อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
สูตรเด็ด น้ำผักผลไม้บำรุงสายตา
'กินดี' สัปดาห์นี้ต่อเนื่องเรื่องดวงตา ด้วยน้ำดื่มสูตรที่ช่วยบำรุงสายตา จากผักและผลไม้ที่หาได้ไม่ยาก ราคาก็ไม่แพง โดยสูตรนี้เลือกใช้ ผักและผลไม้ 4 ชนิด อย่าง แครอต แคนตาลูป หัวไช้เท้า และผักกาดหอม ซึ่งคุณค่าของผักและผลไม้เหล่านี้ช่วยเสริมเติมเต็มความแข็งแรงให้ดวงตา
อย่าง 'แครอต' อุดมด้วยเบต้าแคโรทีน หากสกัดเป็นน้ำยังจะมีซัลเฟอร์ และคลอรีน ล้วนแล้วแต่ดีต่อสายตา รวมกับคุณค่าของ 'แคนตาลูป' ที่เปี่ยมไปด้วยกรดโฟลิก เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 1 บี2 และบี6 โพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และกำมะถัน พร้อม 'หัวไช้เท้า' ซึ่มีวิตามินเอ แคลเซียม ไนอาซิน ช่วยล้างพิษได้ดี แถมท้ายด้วย 'ผักกาดหอม' มีแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ให้แข็งแรง
ก่อนลงมือทำ เตรียมผักและผลไม้ตามส่วนต่อไปนี้..
* หัวไช้เท้า ครึ่งถ้วย
* ผักกาดหอม 1 ถ้วย
* แครอต 1 ถ้วย
* แคนตาลูป 2 ถ้วย
ขั้นตอนในการทำ ให้หั่นหัวไช้เท้าและผักกาดหอมเป็นชิ้นหยาบๆ ส่วนแครอตให้ขูดออกเป็นเส้นเล็กๆ ขณะที่แคนตาลูปหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วดื่มได้ทันที หรือจะเติมน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็นสดชื่นก็ได้.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentId=123301
.
.
lek:
:07:หลานชอบกินซอสมะเขือเทศ :45:
sithiphong:
อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์
อย่างที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่า “กรดยูริก” คือ สารที่เป็นตัวการทำให้เกิดข้ออักเสบในผู้ป่วยโรคเกาต์ สาเหตุสำคัญก็มาจาก “สารพิวรีน” ทั้งที่มีอยู่ในร่างกายและที่มีอยู่ในอาหาร และวิธีการจำกัดอาหาร จะช่วยควบคุมกรดยูริกได้เฉพาะกรดยูริกที่เกิดจากสารพิวรีนที่ได้มาจากอาหาร ที่รับประทานเท่านั้น
ในผู้ป่วยโรคเกาต์เอง เมื่อมาพบแพทย์ก็มักจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์กลับไป ในเรื่องการปฏิบัติตัว การใช้ชีวิตประจำวัน การทำงานบางอย่างที่มีข้อยกเว้น และข้อแนะนำที่สำคัญก็คือ การปฏิบัติตัวให้เกิดขึ้นกับพฤติกรรมการกิน ที่ผู้ป่วยหลายคนบอกว่า เปลี่ยนไปเพราะโรคเกาต์
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงอาหารที่เหมาะและไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเกาต์ ซึ่งเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ตามปริมาณของสารพิวรีนในอาหาร
1. อาหารที่มีสารพิวรีนมาก
อาหารที่มีสารพิวรีน มาก จะมีผลต่อการอักเสบของโรคเกาต์ และมีผลอย่างมากต่อการเกิดโรคเกาต์ สำหรับอาหารที่มีสารพิวรีนมากที่ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรงดเว้นและหลีกเลี่ยง ได้แก่
ตับ, น้ำต้มเนื้อ, น้ำเกาเหลา, ไต, น้ำสกัดจากเนื้อเข้มข้น, ตับอ่อน
