก็อาจตรงกันข้ามก็ได้
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ชมรมอนุรักษ์และพัฒนาน้ำมันมะพร้าวแห่งประเทศไทย
ชีวจิต
สมุนไพรดอทคอม
Health.com
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version