ผู้เขียน หัวข้อ: ปัจจัยที่ทำให้เราไม่ก้าวหน้าในงาน  (อ่าน 958 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ปัจจัยที่ทำให้เราไม่ก้าวหน้าในงาน
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1358487718&grpid=&catid=02&subcatid=0207-

โดย ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์

 http://tamrongsakk.blogspot.com


ชีวิตการทำงานกับความก้าวหน้าเป็นเรื่องคู่กันจริงไหมครับ เพราะไม่ว่าใครก็ต้องการความก้าวหน้าด้วยกันทั้งนั้น

เจ้าของกิจการก็อยากจะให้กิจการของตัวเองรุ่งเรืองก้าวหน้า มีรายรับเข้ามาเยอะ ๆ คนที่เป็นลูกจ้างพนักงานหรือผู้บริหารก็ต้องการความก้าวหน้าในงานในตำแหน่ง เพราะหมายถึงค่าตอบแทนที่จะเพิ่มสูงขึ้นไปตามตำแหน่ง

หลายครั้งคนที่ยังไม่สามารถก้าวหน้าไปในตำแหน่งหน้าที่การงานอย่างที่ใจคาดหวังก็มักจะพูดทำนองนี้ให้ผมได้ยินอยู่บ่อย ๆ

"ทำงานมาหลายปีแล้วแต่เงินเดือนน้อยจังเลย"

หรือ "เมื่อไหร่หัวหน้าจะเลื่อนตำแหน่งให้ซะทีนะ"

หรือ "เราก็ทำงานหนักขนาดนี้แล้วทำไมบริษัทยังไม่เห็นฝีมืออีก...." และ ฯลฯ

ผมอยากจะให้ท่านลองนั่งนิ่ง ๆ ทำใจร่ม ๆ แล้วลองหันกลับมาทบทวนตัวเอง แล้วคิดในมุมมองใหม่ดังนี้

1.ทัศนคติของตัวท่านยังเป็นบวกมากกว่าลบ หรือเป็นลบมากกว่าบวก

ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในบรรดาทุก ๆ เรื่องที่จะพูดต่อไป เพราะมีคำพูดหนึ่งที่เป็นจริงอยู่เสมอคือ ทัศนคติเป็นทุก ๆ อย่างในชีวิต คนที่ประสบความสำเร็จได้จำเป็นจะต้องมีทัศนคติ หรือวิธีคิดในเชิงบวกมากกว่าลบ

ดังนั้น ถ้าเราคิดหรือมองทุก ๆ เรื่องรอบตัว (รวมทั้งเรื่องความก้าวหน้าของตัวเอง) ในเชิงลบ เราจะไม่เห็นโอกาสอะไรเลยสักอย่าง

แต่ถ้าเราคิดเชิงบวกให้มากหน่อย เราจะเห็นโอกาสในทุก ๆ ปัญหาอยู่เสมอครับ ดังนั้น หากเราไม่ชอบอะไรเราสามารถที่จะคิดเปลี่ยนแปลงสิ่งใด ๆ ก็ได้ แต่ถ้าเรื่องนั้น ๆ เกินกำลังที่เราจะเปลี่ยน วิธีที่ดีที่สุดคือเปลี่ยนความคิดของเราต่อสิ่งนั้นเสียใหม่ แล้วหาวิธีปรับตัวให้เหมาะกับสิ่งนั้นสิครับ

2.ค้นหาว่าตัวเรามีความสามารถอะไรอยู่บ้าง คำว่าความสามารถก็คือ "Competency" นั่นเอง

ซึ่งความสามารถมักจะประกอบด้วย 3 เรื่องคือ KSA หมายถึงท่านมีความรู้ (Knowledge) ในงานที่เหมาะสมที่จะทำงานนั้น ๆ ให้ได้ดีบ้าง, ท่านมีทักษะ (Skills) หรือความเชี่ยวชาญชำนาญในงานที่ท่านปฏิบัติได้เป็นอย่างดีบ้าง และท่านมีคุณลักษณะภายใน (Attributes) ที่เป็นแรงขับเคลื่อนภายในที่จะทำให้งานนั้นประสบความสำเร็จ เช่น ความขยัน, ความอดทน, ความซื่อสัตย์, ความรับผิดชอบ, ความละเอียดรอบคอบ ฯลฯ ที่จะมีส่วนเสริมส่งให้งานที่ท่านทำบรรลุผลสำเร็จได้เป็นอย่างดีบ้าง