น้ำซุปใส, ปลาไส้ตัน, น้ำปลาและกะปิจากปลาไส้ตัน
ปลาซาร์ดีน, ยีสต์และอาหารหมักจากยีสต์ เช่น เบียร์
หอยเชลล์, ปลาทู, ปลารัง, เนื้อไก่, เป็ด, นก และ ไข่ปลา
2. อาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง
อาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง ก็ยังถือว่าต้องควบคุมปริมาณการรับประทาน
ซึ่งหมายถึงการรับประ ทานอาหารชนิดนี้ในปริมาณจำกัดผู้ป่วยโรคเกาต์ทานได้ในปริมาณจำกัด สำหรับอาหารที่มีสารพิวรีนปานกลางที่ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรงดเว้นและหลีกเลี่ยง ได้แก่
เนื้อวัว, กระเพาะ, ผ้าขี้ริ้ว, เอ็น, เนื้อหมู, เนื้อปลา
ปู, กุ้ง, หอย, ถั่วเหลือง, ถั่วดำ, ถั่วแดง, ถั่วเขียว
ผัก, หน่อไม้ฝรั่ง, ผักโขม, เห็ด, ดอกกะหล่ำ, ชะอม รวมทั้งกระถิน
3. อาหารที่มีสารพิวรีนน้อย หรือเกือบไม่มีเลย
อาหารที่มีสารพิวรีนน้อย หรือเกือบจะไม่มีสารพิวรีนเลย เป็นอาหารที่ผู้ป่วยโรคเกาต์สามารถรับประทานได้โดยไม่แสลง สำหรับอาหารที่มีสารพิวรีนน้อย หรือเกือบไม่มีเลยที่ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรควบคุมปริมาณการรับประทาน ได้แก่
ข้าวขาว, ขนมจีน, เส้นก๋วยเตี๋ยวทุกชนิด, วุ้นเส้น
บะหมี่, เส้นหมี่, ขนมปังปอนด์, มะกะโรนี, ข้าวโพด
แคร็กเกอร์สีขาว, ไข่, นม, ผลิตผลจากนม เช่น เนยแข็ง ไอศกรีม
น้ำมัน, น้ำมันพืช, กะทิ, เนย, น้ำมันหมู
ผัก, ผลไม้ทุกชนิด, เกาลัด, เม็ดมะม่วงหิมพานต์
ขนมหวานต่าง ๆ ได้แก่ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เค้ก คุกกี้
เครื่องดื่ม เช่น กาแฟ, ชา, โกโก้ และ ช็อกโกแลต
ทั้งนี้ นอกจากการงดรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีการปฏิบัติตัวอื่น ๆ ที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ ดังนี้
1) ทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
2) ดื่มน้ำวันละมาก ๆ เพื่อช่วยขับถ่ายกรดยูริก
3) งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้าชนิดต่าง ๆ เบียร์
4) หากจะต้องทำการผ่าตัด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่าเป็นโรคเกาต์ เพื่อป้องกันโรคเกาต์กำเริบหลังผ่าตัด
5) หลีกเลี่ยงภาวะเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ พยายามทำจิตใจให้สงบ.
ผศ.นพ.กิตติ โตเต็มโชคชัยการ
หน่วยโรคภูมิแพ้ อิมมูโนวิทยา และโรคข้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=506&contentId=123563
.
sithiphong:
สุขภาพดีด้วย เบต้า แคโรทีน
ขภาพดีด้วย บีต้า แคโรทีน (Mix Magazine)
อาจ มีบ้างที่มีข่าวลือเรื่องเกี่ยวกับการกินวิตามิน เบต้า แคโรทีน จำนวนมาก แล้วทำให้ผิวเปลี่ยนสีกลายเป็นสีเหลือง ดูเหมือนเป็นโรค อ่อนแอ แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น
