Yes Man ได้ครับพี่ ดีครับผมยอดชายนายจิม แคร์รี่ กับผลงานล่าสุด ในคราบหนุ่มทนายที่จำต้อง Say Yes ให้กับทุกข้อเสนอที่มีเข้ามาในชีวิต
หลังจากที่พังไม่เป็นท่าทั้งแง่เสียงวิจารณ์ และรายรับในหนังปี 1996 The Cable Guy ซึ่งกำกับโดย เบน สติลเลอร์ คล้อยหลังมาเพียงหนึ่งปี จิม แคร์รี่ ก็กลับมาแจ้งเกิดเป็นหนที่สองกับ Liar Liar จากนั้นเรื่อยมากราฟชีวิตของพ่อหนุ่ม The Mask ก็ขึ้นๆ ลงๆ แต่พักหลังออกแนวขาลงมากกว่าเพราะหนังหลายต่อหลายเรื่องที่เขาเล่นไม่ค่อยเป็นที่จดจำเท่าไหร่นัก
อันนี้ยกเว้น The Truman Show, Man on The Moon และ Eternal Sunshine of the Spotless Mind แถมต้องเผชิญหน้ากับวินซ์ วอห์น, โอเว่น วิลสัน และเบน สติลเลอร์ ซึ่งเป็นคู่แข่งทางตรงในฐานะดาวตลกแห่งฮอลลีวู้ด ยังไม่นับรวมโปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ และมือเขียนบท อย่างจัดด์ อาพาโทว์ ที่ก้าวขึ้นมาเป็นเต้ยในภาพยนตร์ Comedy ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ว่าแล้วหนุ่มใหญ่ที่มีออง ซาน ซูจี เป็นฮีโร่ ก็เลย "งานเข้า" กับการหาทางกลับมาเป็นเบอร์หนึ่งในการเรียกเสียงหัวเราะอีกครั้ง
ที่เราเริ่มต้นเรื่องราวของจิม แคร์รี่ ตรง Liar Liar ก็เพื่อจะโยงเข้าสู่ Yes Man งานชิ้นล่าสุดของเขา ซึ่งหลังจากที่ดูหนังจบ เราก็อดนึกถึงความละม้ายคล้ายคลึงกันระหว่างภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องไม่ได้ แม้จะต่างกันในรายละเอียด แต่หลังใหญ่ใจความก็ไปในทางเดียวกัน เรื่องแรกตัวละคร เฟรทเชอร์ รีด เป็นทนายความหนุ่มที่ไม่สามารถพูดโกหกได้อีก ขณะที่ตัวละครในเรื่องหลังก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เอ่ยคำว่า "ไม่" เขาต้อง Say Yes ให้กับทุกข้อเสนอที่มีเข้ามาในชีวิต
ความเริ่มต้นที่ คาร์ล อัลเลน (จิม แคร์รี่) ชายหนุ่มที่ทำงานธนาคารในแผนกสินเชื่อ เขาปฏิเสธทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต โทรศัพท์ดังก็ไม่รับ ลูกค้ามาขอกู้เงินก็ไม่อนุมัติให้ผ่าน เมื่อเพื่อนชวนไปเที่ยวก็อ้างว่าไม่ว่าง ทั้งๆ ที่นอนดูหนังอยู่กับบ้านแท้ๆ อยู่มาวันหนึ่งขณะที่กำลังนั่งเซ็งๆ เพราะไม่ได้รับการเลื่อนขั้น ชายหนุ่มก็พบกับเพื่อนเก่า เขาชักชวนให้คาร์ลไปเข้าร่วมสัมมนาที่ว่าด้วย "การตอบรับ" ให้กับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต จากนั้นมา คาร์ลก็ผันตัวเองจาก No Man มาเป็น Yes Man
เขาได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ไปเรียนกีตาร์ เข้าคอร์สภาษาเกาหลี และอนุมัติเงินกู้เป็นว่าเล่น สิ่งดีๆ ต่างๆ ก็มาเคาะประตูหน้า ทั้งกลายเป็นฮีโร่ช่วยชีวิตคน ได้เลื่อนตำแหน่ง และพบกับรักครั้งใหม่ แต่คำถามที่ตามมาก็คือ ทั้งหลายทั้งมวลที่เกิดขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่คาร์ล อัลเลนอยากทำจริงๆ หรือเพียงเพราะต้องการจะรักษาสัญญาปากเปล่าที่ให้ไว้เท่านั้น
หนังจงใจขายความเป็นจิม แคร์รี่ อย่างชัดเจน ไล่ตั้งแต่การสร้างตัวละคร เนื้อหา และมุกตลกต่างๆ ซึ่งก็พอจะทำให้เรากล้อมแกล้มคิดถึงวันคืนเก่าๆ ของดาราหน้าเป็นคนนี้ไปได้พอสมควร แต่บางมุกตลกก็ "ไม่สร้างสรรค์" เท่าไหร่นัก ทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจอาจจะถึงขั้นส่ายหัวมากกว่าจะหัวเราะขำขัน
