ธรรมเหล่านั้นเป็นไฉน คือสติปัฏฐาน 4
สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4
อินทรีย 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8
ธรรมทั้งกลุ่มนี้รวมเรียกว่า "โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ
*********************
สัมมัปปธาน หรือ สัมมัปปธาน 4 คือ การมุ่งทำความเพียรชอบ
1.สังวรปทาน คือ เพียรระงับอกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น ( เพียรระวัง )
2.ปหานปทาน คือ เพียรละเลิกอกุศลที่เกิดแล้ว.... ( เพียรละ )
3.ภาวนาปทาน คือ เพียรเจริญกุศลธรรม..ที่ยังไม่มี....ให้เกิดขึ้น ( เพียรเจริญ )
4.อนุรักขปทาน คือ เพียรรักษา กุศลธรรม ที่เกิดขึ้นแล้ว ( เพียรรักษา )
*******
วิธีการละอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ของข้าพเจ้า โดย "จะเห็นว่าอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วนั้นได้ปรากฏแก่จิตแล้ว ตั้งอยู่ และดับไปแล้ว ตามธรรมชาติ ตามกฏแ่ห่งอนิจจังเอง จึงไม่ต้องทำลายมัน มันหายไปเอง แต่เพียงมีสติดูจิตที่ทำงานอยู่ ไม่ให้ก่อรูปปรุงความคิดเป็นอกุศลอันใหม่ แม้จิตพลั้งเผลอก่อรูปความคิดทางอกุศล ก็ไม่ปรุงตามเป็นรูปความคิดที่ใหญ่ขึ้น เพียงมีสติรู้อยู่ดูความคิดนั้น แล้วความเป็นอนิจจังของความคิดนั้นจะค่อยๆทำให้มันหายไปเอง เื่มื่อจิตมีสติรู้มากเข้าจะรู้ว่าความคิดอกุศลนั้นทำให้จิตเศร้าหมองเป็นทุกข์ จิตก็จะไม่ก่อรูปความคิดเช่นนั้นอีก ความอยากคิดเช่นนั้นจะจืดชืดชาไป เหมือนคนที่รู้จักความสะอาดแล้ว อาบน้ำชำระล้างร่างกายสะอาดแล้วย่อมไม่ปารถนาสัมผัส โคลนตม มูตร คูถหรือความสกปรกเน่าเหม็นใดๆอีก /ข้าพเจ้าทำดังนี้
--------------.......................
---------------................................
***************
ความตั้งใจทำสัมมัปปทานเป็นอัตตกิลมถานุโยค
***
ความพยายาม ถ้าคนยังละสักกายทิฐิไม่ได้
ความพยายามมันก็คือ กิเลส และที่สำคัญผลมันเป็นทุกข์ในกระบวนการปฏิจฯ
***
ที่มาของความพอใจ
ฉันทะจะเกิด มันต้องมีเหตุปัจจัย ฉันทะนี่มันเป็นเจตสิกเป็นอาการของจิต
แท้จริงแล้ว ฉันทะเป็นธรรมหนึ่งของอิทธิบาทสี่ อิทธิบาทสี่คือการปฏิบัติให้สำเร็จ
ในงานที่มีจุดมุ่งหมายไว้ และจุดมุ่งหมายของเราก็คือ การพ้นทุกข์
เราทุกคนอยากที่จะพ้นทุกข์ ฉะนั้นเราก็ต้องปฏิบัติธรรมต่างๆที่พระพุทธเจ้า
ทรงกำหนดไว้ การปฏิบัติธรรมต่างให้สำเร็จนั้นต้องอาศัยอิทธิบาทสี่