เหตุผล ที่เมื่อเรากิน เบต้า แคโรทีน สะสมเข้าไปในร่างกายจำนวนมากแล้วร่างกายเราเปลี่ยนสีนั้น เป็นเพราะเบต้า แคโรทีนเป็นเม็ดสีที่เรามองเห็นมากที่สุดรอบ ๆ ตัว เกิดจากพืชสาหร่ายและแบคทีเรีย เป็นสีที่เราพบมากในอาหารที่เรากิน เช่น แครอต ฟักทอง หรือแม้กระทั่งส้มก็ตาม และยังอยู่ในกลุ่มเม็ดสีที่เรียกว่า คาโรทีนอยด์ อีกด้วย แต่ในกลุ่มคาโรทีนอยด์นั้น ไม่มีอะไรที่จะทำให้วิตามินเอเกิดประโยชน์ได้เท่าเบต้า แคโรทีน เช่นนั้นแล้วถ้ามองถึงประโยชน์ที่ได้รับจาก เบต้า แคโรทีน ย่อมมีค่ามากกว่าการอยากได้ตัวขาว ๆ แบบไร้ เบต้า แคโรทีนแน่ ๆ
เบต้า แคโรทีน ยังเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ เป็นสารที่มีความสำคัญในการดูแลสุขภาพ และยังเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ทั้งยังสามารถเปลี่ยนเบต้า แคโรทีน ให้กลายเป็นวิตามินเอได้ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง และลดความเสื่อมของเซลล์จากอนุมูลอิสระอีกด้วย
นอก จากนั้นแล้ว เบต้า แคโรทีน ยังช่วยให้ผิวพรรณของเราดูผ่องใส และไม่เหี่ยวย่นง่าย แถมยังบำรุงสุขภาพของดวงตา ทำให้มีส่วนช่วยในการมองเห็นเวลากลางคืน ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก
คะน้า
ปริมาณการกินเบต้า แคโรทีนเข้าไปในร่างกายแล้วเกิดประโยชน์ต่อสุขภาพก็คือ อย่างน้อย ๆ 5,000 หน่วยสากล (IU) หรือเท่ากับเบต้า แคโรทีน 3 กรัม แต่ถ้าจะให้แข็งแรง ต้านทานโรคได้ดี ต้องระดับ 15 มิลลิกรัมขึ้นไป และถ้าหากต้องการใช้ในการบำบัดโรค ก็ต้องได้รับในปริมาณที่มากขึ้นกว่านี้
เบ ต้า แคโรทีน นั้นสามารถมีได้ในพืชที่มีสี ๆ เช่น สีเหลือง สีส้ม รวมทั้งผักที่มีสีเขียวบางชนิดด้วย เช่น แครอต ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน แตงโม แคนตาลูป มะละกอสุก บร็อกโคลี่ มะระ ผักบุ้ง ต้นหอม คะน้า ตำลึง เป็นต้น
ปัจจุบัน ยังไม่มีผลงานวิจัยที่ออกมาแน่ชัดถึงผลกระทบของการรับเบต้า แคโรทีน เข้าร่างกายมากเกินไป ยกเว้นแต่สีผิวที่จะดูเปลี่ยนไปกลายเป็นสีเหลือง เพราะเบต้า แคโรทีน จะเข้าไปเก็บสะสมที่ผิวหนัง ซึ่งตรงนี้นับเป็นข้อดีด้วยซ้ำ เพราะเบต้า แคโรทีน จะเป็นตัวที่ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวของเราโดนสารพิษต่าง ๆ และทำให้ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งผิวหนังลดลง
ใครที่อยากมีสุขภาพที่ดีขึ้น ลองหันมากินอาหารที่มีส่วนประกอบของเบต้า แคโรทีน เพราะเป็นสารที่หากินได้ง่าย และมีอยู่ในผักผลไม้ไทย ๆ
.
http://www.mixmagazine.in.th/content.php?c=cid&v=648
http://health.kapook.com/view21924.html
.
sithiphong:
กินผิดน้ำ สุขภาพเต็มโรคร้าย
คืนวานนำเสนอเรื่องราวของ 'ธาราอาพาธ' ป่วยเพราะน้ำ ในส่วนของโรคจากการขาดน้ำไปแล้ว วันนี้ต่อเนื่องกันด้วย โรคจากการผิดน้ำ หรือดื่มน้ำที่ไม่เหมาะสมเข้าไป ซึ่ง นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ได้สำรวจมาเตือนผู้อ่านรักษ์สุขภาพว่า มี 5 น้ำ ที่ควรเลี่ยงดื่ม...