ดังนั้น ลองหันกลับมาทบทวนค้นหาขีดความสามารถในตัวเองให้เจอว่าเรามีความรู้, ทักษะ และคุณลักษณะภายในเหมาะที่จะทำงานด้านไหนกันแน่แล้วพัฒนาเจ้า KSA นั้นไปให้เต็มที่ เต็มศักยภาพที่ท่านมี และใช้ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่มีภายในตัวให้ตรงกับงานที่ท่านรับผิดชอบอยู่อย่างเต็มที่ ท่านก็จะประสบความสำเร็จได้แน่นอนครับ

3.ไม่ควรทำงานเหมือน ๆ เดิมทุกวัน ท่านลองใช้ความสามารถที่มีจากข้อ 2 มาคิดทบทวนงานที่รับผิดชอบดูว่า งานที่เราทำมานั้นได้เวลาทบทวนปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่

เราไม่ควรทำงานวันนี้ให้เหมือนเมื่อเดือนที่แล้ว, เมื่อปีที่แล้วเราก็ทำอย่างนี้แหละ, เผลอ ๆ เมื่อห้าปีที่แล้วเราก็ทำงานแบบเดิมนี้อยู่ โดยไม่เคยคิดปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นไปบ้างเลย

ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วใครเขาจะมาเห็นว่าเรามีฝีมือล่ะครับ เพราะเราทำงานไปแบบอัตโนมัติทุก ๆ วันไม่มีอะไรแสดงให้ฝ่ายบริหารเขาเห็นว่าต้องใช้ฝีมืออะไรเพิ่มขึ้น

ผมเปรียบเทียบกับห้างสรรพสินค้าก็ได้ครับ แม้จะมีการขายของอยู่ทุกวันจนเป็นงานประจำ (Routine) คือขายสินค้า แต่ห้างต่าง ๆ เขายังต้องปรับเปลี่ยนมุมขายสินค้า, เปลี่ยนการวางสินค้าในชั้นวาง, เปลี่ยนการจัดอีเวนต์ (Event) ต่าง ๆ อยู่เสมอเพื่อไม่ให้ลูกค้ารู้สึกจำเจ

แล้วท่านล่ะ ถ้าลูกค้าของท่านคือหัวหน้างาน เขาเห็นท่านทำงานอยู่เหมือนเดิม ๆ โดยตลอด เขาไม่จำเจแย่หรือครับ

4.เปลี่ยนมุมมองและวิธีการทำงานใหม่ จึงเลยมาถึงข้อนี้ โดยผมอยากให้ข้อคิดว่าท่านลองปรับมุมมองใหม่ โดยมองหัวหน้าของท่านเป็นลูกค้า แล้วท่านเป็นผู้ขายหรือเจ้าของสินค้า (ซึ่งก็คืองานที่จะต้องนำเสนอหัวหน้านั่นแหละ) ท่านเคยปรับปรุงสินค้าหรือบริการให้มีอะไรแปลกใหม่แล้วนำกลับไปเสนอลูกค้า (ซึ่งก็คือหัวหน้า) ของท่านบ้างหรือเปล่า

อย่างน้อยสักปีละครั้งท่านควรจะนำงาน (เปรียบเสมือนสินค้า) ที่ท่านลองคิดปรับปรุงให้ดีขึ้น ไปเสนอพูดคุยกับหัวหน้า (เปรียบเสมือนลูกค้ารายใหญ่) ดูว่าเขาต้องการสินค้า (หรืองาน) แบบนี้หรือไม่

ถ้าไม่ใช่ เขาต้องการให้เป็นแบบไหน นี่คือการทำงานแบบเชิงรุก (Proactive) ที่ไม่ใช่การทำงานแบบเชิงรับ (Reactive) ซึ่งผมเชื่อว่าจะมีอะไรที่ดีขึ้นกว่าการที่จะคอยแต่รอรับคำสั่งเพียงอย่างเดียวนะครับ

แต่ทั้งหมดที่บอกมาข้างต้น ก็มีปัจจัยหลักสำคัญอยู่ที่ "ทัศนคติ" ของแต่ละคน เพราะปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เราก้าวหน้าไปได้มากน้อยแค่ไหน

นั้นคือตัวของเราเอง ที่จะคิดจะวางแผนยังไงกับเส้นทางเดินในชีวิตของเราเองจริงไหมครับ

นี่ก็เข้าปีใหม่แล้ว ผมว่าเราลองมาคิดปรับปรุงอะไรใหม่ ๆ ให้ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาจะดีไหมครับ


(ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 18 ม.ค.2556)
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)