ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 24 : ตัณหาวรรค  (อ่าน 5831 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 24 : ตัณหาวรรค
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2012, 09:49:06 pm »


11.เรื่องเศรษฐีผู้ไม่มีบุตร

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภเศรษฐีผู้ชื่อว่าอปุตตกะ    ตรัสพระธรรมเทศฯนี้ว่า  หนนฺติ  โภคา  ทุมฺเมธํ  เป็นต้น

ในกาลครั้งหนึ่ง   พระเจ้าปเสนทิโกศล  ได้เสด็จไปเฝ้าศาสดา  และได้กราบทูลว่า   ที่พระองค์เสด็จมาช้านั้น  ก็เพราะเมื่อเช้านี้  คฤหบดีผู้เป็นเศรษฐี  ในกรุงสาวัตถี  เป็นผู้ไม่มีบุตร    ได้เสียชีวิต  หาทายาทมิได้  ท้าวเธอจึงได้รับสั่งให้ขนทรัพย์สมบัติไปเก็บไว้ในราชสำนัก  จากนั้นท้าวเธอได้กราบทูลถึงประวัติของเศรษฐีผู้นี้ว่า  แม้ว่าจะเป็นเศรษฐี  แต่เป็นคนตระหนี่   เมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น  ไม่เคยทำบุญให้ทาน  ไม่ยอมจับจ่ายใช้สอยทรัพย์แม้เพื่อตนเอง  อาหารที่รับประทานในแต่ละวันก็มีแต่ข้าวปลายเกรียน  และน้ำผักดอง   เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เป็นเสื้อผ้าราคาถูกๆ  รถที่ใช้โดยสารก็เป็นรถเก่าๆ  เมื่อทรงสดับประวัติของเศรษฐีแล้ว  พระศาสดาได้ตรัสกับพระราชาและประชาชนที่มาชุมนุมเพื่อฟังธรรม  ถึงอดีตชาติของเศรษฐีผู้นี้  ซึ่งแม้ในครั้งนั้นก็เกิดเป็นเศรษฐีเหมือนกัน  ว่า

วันหนึ่ง   พระปัจเจกพุทธเจ้า   ได้มายืนบิณฑบาตอยู่ที่หน้าบ้านของเศรษฐี    เศรษฐีได้บอกภรรยาให้นำสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาถวายพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น  ฝ่ายภรรยาคิดว่านานๆครั้งที่สามีจะอนุญาตให้นางให้สิ่งใดหนึ่งหนึ่งแก่ใครๆ   นางจึงได้นำอาหารอย่างดีไปใส่ลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า   เมื่อเศรษฐีเดินกลับมาพบพระปัจเจกพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้มองไปที่บาตรของท่าน   เมื่อเห็นแต่อาหารดีๆอยู่ในบาตร  ก็คิดว่า  “ พวกทาสหรือพวกกรรมกรกินอาหารนี้ยังดีกว่า  เพราะว่า พวกเขา ครั้นกินอาหารนี้แล้ว  จะทำการงานให้เรา  ส่วนสมณะนี้  ครั้นไปกินแล้ว  ก็จะนอนหลับ  อาหารบิณฑบาตของเราสูญเปล่า”  นอกจากนั้นแล้ว เศรษฐีผู้นี้มีน้องชายซึ่งเป็นเศรษฐีเหมือนกัน  ต้องการจะแย่งชิงสมบัติของน้องชายมาเป็นของตนทั้งหมด  จึงได้วางแผนฆ่าบุตรชายของน้องชายซึ่งเป็นหลานแท้ๆของตนจนเสียชีวิต  และเมื่อน้องชายเสียชีวิตแล้ว  ก็ได้ยึดทรัพย์ทั้งหมดของน้องชายมาเป็นของตน

เพราะกุศลกรรมจากการที่ได้ถวายอาหารบิณฑบาตแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า  ทำให้เขาได้เป็นเศรษฐีในชาติปัจจุบัน  แต่เพราะอกุศลกรรมคือนึกเสียใจที่ภรรยาได้ให้อาหารดีๆแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า  ทำให้เขาไม่ต้องการจ่ายทรัพย์ใดๆเพื่อตัวเขาเอง  และเพราะผลของอกุศลกรรมที่ฆ่าหลานชายเพื่อฮุบสมบัติ  ทำให้เขาไปตกนรกอยู่ เป็นเวลานานแสนนาน  และเพราะผลกรรมที่เหลือ  ทำให้เขาถูกยึดทรัพย์สมบัติไปเป็นของหลวง พฤติกรรมของเศรษฐีเข้าทำนองที่ว่า  บุญเก่าหมดไป และบุญใหม่ไม่สั่งสม  และเมื่อสิ้นชีวิตก็ได้ไปเสวยทุกข์ในมหาโรรุวนรก

พระเจ้าปเสนทิโกศล   ทรงสดับพระดำรัสของพระศาสดาแล้ว  จึงกราบทูลว่า  “พระเจ้าข้า  น่าอัศจรรย์  นี้เป็นกรรมอันหนัก  เศรษฐีนั้น  เมื่อโภคะมีอยู่มากมาย  แต่ไม่ใช้สอยด้วยตนเองเลย  เมื่อพระพุทธเจ้าเช่นกับพระองค์  ประทับอยู่ในวิหารใกล้ๆ  ก็มิได้ทำบุญกรรม

พระศาสดาตรัสว่า   “จริงอย่างนั้น  มหาบพิตร  ชื่อว่าผู้มีปัญญาทราม  ได้โภคะทั้งหลายแล้ว  ย่อมไม่แสวงหานิพพาน  อนึ่ง  ตัณหาซึ่งเกิดขึ้นเพราะอาศัยโภคะทั้งหลาย  ย่อมฆ่าคนเหล่านั้นสิ้นกาลนาน
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