ซึ่งมีฉันทะกำหนดอยู่ในนั้น สัมมัปปทานก็เป็นงานหนึ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ
ดังนั้นเราต้องมีความพอใจในสัมมัปปทานสี่ซึ่งก็คืออิทธิบาทนั้นเอง
ดังนั้นฉันทะที่จะปฏิบัติสัมมัปปทาน มันมีแรงจูงใจ
มาจากการที่ต้องการพ้นทุกข์ ความพอใจมันมีเหตุปัจจัยมาจากนี้ครับ
***
จุดเริ่มแห่ง สัมมาปฏิปทา
มันต้องเป็นบุคคลที่ได้รู้ได้เห็นสภาวะอารมณ์ที่แท้จริง ที่เรียกว่าไตรลักษณ์
จนเป็นสัมมาทิฐิ
พระพุทธเจ้าสอนให้รู้เรื่องทิฐิทั้งสามอย่าง มิจฉาหนึ่ง และสัมมาอีกสอง
ท่านให้รู้ทั้งสามและให้ละอีกสอง นั้นก็คือให้ละมิจฉาทิฐิและสัมมาทิฐิที่เป็นสาสวะ(โลกียะ)
ทรงเน้นให้ปฏิบัติในเรื่องสัมมาทิฐิที่เป็นอนาสวะ(โลกุตระ)
พระพุทธองค์เพียงแค่ให้รู้ไว้แล้วละมันเสีย
เพราะมันเป็นกิเลส แต่เป็นในทางกุศล
และอีกอย่างการปฏิบัติสัมมาปฏิปทาจะต้องมีสัมมาทิฐิโลกุตระ
นำหน้าเสมอ ไม่อย่างนั้นการปฏิบัตินั้นเป็นการยยึดมันถือมั่นถึงจะเป็นความดีก็ตาม
*******************
ความหมายที่ว่า อริยมรรคเป็นธรรมของพระอริยะ ความหมายมันอยู่ตรงที่
การจะปฏิบัติอริยะมรรคทั้งแปดได้นั้น จะต้องมีจุดเริ่มต้นที่บุคคลนั้นจะต้องมี
สัมมาทิฐิเสียก่อน และการเป็นอริยะบุคคลในชั้นต้นนั้นก็คือการมีสัมมาทิฐิแล้ว
เมื่อมีสัมมาทิฐิแล้ว จึงจะเอาสัมมาทิฐินี้ไปเป็นประธานหรือตัวนำในการปฏิบัติ
เพื่อให้ได้มาแห่งอริยมรรคอีกเจ็ดมรรคที่เหลือ
นี่คือที่มาของคำพูดที่ว่า อริยมรรคมีองค์แปดเป็นธรรมของอริยบุคคล
อริยมรรคองค์อื่นจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ถ้ายังไม่มีสัมมาทิฐิ
และผู้ใดมีสัมมาทิฐิแล้ว ผู้นั้นได้ชื่อว่า เป็นอริยบุคคลแล้ว
ดังนั้นสิ่งแรกสิ่งเดียวที่ปุถุชนควรจะทำหรือปฏิบัตินั้นก็คือ
การให้ได้มาซึ่งสัมมาทิฐิครับ
แล้วไอ้เรื่องการทรมานกายมันไม่ใช่มิจฉาทิฐิ
มันเป็นเรื่องสัมมาทิฐิสาสวะ(โลกียะ) ท่านว่าเป็นอัตตกิลมถานุโยค
นับเป็นสังโยชน์กิเลส
ก็บอกเองว่า พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติทางสายกลาง แต่ทำไมบอกว่า
ปรับมิจฉาทิฐิให้เป็นสัมมาทิฐิ ความหมายของทางสายกลางมันต้องมีสามสาย
ดังนั้น การทรมานกายที่พระพุทธเจ้าทรงทำในตอนแรก เป็นสัมมาทิฐิโลกียะ
การปรับทิฐิที่ว่าจึงเป็น ปรับสัมมาทิฐิโลกียะให้เป็นสัมมาทิฐิโลกุตตระครับ
------------------...........................................
การเกิดเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนให้ปฏิบัติเพื่อมุ่งตรงสู่นิพพาน
..จะเอาผลบุญผลขันธ์.. ถ้ายังอยากเป็นอยากได้แบบนี้
ก็ไม่ต้องปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าก็ได้ ศาสนาอื่นก็สอนเรื่องผลบุญผลขันธ์เหมือนกัน
และเรื่องศีลพรตปรามาส ผมจะกล่าวถึงเรื่อง สัมมัปปทานสี่ ถ้าเราปฏิบัติแบบจงใจ
โดยขาดหลักสัมมาทิฐินำหน้า การปฏิบัติแบบนี้มันเป็นอัตตกิลมถานุโยค หรืออีกนัยหนึ่ง
มันเป็นสังโยชน์กิเลส ที่เรียกว่า ศีลพรตปรามาส
--------------------......................................
- ละความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร หรือนำศีลและพรตไปใช้เพื่อเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อเป็นปัจจัยแก่การสิ้นกิเลส เช่นการถือศีลเพื่อเอาไว้ข่มไว้ด่าคนอื่น การถือศีลเพราะอยากได้ลาภสักการะเป็นต้น ซึ่งรวมถึงการหมดความเชื่อถือในพิธีกรรมที่งมงายด้วย(สีลัพพตปรามาส) /ข้าพเจ้าเห็นดังนี้
-----------------....................................
สภาวะไตรลักษณ์ เป็นสภาวะแห่งความจริงของจิต จิตจะแสดงการดับไปของอารมณ์
ที่เกิดขึ้นที่ปัจจุบันนั้นๆ ทำให้รู้ผลที่เกิดตามมาคือ ความไม่เที่ยง ความทุกข์และความบังคับไม่ได้
สภาวะแบบนี้แหล่ะ ที่เราต้องใช้ในการทำวิปัสสนา เพื่อละสักกายทิฐิ เมื่อละสักกายทิฐิได้แล้ว
ก็จะเข้าใจหรือละวิจิกิจฉาและศีลพรตปรามาสไปเอง
อาจจะยังไม่เข้าใจว่า ที่ว่าวิปัสสนาละสักกายทิฐิอย่างไร
นั้นก็คือ การพิจารณากระบวนการขันธ์และอายตนะ
โดยต้องอยู่ในหลักแห่งไตรลักษณ์ พูดแบบนี้อาจจะไม่เข้าใจ
สมมุติว่า เราทำสมการหาความสมดุลย์ของของสองสิ่ง
ข้างหนึ่งเป็นไตรลักษณ์สภาวะที่เราไปเห็นมาแล้ว ส่วนอีกข้างเราก็ต้องหา
หรือพิจารณาให้มันตรงกับสภาวะไตรลักษณ์
------------..........................
สัมมัปปธานสี่ ต้องมีสภาวะไตรลักษณ์หรือสัมมาทิฐิเป็นอารมณ์
แต่ใช่ว่าเฉพาะสัมมัปปทานสี่เท่านั้น ธรรมแห่งโพธิปักขิยธรรม37ประการ
ก็ต้องมีสภาวะไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นำหน้าเสมอ
การมีอารมณ์ไตรลักษณ์หรือสัมมาทิฐินำหน้าก็เพื่อ
ไม่ให้เราหลงไปยึดธรรมที่เราต้องพิจารณาหรือปฏิบัติ เช่นโพธิปักขิยธรรมครับ
***
อาสวะ หมายถึง กิเลสที่หมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน
สาสวะ หมายถึง ความเป็นไปด้วยอาสวะ ประกอบด้วยอาสวะ
อนาสวะ หมายถึง ไม่มีอาสวะหาอาสวะมิได้
อ่านความหมายของบัญญัติสามตัวนี้ก็น่าจะเข้าใจได้แล้ว
ว่าทำไมเราถึงต้องปฏิบัติตามหลัก อนาสวะ ถึงจะถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
พูดง่ายๆ สาสวะเป็นการทำดีทำกุศลแต่มันเจือด้วยกิเลส ...
