ผู้เขียน หัวข้อ: ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสีพ่นซ่อมรถยนต์  (อ่าน 1105 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสีพ่นซ่อมรถยนต์ - ครบเครื่องเรื่องรถ
วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม 2555 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/article/1546/148950-





ช่วงที่ฝนตกบ่อย ๆ อย่างนี้ เวลาขับรถก็มักจะต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะสายฝนที่ตกลงมานั้นนอกจากจะทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่จะแย่ลงแล้ว ยังทำให้ถนนลื่นกว่าปกติอีกด้วย ดังนั้นเราจึงเห็นกันได้บ่อย ๆ ว่าพอฝนตกรถก็มักจะชนกัน เนื่องจากเบรกไม่อยู่

สำหรับคุณผู้อ่านที่ประสบอุบัติเหตุทั้งที่เป็นคนไปชนเขาและถูกเขามาชน หลังจากจัดการเรื่องประกันกับคู่กรณีกันเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงคราวต้องเอารถเข้าอู่ไปซ่อมตัวถังและทำสีกันล่ะ ซึ่งคุณผู้อ่านก็ควรจะมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการซ่อมสีรถยนต์เอาไว้บ้าง เวลาคุยกับช่างจะได้รู้ว่าช่างเขาเอาสีแบบไหนมาพ่นรถเรา และสีแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียอย่างไร

สำหรับสีที่ใช้พ่นรถยนต์กันในปัจจุบันจะแบ่งได้ 3 ประเภทใหญ่คือ สีโออีเอ็ม (Original Equipment Manufacturer) สีแบบ 1เค และสีแบบ 2เคสีแบบโออีเอ็มนั้นพูดกันแบบง่าย ๆก็คือสีที่ทำจากโรงงาน สีแบบนี้จะมีคุณสมบัติที่ดีมากหลังจากเข้าห้องอบ จนสีแห้งตัวแล้วคือมีความแข็งแรงของชั้นฟิล์มสีสูง มีการยึดเกาะที่ดีเยี่ยม ให้ความเงางาม สามารถทนทานต่อสารเคมีต่าง ๆ หรือตัวทำละลายอย่างทินเนอร์ น้ำมันเบนซินหรือดีเซล และน้ำมันเบรกได้ดีมาก รวมทั้งสามารถทนทานต่อแสงแดดได้ดี จึงไม่ซีดจางง่าย

แต่ถ้าคุณอยากเอารถไปทำสีแบบนี้ เพื่อให้รถของคุณกลับมาสวยเงางามเหมือนเมื่อออกจากโชว์รูมใหม่ก็คงจะเป็นเรื่องยากอยู่สักหน่อย เพราะการอบแบบสีโออีเอ็มขนานแท้แบบโรงงานนั้น จะต้องใช้ห้องอบสีที่มีอุณหภูมิอบที่สูงมาก ประมาณ 120-160 องศาเซลเซียส ซึ่งที่อุณหภูมิสูงขนาดนี้ ชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ไม่ใช้โลหะไม่สามารถทนความร้อนได้แน่นอน ดังนั้นคุณต้องจัดการถอดชิ้นส่วนต่าง ๆ ออกให้หมด ซึ่งรับรองได้ว่าไม่สนุกแน่นอน ดังนั้นเรามองข้ามการพ่นสีแบบโออีเอ็มนี้ไปได้เลย

ทีนี้ก็มาถึงสีแบบ 1เค กับ 2เค ซึ่งเป็นที่นิยมใช้เวลาซ่อมสีรถยนต์ สำหรับตัวเค (K) ที่ต่อท้ายเลข 1 กับ 2 นั้นเป็นคำย่อจากภาษาเยอรมันว่า คอนโพเนนต์ ซึ่งแปลว่าองค์ประกอบ ดังนั้นสี 1เค คือสีที่มีเนื้อสีเป็นส่วนประกอบเพียงอย่างเดียว เวลาจะใช้งานก็ต้องผสมเนื้อสีกับตัวทำละลาย สีจะแห้งตัวได้เมื่อตัวทำละลายระเหยไป ส่วนสี 2เค จะเป็นสีที่มี 2 องค์ประกอบคือมีเนื้อสีและตัวเร่งปฏิกิริยา  ซึ่งก่อนใช้งานต้องนำทั้ง 2 องค์ประกอบมาผสมกันตามอัตราส่วน เพื่อให้เกิดการทำปฏิกิริยาทางเคมีและทำให้สีเกิดการแห้งตัว

สำหรับการพ่นซ่อมสีรถยนต์ในอู่หรือศูนย์ซ่อมสีทั่วไปนั้น ช่างจะเลือกใช้สีได้แค่ 2 แบบคือสี 1เค หรือสี 2เค เท่านั้น แต่ถ้าอยากจะให้งานสีออกมาดูดี อู่หรือศูนย์ซ่อมสีดี ๆ จะใช้สีแบบบ 2เค เนื่องจากมีคุณภาพโดยรวมที่ดีกว่าสี 1เค มากคือมีความแข็งแรงของชั้นฟิล์มสีสูง ทนทานต่อสารเคมีและตัวทำละลาย เช่น ทินเนอร์ น้ำมันเบนซินหรือดีเซล และน้ำมันเบรกได้ดี นอกจากนี้ยังมีการยึดเกาะที่ดีเยี่ยมให้ความเงางามสูง รวมทั้งสามารถทนทานต่อแสงแดดได้ดีจึงไม่ซีดจางง่าย โดยรวมแล้วมีคุณภาพใกล้เคียงกับสีจากโรงงานเลยทีเดียว แต่ในขณะเดียวกัน เวลาในการทำงานและค่าใช้จ่ายก็สูงกว่าสี 1เค ด้วย

สี 1เค นั้นมักจะเป็นทางเลือกของลูกค้าที่มีงบน้อย ไม่เน้นความละเอียดของงาน ต้องการความรวดเร็ว อย่างงานซ่อมสีรถแท็กซี่ที่ต้องเอารถออกวิ่งหาเงินโดยเร็ว หรือบรรดาร้านขายรถมือสองที่ต้องเก็บรอยตำหนิต่าง ๆ ก่อนเอานำไปขายต่อเพื่อไม่ให้ราคาขายต่อตก แต่เมื่อเวลาผ่านไปสัก 2-5 ปี คุณภาพของสีที่ด้อยกว่าจะทำให้สภาพสีเปลี่ยนไป เช่น สีบวม ลอก หรือซีดจางลง เป็นต้น

สรุปโดยรวมแล้ว ถ้าเป็นรถบ้านที่มีประกันชั้น 1 หรือมีงบพอ แนะนำว่าควรจะเลือกใช้สีแบบ 2เค และควรสอบถามดูให้แน่ใจด้วยว่าสีที่อู่เอามาพ่นให้นั้นเป็นสีแบบที่เราต้องการจริง ๆ และต้องมีการรับประกันงานหลังจากทำสีแล้วด้วย เพื่อว่าเมื่อมีปัญหาภายหลังจะได้นำรถกลับไปให้ทางอู่แก้ไขได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย.

สมฤกษ์ รื่นสัมฤทธิ์

.

http://www.dailynews.co.th/article/1546/148950

.

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)