อย่างแรกใครจะคิดว่า เป็น 'น้ำดื่ม' ชนิดที่ระบุว่ามีฟลูออรีน,คลอรีนปะปนอันเป็นของช่วยฆ่าเชื้อได้ดี แต่ถ้ามีมากไปกลับกลายเป็นพิษ อย่าง ฟลูออรีนที่มากไปในน้ำส่วนหนึ่งจะแตกตัวเป็นฟลูออไรด์ไปจับกับเคลือบฟันจนด่างดำเปรอะไปเหมือนคราบช็อกโกแลตติดฟัน (Dental fluorosis) แก้กันลำบากเมื่อโตขึ้น
ต่อมา คือ 'น้ำปนเปื้อน' อาจเกลื่อนไปด้วยโลหะหนัก,ตะกั่ว,สารหนู ,หินปูน บางทีน้ำดื่มบรรจุขวดที่ดูใสสะอาดก็อาจมีของปนเหล่านี้ได้ไม่อาจมองเห็น เพราะในอเมริกามีการสำรวจพบ น้ำขวดที่รองมาจากน้ำประปาธรรมดามากอย่างน่าตกใจ หรือแม้ในน้ำบาดาลก็ปนเข้ามาด้วยของแถมมีพิษเหล่านี้ได้
อีกทั้ง 'น้ำกลั่น' ขอ ให้ตั้งจุดยืนในการดื่มน้ำไว้ครับว่า น้ำธรรมชาตินั้นอาจมีแร่ธาตุเล็กน้อยปนมาได้บ้าง น้ำสะอาดไม่จำเป็นต้องถูกกรองล้างเสียจนหมดจดเติมรถแทนน้ำกลั่นได้เพราะจะทำ ให้ร่างกายเสียสมดุลย์ไปได้ครับ การได้น้ำกลั่นใสแบ๊วนานเข้าจะทำให้เกลือแร่ในตัวผิดปกติไปได้ครับ
ยังมี 'น้ำหวาน' เป็น น้ำที่ดื่มกันประจำ แต่ต้องระวังชนิดที่ “หวานมรณะ” อย่าง น้ำผลไม้สังเคราะห์,น้ำเชื่อมผสมสี หรืออย่างน้ำวิตามินเกลือแร่กินแก้กระหาย ซึ่งมีน้ำตาล ข้าวโพด (HFCS) อยู่สูง แม้แต่น้ำผลไม้ที่กรองกากออกก็เสมือนกับกินน้ำเชื่อมอย่างแรงจะทำให้ยิ่งหิว น้ำและน้ำตาลไปสร้างเป็นพุงให้สุขภาพโทรมเร็วขึ้น!
รวมถึง 'น้ำเมา' ไม่ บอกก็รู้ว่าน้ำอย่างนี้มีพิษ แต่เมื่อดื่มไปแล้วก็ขอให้พยายามล้างพิษในภายหลังด้วยการดื่มน้ำเปล่าตาม เข้าไปให้มาก และให้ดื่มน้ำผลไม้เปรี้ยว อย่าง ส้ม, มะนาว, แครนเบอรี่ เข้าไปเพราะจะช่วยแก้อาการ “เมาค้าง” ได้ดี
มีเคล็ดแก้เมาค้างอีกนอก จากกินกล้วยหอมปั่น ก็คือ ต้มซุปไก่หรือทำไข่ตุ๋นร้อนๆ ซดครับ รับรองว่า ดีเพราะมีกรดอะมิโน “ซิสทีน(L-Cysteine)” ช่วยแก้พิษจากน้ำเมาอยู่
ดูไปจะเห็นว่า พิษภัยจากน้ำล้วนมาจากการใช้น้ำผิด เมื่อคิดให้ดีก็มาจากน้ำมือมนุษย์นี้เองที่เร่งใช้น้ำกันจนธรรมชาติสร้าง น้ำดีกลับมาไม่ทัน เลยทำให้น้ำเสียล้อมรอบตัวเราเข้ามาทุกทีแม้จะมีเทคโนโลยี “ล้างน้ำ” อย่างไรก็สู้น้ำที่แม่พระธรณีให้เรามาไม่ได้เลยครับ เพราะน้ำธรรมชาตินั้นบริสุทธิ์สะอาดได้ผ่านการกรองง่ายๆแต่ได้ประสิทธิภาพ นั่นคือชั้นหินและกรวดน้อยใหญ่ทั้งหลายเลยได้เบี้ยบ้ายรายทางเป็นเกลือแร่ เติมเข้ามาไม่ต้องไปหาไกลที่ใส่ขวดแพงๆ แหล่งน้ำแร่ชั้นดีในประเทศเราก็มีครับ ปัจจุบันก็ได้ถูกนำขึ้นมาใช้แล้ว ส่วนน้ำประปาตามบ้านหลวงท่านก็ทำสะอาดจนใช้ดื่มได้ ขอให้ล้างก๊อกน้ำและท่อประปาเก่าที่บ้านให้ดีจะได้ไม่มี “ผิดน้ำ” จากตะกรันสนิมปนเปื้อนมา
แม่พระคงคาท่านเมตตาหาน้ำดีให้เราฟรีๆอยู่รอบตัว แต่ที่น่ากลัวคือพิษจากการใช้น้ำผิดเสียมากกว่าจาก “น้ำมือ” ของมนุษย์ด้วยกันเองครับ!.
takecareDD@gmail.com
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentId=124063
.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version