ผู้เขียน หัวข้อ: เอวมฺเม สุตํ -โยนิโสมนสิการเป็นเบื้องต้นแห่งกุศลกรรม  (อ่าน 1490 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด




เอวมฺเม สุตํ -โยนิโสมนสิการเป็นเบื้องต้นแห่งกุศลกรรม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
เล่ม 1 ภาค 1 - หน้าที่ 14 - 15 - 16


   อีกนัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์แสดงโยนิโสมนสิการไว้ด้วยคำว่า เอวํ
   เพราะผู้ไม่มีโยนิโสมนสิการ ย่อมไม่สามารถแทงตลอดได้โดยประการต่าง ๆ ย่อมแสดงความเป็นผู้มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยคำว่า สุตํ นี้ เพราะจิตที่ฟุ้งซ่านมีการฟังไม่ได้ จริงอย่างนั้น บุคคลมีจิตฟุ้งซ่านแม้ผู้อื่นพูดให้สมบูรณ์ทุกอย่างก็ยังกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ยินขอจงพูดอีก
   ก็บรรดาคุณธรรม ๒ อย่างนั้น เมื่อว่าโดยโยนิโสมนสิการ พระอานนท์ย่อมให้สำเร็จซึ่งอัตตสัมมาปณิธิ และบุพเพกตบุญญตา
   เพราะบุคคลผู้มิได้ตั้งตนไว้ชอบและมิได้ทำบุญไว้ในกาลก่อนแล้ว จะมีโยนิโสมนสิการไม่ได้ ว่าโดยความไม่ฟุ้งซ่าน ท่านพระอานนท์ย่อมให้สำเร็จซึ่งสัทธัมมัสสวนะและสัปปุริสูปัสสยะ เพราะผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ย่อมไม่อาจเพื่อสดับฟัง และผู้ไม่มีอุปนิสัยก็ไม่มีการคบหากับสัตบุรุษอีกนัยหนึ่ง ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วว่า เพราะบทว่า เอวํ ย่อมแสดงไขถึงอาการต่าง ๆ   
   แห่งจิตสันดาน ซึ่งเป็นตัวรับเอาอรรถและพยัญชนะต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยอาการต่าง ๆ กัน

   ก็ลักษณะอาการอันเจริญอย่างนี้นั้นย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ไม่ตั้งตนไว้ชอบ หรือมิได้ทำบุญไว้ในปางก่อน ฉะนั้นท่านพระอานนท์ จึงแสดงสมบัติ คือ
   จักร ๒ ข้อ เบื้องปลายของท่าน ด้วยอาการอันเจริญ ด้วยคำว่า เอวํ นี้ ย่อมแสดงสมบัติ คือ จักร ๒ ข้อเบื้องต้นโดยการประกอบการสดับฟังด้วย
   คำว่า สุตํ นี้จริงอยู่เมื่อบุคคลอยู่ในถิ่นฐานอันมิใช่ปฏิรูปเทส หรือเว้นจากการคบสัตบุรุษ ย่อมไม่มีการสดับฟังโดยนัยนี้
   
   อาสยสุทธิ (คือความสำเร็จแห่งอัธยาศัย) ย่อมเป็นอันสำเร็จแก่ท่านเพราะความสำเร็จแห่งจักร ๒ ข้อ เบื้องปลาย. ปโยคสุทธิ คือความสำเร็จแห่ง
   ปโยคะ ย่อมเป็นอันสำเร็จเพราะจักร ๒ ข้อ เบื้องต้น ก็ด้วยความบริสุทธิ์แห่งอาสยะนั้น ท่านจึงเป็นผู้เฉลียวฉลาดเฉียบแหลมในการบรรลุมรรคผลเพราะความบริสุทธิ์แห่งปโยคะนั้น ท่านจึงเป็นผู้เฉลียวฉลาดยิ่งในพระปริยัติ.ด้วยเหตุนี้ ถ้อยคำของท่านพระอานนท์ผู้มีปโยคะและอาสยะบริสุทธิ์แล้ว ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยการบรรลุมรรคผล ย่อมสมควรเพื่อเป็นถ้อยคำเบื้องต้นสำหรับรองรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า เปรียบเหมือนการขึ้นไปแห่งอรุณเป็นเบื้องต้น แห่งพระอาทิตย์กำลังอุทัยอยู่ และเปรียบเหมือน โยนิโสมนสิการเป็นเบื้องต้นแห่งกุศลกรรมฉะนั้น เหตุดังนั้น ท่านพระอานนท์ เมื่อจะเริ่มตั้งคำอันเป็นนิทานในฐานะอันควร จึงกล่าว บทว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้น

   อีกนัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์ ย่อมแสดงภาวะสมบัติ คือ อรรถปฏิสัมภิทา และปฏิภาณปฏิสัมภิทาของตนด้วยคำอันแสดงถึงการแทงตลอดได้โดยประการต่าง ๆ ว่า เอวํ นี้ท่านย่อมแสดงภาวะสมบัติ คือ ธรรมปฏิสัมภิทาและนิรุตติปฏิสัมภิทา ด้วยคำอันแสดงถึงการแทงตลอดประเภทแห่งธรรมอันบุคคลพึงสดับฟังว่า สุตํ นี้อนึ่ง ท่านพระอานนท์ เมื่อจะกล่าวถ้อยคำอันแสดงถึงโยนิโสมนสิการด้วย เอวํ นี้จึงแสดงว่า ธรรมเหล่านี้ ข้าพเจ้าเพ่งด้วยใจ ข้าพเจ้าแทงตลอดดีแล้วด้วยทิฏฐิ ดังนี้ เมื่อกล่าวถ้อยคำอันแสดงถึงการประกอบการฟังด้วยสุตํ นี้ จึงแสดงว่า ธรรมเป็นอันมาก ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วทรงจำไว้แล้วสั่งสมไว้แล้วด้วยปัญญา ดังนี้เมื่อท่านจะแสดงอรรถและพยัญชนะให้บริบูรณ์ด้วยคำแม้ทั้ง ๒ นั้น ย่อมให้การเอื้อเฟื้อในการที่จะให้การฟังเกิดขึ้น เพราะว่าเมื่อบุคคลไม่ฟังธรรมอันบริบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะโดยเอื้อเฟื้อเคารพ
   ย่อมเป็นผู้เหินห่างจากประโยชน์เกื้อกูลอันใหญ่ เพราะเหตุนี้ บุคคลพึงให้ความเอื้อเฟื้อเคารพในการฟังธรรมให้เกิดขึ้นเถิด.
   
   อนึ่งด้วยคำทั้งสิ้นว่า เอวมฺเม สุตํ นี้ ท่านพระอานนท์ เมื่อไม่ตั้งธรรมอันพระตถาคตประกาศแล้วไว้สำหรับตน จึงชื่อว่า ย่อมก้าวล่วงภูมิของอสัตบุรุษ เมื่อปฏิญาณความเป็นสาวก ชื่อว่า ย่อมก้าวลงสู่ภูมิแห่งสัตบุรุษท่านพระอานนท์ ย่อมยังจิตของท่านให้หลีกออกจากอสัทธรรม และให้จิตของท่านดำรงไว้ในพระสัทธรรม โดยทำนองนั้นเหมือนกัน เมื่อท่านแสดงว่าก็พระดำรัสนี้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้นนั่นแหละ ข้าพเจ้าได้ฟังมา
   อย่างเดียวเท่านั้น ดังนี้ ชื่อว่า ย่อมเปลื้องตนออก ย่อมแสดงอ้างพระศาสดา ย่อมยังพระดำรัส ของพระชินเจ้าให้แนบสนิท ย่อมยังธรรมเนติให้ดำรงอยู่


   อีกอย่างหนึ่ง พระอานนท์ เมื่อไม่ปฏิญญาไม่รับรอง ซึ่งความที่พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าเป็นธรรมอันตนให้เกิดขึ้นได้เอง เปิดเผย
   การได้ฟังมาตั้งแต่เบื้องต้น ด้วยบทว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้ ชื่อว่า ย่อมยังความไม่มีศรัทธาให้พินาศ ย่อมยังศรัทธาสมบัติในธรรมนี้ให้เกิดขึ้นแก่เทวดา
   และมนุษย์ทั้งปวงว่า พระดำรัสนี้ ข้าพเจ้าได้รับมาเฉพาะต่อพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้แกล้วกล้าด้วยเวสารัชญาณ ๔ ผู้ทรงไว้ซึ่งทศพลญาณ
   