หนนฺติ  โภคํ  ทุมฺเมธํ
โน  จ  ปารคเวสิโน
โภคตญฺหาย  ทุมฺเมโธ
หนฺติ  อญฺเญว  อตฺตนํ ฯ


โภคะทั้งหลาย  ย่อมฆ่าคนทรามปัญญา
แต่ไม่ฆ่าคนผู้แสวงหาฝั่งโดยปกติ  คนทรามปัญญา
ย่อมฆ่าตนเหมือนฆ่าคนอื่น
เพราะความทะยานอยากในโภคะ
.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 24 : ตัณหาวรรค
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2012, 10:25:12 pm »



12.เรื่องอังกุรเทพบุตร

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่บนแท่นบัณฑุกัมพลศิลา  ทรงปรารภอังกุรเทพบุตร  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  ติณโทสานิ  เขตฺตานิ  เป็นต้น

ในกาลครั้งหนึ่ง   พระศาสดาเสด็จขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์   เพื่อแสดงพระอภิธรรมโปรดสันดุสิตเทวดา ซึ่งเป็นอดีตพุทธมารดา  ในระหว่างนั้น  มีเทวดาองค์หนึ่งนามว่าอินทกเทพบุตร อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  ซึ่งเมื่อครั้งอยู่ในโลกมนุษย์  เทพองค์นี้ได้ถวายอาหารบิณฑบาตแด่พระอนุรุทธเถระเพียงทัพพีเดียว  ซึ่งเป็นอาหารที่คนนำมาจะให้ตนรับประทาน   เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว  เขาได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  มีเทวสมบัติที่ยิ่งใหญ่  ในขณะเดียวกันนั้น   มีเทพอีกองค์หนึ่งนามว่า อังกุรเทพบุตร  อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีกเหมือนกัน  ซึ่งเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ได้ถวายทานเป็นจำนวนมากและในหลายโอกาส กว่าอินทกเทพบุตร  แต่ปรากฏว่า  เทวสมบัติของอังกุรเทพบุตรมีความยิ่งใหญ่น้อยกว่าของอินทกเทพบุตร  ดังนั้น เมื่อพระศาสดาเสด็จสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์   อังกุรเทพบุตรจึงได้ทูลถามข้อแตกต่างระหว่างทานของตนกับของอินทกเทพบุตร  พระศาสดาตรัสว่า  “อังกุระ  ชื่อว่าการเลือกให้ทาน  ย่อมควร  ทานของอินทกะนั้น  เป็นของมีผลมาก  ดังพืชที่หว่านดีแล้วในนาดี  อย่างนี้  แต่ท่านไม่ได้ทำอย่างนั้น  เพราะฉะนั้น  ทานของท่านจึงไม่มีผลมาก

พระศาสดาตรัสด้วยว่า “บุคคลควรเลือกให้ทาน  ในเขตที่ตนให้แล้วจะมีผลมาก  เพราะการเลือกให้  พระสุคตทรงสรรเสริญแล้ว  ทานที่ให้ในท่านผู้เป็นทักขิไณยบุคคลในชีวโลกนี้  เป็นของมีผลมาก  เหมือนพืชที่หว่านในนาดี ฉะนั้น
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท   สี่พระคาถานี้ว่า

ติณโทสานิ  เขตฺตานิ 
ราคโทสา  อยํ  ปชา
ตสฺมา  หิ  วีตราเคสุ
ทินฺนํ  โหติ  มหปฺผลํ  ฯ


ติณโทสานิ  เขตฺตานิ 
โทสโทสา  อยํ  ปชา
ตสฺมา  หิ  วีตโทเสสุ
ทินฺนํ  โหติ  มหปฺผลํ  ฯ


ติณโทสานิ  เขตฺตานิ 
โมหโทสา  อยํ  ปชา
ตสฺมา  หิ  วีตโมเหสุ
ทินฺนํ  โหติ  มหปฺผลํ  ฯ


ติณโทสานิ  เขตฺตานิ 
อิจฉาโทสา  อยํ  ปชา
ตสฺมา  หิ  วีคติจฺเฉสุ
ทินฺนํ  โหติ  มหปฺผลํ  ฯ


นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นโทษ
หมู่สัตว์นี้ก็มีราคะเป็นโทษ
ฉะนั้นแล  ทานที่ให้ในท่านผู้ปราศจากราคะ

จึงเป็นของมีผลมาก.

นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นโทษ
หมู่สัตว์นี้ก็มีโทสะเป็นโทษ
ฉะนั้นแล  ทานที่ให้ในท่านผู้ปราศจากโทสะ

จึงเป็นของมีผลมาก.

นาทั้งหลาย  มีหญ้าเป็นโทษ
หมู่สัตว์นี้มีโมหะเป็นโทษ
ฉะนั้นแล  ทานที่ให้ในท่านผู้ปราศจากโมหะ

จึงเป็นของมีผลมาก.

นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นโทษ
หมู่สัตว์นี้ก็มีความอยากเป็นโทษ
ฉะนั้นแล  ทานที่ให้ในท่านผู้ปราศจากความอยาก

จึงเป็นของมีผลมาก
.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  อังกุรเทพบุตร  และอินทกเทพบุตร  บรรลุโสดาปัตติผล  พระธรรมเทศนา  มีประโยชน์  แม้แก่เหล่าเทพบุตรผู้มาประชุมกัน.


-http://www.oknation.net/blog/dhammapada/2008/11/17/entry-16