ความดีหรือผลบุญพระพุทธเจ้าก็ทรงกำหนดให้เป็นกิเลส เพราะมันมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่
มันเป็นเชื้อทำให้ต้องเกิดในสังสารวัฏ
***
สัมมัปปทาน ก็คือสัมมัปปทาน มันสำคัญอยู่ตรงที่มีเหตุปัจจัยอะไร
มาทำให้เกิดสัมมัปปทานนี่ขึ้น ผลในการปฏิบัติสัมมัปปทานมันก็เปลี่ยนแปลงไป
ที่บอกต้องมีไตรลักษณ์สัมมาทิฐินำหน้าเพื่อไม่ให้เราไปยึดในธรรมที่กำลังปฏิบัติ
จนเกิดเป็นอัตตา ธรรมทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนเมื่อปฏิบัติแล้วต้องละอย่าให้เกิด
เป็นอัตตา
สัมมัปทานสี่ เป็นวิธีการปฏิบัติมันเป็นหลักตายตัว แต่ที่ผิดแผกแตกต่าง
มันอยู่ที่คนปฏิบัติว่า ทำเพื่อยึดหรือทำเพื่อละ ความจงใจหรืออัตตกิลมถาฯมันเกี่ยวข้อง
ตรงนี้ ผลบุญก็คือผลขันธ์ส่วนนี้มันก็ขึ้นอยู่ที่ผู้ปฏิบัติเหมือนกัน คือปฏิบัติเพื่อเอาผลบุญ
ในชาติหน้า หรือจะปฏิบัติเพื่อละทิ้งทุกอย่างในชาตินี้
---------..............
ที่ว่าศีลอันพระอริยะเจ้าสรรเสริญ.. มีความหมายในตัวว่า
ทำก็ได้ไม่ทำก็ได้เพราะความไม่ยึดในตัวตน
สามารถวางอุเบกขาต่อศีลได้ ไม่เคร่งจนเกินไป
เมื่อหลงไปทำอะไรที่ผิดศีลเข้าก็เกิดทุกข์ หรือการทำผิดศีลจนเกิดเจตนาขึ้นทางใจ
***
มันต้องไปเห็นครับ ไม่ใช่ทำความเห็น แล้วเห็นอะไรก็คือเห็นเหตุที่ให้รู้ว่า
นามรูปที่ว่า มันไม่ใช่ตัวตน ไม่เที่ยงเกิดแล้วก็ดับและเป็นทุกข์
ทำความเห็นมันเป็นสังขารปรุงแต่ง
***
การพิจารณาไตรลักษณ์ทำให้เกิดสัมมาทิฐิ
เมื่อเกิดสัมมาทิฐิแล้ว กิเลสหรือสังโยชน์สามก็จะละไปเองครับ
---------.........................
ทุกข์ถ้าในความหมายว่า การเกิดเป็นทุกข์ ดับความยึดมั่นถือมั่น ทุกข์นั้นก็ดับ
เหตุปัจจัยแก่ความทุกข์ ก็เป็นความยึดมั่นถือมั่นอีกนั้นแหล่ะ
เหตุปัจจัยแห่งไตรลักษณ์ คือการได้เห็น(ไม่ใช่ความเห็น)สภาวะของรูปนาม
ตามความเป็นจริง
***
ธัมมวิจยะ.. เป็นความคิดที่มีสัมมาทิฐินำหน้า
รูปมีนามมี ผัสสะธัมมารมณ์มันก็ต้องมี สมองมีไว้คิด ใจมีว่านึก มันเป็นธรรมชาติ
มันสำคัญว่า คิดอย่างไรถึงจะให้อยู่กับความเป็นจริงแห่ง รูปนามขันธ์ห้า
*************************
41592.เรียนถาม สัมมัปปธาน 4 คืออะไรครับ- http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=41592&start=90