   ผู้ดำรงอยู่ในอาสภฐาน ฐานะอันประเสริฐ ผู้บันลือสีหนาท ผู้สูงสุดกว่าสรรพสัตว์ ผู้เป็นใหญ่ในธรรม ผู้เป็นธรรมราชา ผู้เป็นธรรมาธิบดี ผู้มีธรรม
   ดังประทีป ผู้มีธรรมเป็นสรณะ ผู้ยังจักรอันประเสริฐคือพระธรรมให้เป็นไปทั่วผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธะพระองค์นั้น ในพระดำรัสนี้ใคร ๆ ไม่ควรทำความ
   สงสัย หรือเคลือบแคลงในอรรถในธรรม ในบทหรือในพยัญชนะ
ดังนี้ด้วยเหตุนี้นั้น ท่านพระอรรถกถาจารย์จึงประพันธ์คำอันเป็นคาถาไว้ว่า
   
   วินาสยติ อสฺสทฺธํ สทฺธํ วฑฺเฒติ สาสเน เอวมฺเม สุตมิจฺเจตํ วทํ โคตมสาวโก   
   ท่านพระอานนท์ผู้เป็นสาวกของได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ นี้ชื่อว่า ย่อมยังความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาให้พินาศ   
   ย่อมยังศรัทธาสมบัติให้เจริญในพระพุทธศาสนา ดังนี้พระสมณโคดม กล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้า   
   ว่าด้วย เอกํ สมยํ
   
   บทว่า เอกํ แสดงการกำหนดจำนวน. บทว่า สมยํ แสดงสมัย(คือ วลา) ที่กำหนดไว้แล้ว บทว่า เอกํ สมยํ แสดงสมัยอันกำหนดไว้ไม่แน่นอนสมยศัพท์ ในบทว่า สมยํ นี้ ข้าพเจ้าเห็นใช้ในอรรถว่า ความพร้อมเพรียงกัน ในอรรถว่าขณะ ในอรรถว่ากาลเวลา ในอรรถว่าประชุม ใน
   อรรถว่าเหตุและทิฏฐิ ในอรรถว่าได้เฉพาะ ในอรรถว่าละ ในอรรถว่าจริงอย่างนั้น สมยศัพท์นี้ มีอรรถว่าพร้อมเพรียงกัน เช่นในประโยค
   
   ว่า อปฺเปว นาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยาม กาลญฺจ สมยญฺจ อุปาทาย ดังนี้เป็นต้น แปลว่า หากว่าพวกเราอาศัยกาลเวลา และความพร้อมเพรียงกัน
   ได้แล้ว ก็พึงเข้าไปในวันพรุ่งนี้
สมยศัพท์ มีอรรถว่าขณะ เช่นในประโยคว่า เอโก จ โข ภิกฺขเว ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสาย เป็นต้น
   แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็ขณะหนึ่ง สมัยหนึ่ง มีอยู่เพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์


-http://powerlife.fix.gs/index.php?topic=2086.0


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: อโยนิโสมนสิกาโร
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2013, 01:23:32 am »




อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๒
๙. นันทเถรคาถา
               อรรถกถานันทเถรคาถา
               คาถาของท่านพระนันทเถระ เริ่มต้นว่า อโยนิโสมนสิกาโร.

               เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
               ได้ยินว่า พระเถระนี้เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในพระนครหงสาวดี ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ บรรลุนิติภาวะแล้ว ฟังธรรมในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศฝ่ายคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ปรารถนาตำแหน่งนั้นแม้ด้วยตนเอง บำเพ็ญมหาทานอันมากไปด้วยบูชาและสักการะแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ ตั้งปณิธานว่า ในอนาคตกาล ขอข้าพระองค์พึงเป็นเช่นสาวกเห็นปานนี้ของพระพุทธเจ้าผู้เช่นกันด้วยพระองค์ ดังนี้แล้ว
               ต่อแต่นั้นก็ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดเป็นเต่าใหญ่ในแม่น้ำชื่อว่าวินดา ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าอัตถทัสสี วันหนึ่งเห็นพระศาสดาประทับยืนอยู่ที่ริมฝั่งเพื่อจะข้ามฝั่งน้ำ มีความประสงค์จะยังพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ข้ามด้วยตนเอง จึงหมอบลงแทบบาทมูลของพระศาสดา.
               พระศาสดาทรงเล็งดูอัธยาศัยของมัน แล้วเสด็จประทับขึ้นสู่หลัง. มันร่าเริงยินดีแล้วว่ายตัดกระแสน้ำไปโดยเร็ว ยังพระศาสดาให้ถึงฝั่งอย่างฉับพลัน.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุโมทนา ตรัสบอกสมบัติที่จะเกิดแก่มันแล้วเสด็จหลีกไป.
               ด้วยบุญกรรมนั้น มันท่องเที่ยวอยู่แต่ในสุคติภพเท่านั้น แล้วบังเกิดในพระครรภ์ของพระนางมหาปชาบดีโคตมี โดยเป็นพระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ในพระนครกบิลพัสดุ์ ในพุทธุปบาทกาลนี้.
               ในวันขนานพระนามพระกุมาร พระประยูรญาติได้ขนานพระนามว่านันทะ ดังนี้ ก็เพราะทรงยังหมู่ญาติให้ยินดีประสูติแล้ว ในเวลาที่นันทกุมารเจริญพระชนม์พรรษา พระศาสดาทรงยังธรรมจักรอันประเสริฐให้เป็นไป ทรงทำการอนุเคราะห์สัตวโลก เสด็จไปพระนครกบิลพัสดุ์ ทรงกระทำฝนโปกขรพรรษให้เป็นอัตถุปบัติในญาติสมาคม ตรัสเวสสันดรชาดกแล้วเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในวันที่ ๒ ยังพระชนกให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลด้วยพระคาถาว่า อุตฺติฏฺเฐ นปฺปมชฺเชยฺย บุคคลไม่ควรประมาทในบิณฑบาตอันตนพึงลุกขึ้นยืนรับ ดังนี้แล้วเสด็จไปสู่นิเวศน์ ยังพระนางมหาปชาบดีให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล (และ) ยังพระราชาให้ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล ด้วยพระคาถามีอาทิว่า บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริต
               ในวันที่ ๓ เมื่อพิธีวิวาหมงคล คือการนำราชธิดาเข้าไปสู่นิเวศน์โดยการอภิเษกของนันทกุมาร กำลังดำเนินไป เสด็จเข้าไปบิณฑบาตแล้วทรงยังนันทกุมารให้ถือบาตร ตรัสมงคลแล้ว ไม่ทรงรับบาตรจากมือของนันทกุมาร เสด็จไปสู่พระวิหาร ยังนันทกุมารผู้ถือบาตรตามมาสู่พระวิหาร ผู้ไม่ปรารถนาอยู่นั่นเทียวให้บรรพชาแล้ว ทรงทราบความที่นันทกุมารถูกความไม่ยินดีบีบคั้น เพราะเหตุที่ให้บรรพชาโดยวิธีอย่างนั้น แล้วทรงบรรเทาความไม่ยินดีนั้นของนันทกุมารโดยอุบาย.
               พระนันทะพิจารณาโดยแยบคายแล้วเริ่มตั้งวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้วต่อกาลไม่นานนัก.
               สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า๑-
               ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าอัตถทัสสี ผู้เป็นพระสยัมภู เป็นนายกของโลก เป็นพระตถาคต ได้เสด็จไปที่ฝั่งน้ำวินดา. เราเป็นเต่าเที่ยวไปในน้ำ ออกไปจากน้ำแล้ว ประสงค์จะทูลเชิญพระพุทธเจ้าเสด็จข้ามฟาก จึงเข้าไปเฝ้าพระองค์ผู้เป็นนายกของโลก (กราบทูลว่า)
               ขออัญเชิญพระพุทธเจ้าผู้เป็นมหามุนีพระนามว่าอัตถทัสสี เสด็จขึ้นหลังข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์จะนำพระองค์เสด็จข้ามฟาก ขอพระองค์โปรดทรงทำที่สุดแห่งทุกข์แก่ข้าพระองค์เถิด
               พระพุทธเจ้าผู้มีพระยศใหญ่ทรงพระนามว่าอัตถทัสสี ทรงทราบถึงความดำริของเรา จึงได้เสด็จขึ้นหลังเราแล้วประทับยืนอยู่ ความสุขของเราในเวลาที่นึกถึงตนได้ และในเวลาที่ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสา หาเหมือนกับสุขเมื่อพื้นฝ่าพระบาทสัมผัสไม่
               พระสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าอัตถทัสสี ผู้มีพระยศใหญ่ เสด็จขึ้นประทับยืนที่ฝั่งน้ำแล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
               เราข้ามกระแสคงคาชั่วเวลาประมาณเท่าจิตเป็นไป ก็พระยาเต่ามีบุญนี้ส่งเราข้ามฟาก ด้วยการส่งพระพุทธเจ้าข้ามฟากนี้ และด้วยความเป็นผู้มีจิตเมตตา จักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกตลอด ๑,๘๐๐ กัป จากเทวโลกมามนุษยโลกนี้เป็นผู้อันกุศลมูลตักเตือนแล้ว นั่ง ณ อาสนะอันเดียวจักข้ามพ้นกระแสน้ำ คือความสงสัยได้.
               พืชแม้น้อย แต่เขาเอาหว่านลงในเนื้อนาดี เมื่อฝนยังอุทกธาราให้ตกอยู่โดยชอบ ผลย่อมทำชาวนาให้ยินดีแม้ฉันใด พุทธเขตที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อบุญเพิ่มอุทกธาราโดยชอบ ผลจักทำเราให้ยินดี เราเป็นผู้มีตนอันส่งไปแล้วเพื่อความเพียร เป็นผู้สงบระงับ ไม่มีอุปธิ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่
               ในกัปที่ ๑,๘๐๐ เราได้ทำกรรมใด ในกาลนั้นด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการส่งพระพุทธเจ้าข้ามฟาก. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
____________________________
๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๗๘



               ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พิจารณาสังกิเลสที่ตนละได้แล้วและความสุขที่ตนได้รับว่า น่าอัศจรรย์ ความเป็นผู้ฉลาดในอุบายของพระศาสดา โดยที่พระองค์ทรงยกเราจากเปลือกตมคือภพ แล้วให้ประดิษฐานอยู่บนบกคือพระนิพพาน ดังนี้แล้วเกิดความโสมนัส ได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ด้วยสามารถแห่งอุทาน ความว่า

                         เรามัวแต่ประกอบการประดับตกแต่ง เพราะไม่มี
                         โยนิโสมนสิการ มีใจฟุ้งซ่าน กลับกลอก ถูกกาม
                         ราคะเบียดเบียน เราได้ปฏิบัติโดยอุบายที่ชอบ
                         ตามที่พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์
                         ฉลาดในอุบายได้ทรงสั่งสอนแนะนำ แล้วถอน
                         จิตที่จมลงในภพขึ้นได้ ดังนี้.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อโยนิโส มนสิการา ความว่า เพราะกระทำไว้ในใจซึ่งกายอันไม่งาม โดยความเป็นของงาม คือ เพราะเหตุแห่งการทำไว้ในใจโดยความเป็นของงาม โดยมนสิการไม่ชอบด้วยอุบาย. อธิบายว่า เพราะเข้าใจร่างกายที่ไม่งามว่างาม.
               บทว่า มณฺฑนํ ความว่า ซึ่งเครื่องประดับอัตภาพด้วยอาภรณ์ทั้งหลายมีสร้อยข้อมือเป็นต้น และด้วยเครื่องประทินผิว มีระเบียบและของหอมเป็นต้น.
               บทว่า อนุยุญฺชิสํ แปลว่า ประกอบแล้ว. อธิบายว่า ได้เป็นผู้ขวนขวายการประดับตกแต่งร่างกาย.
               บทว่า อุทฺธโต ความว่า เป็นผู้อันความเมาทั้งหลายมีความเมาเพราะชาติ โคตร รูปและความเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นต้น ยกขึ้นแล้ว คือเป็นผู้มีจิตไม่สงบแล้ว.
               บทว่า จปโล ความว่า ชื่อว่าเป็นผู้โลเล เพราะความเป็นผู้มีจิตไม่มั่นคง เหมือนลิงป่า และกลับกลอก เพราะประกอบในความเป็นผู้มีอารมณ์หวั่นไหว ด้วยการประดับตกแต่งร่างกายและประดับด้วยผ้าเป็นต้น.
               บทว่า อาสึ แปลว่า ได้เป็นแล้ว.
               บทว่า กามราเคน ประกอบความว่า เป็นผู้อันฉันทราคะในวัตถุกามทั้งหลายเบียดเบียน คือบีบคั้น ได้แก่เสียดแทง.
               บทว่า อปายกุสเลน ความว่า มีพระพุทธเจ้าคือพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ฉลาดด้วยความฉลาดในอุบายเป็นเครื่องทรมานเวไนยสัตว์ เป็นเหตุ.
               ก็บทว่า อปายกุสเลน นี้เป็นตติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งเหตุ.
               ก็พระเถระกล่าวบทว่า อปายกุสเลน นี้หมายถึง การนำกามราคะของตนออกไปได้ด้วยพระดำรัสที่ตรัสเตือน โดยข้ออุปมาที่ยกเอานางลิงหางด้วนและนางเทพอัปสรมาเปรียบเทียบ.
               อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังท่านพระนันทเถระให้มีจิตคลายกำหนัดในนางชนบทกัลยาณี โดยเปรียบนางชนบทกัลยาณีก่อนว่านางลิงตัวนี้ฉันใด นางชนบทกัลยาณีเปรียบกับนางเทพอัปสรผู้มีฝ่าเท้า เหมือนนกพิราบก็ฉันนั้น แล้วทรงชี้ให้ดูนางเทพอัปสรผู้มีเท้าเหมือนนกพิราบ อุปมาดุจนำเอาลิ่มอันเล็กออกจากลิ่มใหญ่แล้วทิ้งไปฉะนั้น และดุจนายแพทย์ทำสรีระให้ชุ่มด้วยการดื่มน้ำมัน แล้วนำเอาพิษออกด้วยการให้สำรอกและการขับถ่ายฉะนั้น แล้วทรงยังจิตให้คลายกำหนัด แม้ในนางเทพอัปสรผู้มีฝ่าเท้าเหมือนเท้านกพิราบ ด้วยการตรัสเปรียบเทียบอีกครั้ง แล้วทรงยังพระเถระให้ตั้งอยู่ในพระอริยมรรค ด้วยการขวนขวายในสมถะและวิปัสสนาโดยชอบทีเดียว.
               สมดังคำเป็นคาถาที่พระเถระกล่าวไว้ว่า โยนิโส ปฏิปชฺชิตฺวา ภเว จิตฺตํ อุทพฺพหึ เราได้ปฏิบัติโดยอุบายที่ชอบตามที่พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ฉลาดในอุบาย ได้ทรงสั่งสอนแนะนำ แล้วถอนจิตที่จมลงในภพขึ้นได้.
               ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำเนินวิสุทธิปฏิปทาด้วยสมถะและวิปัสสนาโดยชอบทีเดียว ด้วยอุบายคือด้วยพระปรีชาญาณ ยกจิตของเราที่จมลงในภพ ได้แก่เปลือกตม คือสงสาร ด้วยพระหัตถ์คือพระอริยมรรค. อธิบายว่า ให้ตั้งอยู่บนบกคือพระนิพพาน.
               พระเถระเปล่งอุทานนี้แล้ว ในวันรุ่งขึ้น เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ค้ำประกันเพื่อให้ข้าพระองค์ได้นางอัปสร ๕๐๐ ผู้มีเท้าเหมือนเท้านกพิราบอันใด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอเปลื้องพระผู้มีพระภาคเจ้าจากการเป็นผู้รับรองนั้น.
               แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสว่า ดูก่อนนันทะ การรับรองใดแลเป็นเหตุให้จิตของเธอหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ยึดมั่นในเวลานั้น เราตถาคตก็พ้นจากการเป็นผู้รับรองนั้นแล้ว.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความที่พระนันทะเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย พร้อมกับคุณพิเศษของท่าน เมื่อจะทรงประกาศคุณพิเศษนั้น จึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งของภิกษุผู้เลิศโดยความเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ โดยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระนันทะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้สาวกของเราฝ่ายคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย.๒-
____________________________
๒- องฺ. เอก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๑๔๙

               แท้จริง พระเถระคิดว่า เราถึงประการอันแปลกนี้ เพราะอาศัยความไม่สำรวมอินทรีย์ทั้งหลายอันใดแล เราจักข่มความไม่สำรวมอันนั้นแลด้วยดี ดังนี้แล้ว เกิดความอุสาหะ เป็นผู้มีหิริโอตตัปปะมีกำลัง ได้ถึงบารมีในอินทรีย์สังวรอย่างอุกฤษฏ์ เพราะความเป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระนั้น ฉะนี้แล.

               
               จบอรรถกถานันทเถรคาถา               
               -http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=276

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 13, 2013, 01:39:15 am โดย ฐิตา »