เพย์ตัน รีด ผู้กำกับของเรื่องหยิบเอาบันทึกความทรงจำชื่อเดียวกันของแดนนี่ วอลเลส ดาวตลกชาวอังกฤษที่ตัดสินใจ Say Yes ให้กับทุกข้อเสนอที่มีเข้ามาในชีวิตเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม เพื่อทำให้ชีวิตมีความน่าสนใจและมองโลกในแง่ดี ตัวอักษรแสดงให้เห็นภาพของความยากลำบากและปัญหานานาประการที่เกิดขึ้นระหว่างที่เขาตอบรับกับทุกคำขอ กับทุกข้อเสนอ ซึ่งเมื่อมองตามความเป็นจริงแล้ว การทำแบบนี้ก็ค่อนข้างจะสุ่มเสี่ยงพอสมควร เพราะถ้าจู่ๆ มีใครมาขอให้คุณไปกระโดดตึก หรือขอให้คุณเอาเงินที่มีมอบให้คนอื่นทั้งหมด หรืออาจจะขอให้คุณลาออกจากงาน จากการเปิดโอกาสให้ชีวิตก็จะกลับกลายมาเป็นการทำลายชีวิตซะมากกว่า
หนังเปิดเรื่องได้อย่างน่าสนใจ กับการทำให้คนดูเห็นว่าคาร์ล อัลเลน เป็น No Man และดูจะมีอะไรขึ้นมาเมื่อเขาเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นมิสเตอร์ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน ถึงแม้ว่าตรงจุดที่ทำให้ชายหนุ่มกลายมาเป็น Yes Man จะดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่นักก็ตาม แต่ก็เอาเถอะ หนังปูความไว้ว่า การตอบรับกับทุกอย่างจะนำมาซึ่งเรื่องดีๆ ในชีวิต (อ่ะจริงดิ)
หลังจากที่ขับรถไปส่งคนจรจัดที่ทางสายเปลี่ยวในยามค่ำคืนจนรถน้ำมันหมด ชายหนุ่มก็ได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ปั๊มน้ำมัน และหล่อนก็อาสาขับสกูตเตอร์มาส่งเขา จากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองก็เดินหน้าไปเรื่อยๆ โดยมีการ Say Yes เป็นตัวชักนำ พอหนังเดินมาถึงจุดนี้ เราก็เริ่มรู้สึกอยู่เล็กๆ ว่า หนังคงไม่ได้ไปไหนไกลสักเท่าใดนัก แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะสิ่งต่างๆ ที่ตามมาล้วนคาดเดาได้หมดสิ้นไปจนจบเรื่อง
หนังเดินตามสูตรทำนองที่ว่าตัวละครหลักสร้างเงื่อนไขให้กับตัวเองขึ้นมา จากนั้นก็ไปพบรักกับตัวละครอีกตัว จนกระทั่งเงื่อนไขนั้นถูกเฉลย เกิดการผิดใจกัน ที่เหลือก็เป็นการงอนง้อ และก็จบลงอย่าง Happy Ending เราเคยพบการเดินเรื่องแบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เพียงแต่เกิดขึ้นกันต่างกรรมต่างวาระ เช่น ใน 10 Things i hate about You, How to Loose a Guy in 10 Days และ 40 Days and 40 Night ซึ่งทุกเรื่องที่ยกมาล้วนแล้วแต่วางตัวเองเป็นหนังรักวัยรุ่น วัยทำงาน แต่กับ Yes Man แล้วตัวหนังน่าจะไปได้ไกลกว่านี้ เพราะสมมติฐานของเรื่องที่ตั้งเอาไว้น่าสนใจอยู่แล้ว ยิ่งถ้ามองเทียบกับ Liar Liar ทั้งสองเรื่องนำเสนอสารเดียวกัน ใกล้เคียงกัน แต่ทนายความที่ไม่สามารถพูดโกหกกลับทำให้เราจดจำได้มากกว่า
แน่ล่ะว่า ประเด็นเรื่องการเรียนรู้ของตัวละครเป็นสิ่งที่ตามติดมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ (และก็ไม่ควรเลี่ยงด้วย) ซึ่งหนังก็พร่ำบอกกับคนดูว่า เราควรจะใช้ชีวิตให้เต็มที่ เปิดโอกาสให้กับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต แต่ก็ต้องไม่สุดโต่งเกินไป หรือน้อยจนเกินควร ประมาณว่า ควรเดินทางสายกลาง ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นเหมือนคาร์ล อัลเลนในตอนต้นเรื่องที่จมปลักอยู่กับการดูดีวีดี และคาร์ล อัลเลนในตอนท้ายเรื่อง ซึ่งต้องปวดใจกับการตอบรับมันซะทุกเรื่อง
Yes Man อาจจะไม่ใช่หนังดีมากนักเมื่อเทียบกับงานเก่าๆ ของจิม แคร์รี่ เอง (หรือเทียบกับหนังเรื่องอื่นๆ) แต่อย่างน้อยมันก็ยังพอเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มได้บ้าง ท่ามกลางบรรยากาศที่คลุมเครือของบ้านเมืองและโลกใบนี้
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/movie-music/20090116/7467/Yes-Man-%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9C%E0%B8%A1.html